ตอนที่ 701 การฝึกฝน
ถึงแม้จะกำชับภรรยาและคนในบ้านไม่ให้มารบกวนตัวเอง แต่เยี่ยเทียนก็ยังไม่กล้าประมาท หลังจากสร้างวิชาค่ายกลเก็บเสียงอยู่ที่หน้าประตูห้องหนังสือแล้ว เขาถึงเข้าไปในห้อง
หินหยกดำนั่นยังคงวางอยู่บนโต๊ะหนังสือ ท่ามกลางแสงแดดยามบ่ายที่สาดส่องเข้ามา ปรากฏให้เห็นสีม่วงเข้มแวววาวจ้าตา ทำให้เห็นถึงความลึกลับซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง
“ตอนนั้นมังกรดำได้มอบหยกดำนี้ให้ฉันอย่างกับเป็นสิ่งของล้ำค่า สงสัยเจ้านี่คงจะไม่ใช่ของธรรมดาอย่างแน่นอน!”
เยี่ยเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ใช้พลังจิตห่อหุ้มฝ่ามือ แล้วนำหยกดำวางไปบนมือ ขณะที่เขากำลังจะนั่งขัด
สมาธิ จู่ๆ ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
จากนั้นจึงนำหยกดำวางไว้บนโต๊ะ แล้วเยี่ยเทียนก็เดินไปที่มุมห้อง เปิดกระเป๋าเป้ที่ตัวเองพกไปที่เสินหนงเจี้ย (อาณาเขตแห่งเทพกสิกร) และหยิบกระดิ่งซานชิงออกมา
นับตั้งแต่ที่วานรขาวคืนกระดิ่งซานชิงจนถึงวันนี้ เยี่ยเทียนก็ยังไม่มีเวลาศึกษาของสิ่งนี้เลย แต่เยี่ยเทียนมีความรู้ สึกบางอย่าง ว่าการใช้งานของกระดิ่งซานชิงนี้ไม่ได้ใช้แค่เปิดผนึกของวิชาที่ถ่ายทอดอยู่ในหัวอย่างเดียวแน่นอน มันจะ ต้องมีความสามารถอย่างอื่นอีก
“กริ๊ง!”
พอจับด้ามกระดิ่งซานชิงมาเขย่าเล็กน้อย เสียงชัดและไพเราะน่าฟังก็ดังขึ้นมา ทว่าเสียงที่เกิดขึ้นนั้นก็เหมือนกับกระดิ่งธรรมดาทั่วไป ไม่มีความผิดปกติอะไร
เยี่ยเทียนจึงขมวดคิ้ว พลางแบ่งจิตดั้งเดิมออกมาครึ่งหนึ่งไปห่อหุ้มกระดิ่งซานชิงเอาไว้ แล้วมือขวาก็เขย่าตาม แต่สิ่งที่น่าแปลกก็คือ กระดิ่งซานชิงนี้กลับไม่มีเสียงใดๆ เล็ดรอดออกมา
แล้วสีหน้าของเยี่ยเทียน ก็พลันตะลึงงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็มีสีหน้าที่ดีใจจนแทบบ้าคลั่งออกมา
“นี่…เจ้าสิ่งนี้มีผลกับจิตดั้งเดิม?”
ถึงแม้กระดิ่งซานชิงจะไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมา แต่ เสียงดัง “กริ๊ง” กลับผ่านเข้าไปในจิตของเยี่ยเทียนโดยตรง
เสียงกระดิ่งไพเราะเสนาะหูทำให้สมองของเยี่ยเทียนปลอดโปร่ง และเสียงนี้ดูเหมือนจะมีเวทมนต์ ทำให้อารมณ์หงุดหงิดน่ารำคาญที่มีสาเหตุมาจากคนแซ่จู้และคนแซ่ต่งสองคนนั่น ได้สงบลงอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ผลกระทบของเจ้ากระดิ่ง ดูเหมือนว่าจิตดั้งเดิมของเยี่ยเทียนจะได้รับการสั่นสะเทือนไปด้วย ราวกับเสียงเพรียกร้องที่ไพเราะของพวกนก อันเป็นสัญญาณมงคลแห่งมหามรรค ความรู้สึกที่ไม่สามารถบรรยายได้ด้วยคำพูดทั้งหมดก็เกิดขึ้นในใจของเยี่ยเทียน
เมื่อถึงระดับการฝึกจิตสู่ความว่างเปล่า การฝึกกายจะกลายเป็นการฝึกจิต กระดิ่งซานชิงนี้ก็มีบทบาทในการใช้จิตดั้งเดิมของคนเรา สำหรับเยี่ยเทียนแล้วจิตดั้งเดิมที่ยังไม่สามารถก่อเป็นรูปร่างได้ จึงเป็นเหมือนการส่งถ่านกลางหิมะ(การหยิบยื่นความช่วยเหลือให้แก่ผู้ที่กำลังลำบากได้ทันการณ์) อย่างไม่ต้องสงสัย
“แต่…แต่ตอนที่ฉันกำลังฝึกจิตดั้งเดิมอยู่ ทำยังไงถึงจะให้กระดิ่งซานชิงเขย่าได้ล่ะ?”
เยี่ยเทียนพบว่า ตอนที่กระดิ่งซานชิงไม่ได้ถูกเขย่านั้น ก็ไม่เกิดผลลัพธ์ใดๆ เหมือนกับตอนแรก ทำให้เยี่ยเทียนเกาหัวยิกๆ เพราะการฝึกจิตดั้งเดิมนั้นห้ามวอกแวก และเขาก็ยังทำสมาธิที่แน่วแน่ไม่ได้
หลังจากเดินวนไปมาอยู่ในห้องสองสามรอบ เยี่ยเทียนจึงหยิบเชือกสีแดงหนึ่งเส้นออกมาจากลิ้นชัก แล้วมัดไปที่ง่ามที่คล้ายกับช้อนส่อมที่อยู่ชั้นบนสุดของกระดิ่งซานชิง พลางมองซ้ายแลขวา แล้วจึงนำเชือกแดงเขวนไว้บนไม้แขวนเสื้อที่อยู่ข้างโต๊ะหนังสือ
หลังจากทำเสร็จแล้ว เยี่ยเทียนจึงนั่งขัดสมาธิอยู่บนผูถวน (เบาะนั่งรูปกลมที่สานมาจากใบของต้นหางแมวและฟางข้าวสาลี) แล้ววางหยกดำไว้กลางฝ่ามือ จากนั้นจึงใช้สองมือประสานกันไว้ที่หน้าอก
กลุ่มพลังจิตที่ดูสะเปะสะปะเหล่านั้น ได้หยุดอยู่ตรงด้านบนฝ่ามือทั้งสอง และกระดิ่งซานชิงก็อยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียนห่างออกไปหนึ่งเมตร ซึ่งเป็นระนาบเดียวกันกับหน้าผากของเขาพอดี
“ไป!”
เยี่ยเทียนใช้พลังจิต แล้วกลุ่มของจิตดั้งเดิมที่สะเปะสะปะนั่นก็แบ่งพลังจิตออกมาสายหนึ่ง จากนั้นก็เคาะไปที่กระดิ่งซานชิงอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ แล้วเสียงดังที่ชัดและไพเราะก็ส่งผ่านไปยังจิตดั้งเดิมทันที
การรับการสั่นสะเทือนของกระดิ่ง ทำให้จิตดั้งเดิมรู้สึกอิ่มเอิบสบายใจ เยี่ยเทียนเริ่มวิชาโคจรพลังจิต ทันใดนั้นก็มีพลังดึงดูดกลุ่มหนึ่งส่งมาจากจิตดั้งเดิม แล้วผ่านไปยังหยกดำที่อยู่กลางฝ่ามือ
หยกดำที่เดิมทีเย็นเยียบผิดปกติ ทว่าภายใต้พลังแห่งการดึงดูดนี้ ได้หลอมให้ปราณวิเศษบริสุทธิ์อย่างลึกล้ำไหลเข้าสู่จิตดั้งเดิมของเยี่ยเทียนอย่างไม่ขาดสาย
เสียงที่มาจากกระดิ่งนั่น ทำให้ความเร็วในการดูดซับปราณวิเศษของจิตดั้งเดิมนั้นเร็วขึ้นเป็นสามเท่า
เยี่ยเทียนไม่ได้เข้าฌานในระดับที่ลึกมาก ทว่ากำลังสัมผัสความรู้สึกแบบนี้อย่างละเอียด พลางแบ่งพลังจิตออก มาบางส่วนเพื่อเคาะไปที่กระดิ่งอยู่หลายครั้ง การตั้งสมาธิกับกระดิ่งนั่น ราวกับเสียงไพเราะของพวกนกอันเป็นสัญญาณมงคลแห่งมหามรรคดังอยู่ในหัว ทำให้เขาไม่ต้องถลำลึกมากจนเกินไป
ขณะที่จิตใจตกอยู่ในห้วงของการฝึกฝน เยี่ยเทียนไม่ได้สังเกตพระอาทิตย์ขึ้นหรือพระอาทิตย์ตกที่อยู่นอกหน้า ต่างเลย ความรู้สึกอิ่มเอิบไม่ขาดสายของจิตดั้งเดิม ทำให้เขาลืมเรื่องราวที่อยู่ในโลกมนุษย์ไปแล้ว
ลมหายใจของเยี่ยเทียนเปลี่ยนเป็นยาวขึ้น ไม่เห็นการหายใจเข้าออกตรงหน้าอก ระยะห่างของการหายใจเข้าและหายใจออกนั้น มีมากถึงสิบนาทีกว่าๆ และจิตดั้งเดิมที่ลอยอยู่ตรงหน้าเขา ก็เหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
จิตดั้งเดิมที่เดิมทีรวมกันจนแยกไม่ออก สามารถมองเห็นเค้าโครงหน้าได้เล็กน้อย ถึงแม้จะไม่ชัดเจนมาก แต่รูปลักษณ์ของมือและเท้าน้อยๆ ก็ออกมาแล้ว นอกจากนี้ยังดูกระชับแน่นมากกว่าแต่ก่อนเป็นอย่างมาก
“ฮู้…” หลังจากผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ในที่สุดเยี่ยเทียนก็ลืมตาขึ้นมา ไม่ใช่เขาไม่อยากฝึกต่อ แต่เพราะเขารู้สึกท้องหิวร้อง “จ๊อกๆ” ต่างหาก
เมื่อไม่มีปราณชีวิตแท้หล่อเลี้ยงร่างกาย และจิตดั้งเดิมก็อยู่ในขั้นตอนการฝึกฝน ถึงแม้เยี่ยเทียนจะมีจิตใจอย่างเต็มเปี่ยม แต่กายเนื้อของเขาก็ทนไม่ไหวแล้ว
ขณะเดียวกันตอนที่เยี่ยเทียนลืมตาขึ้น จิตดั้งเดิมที่อยู่ตรงหน้าเขาก็หยุดชะงักแล้วกลายเป็นแสงรวมกันเข้า จากนั้นก็พุ่งไปยังจุดอิ้นถังที่อยู่ระหว่างดวงตาทั้งสอง แล้วโคจรไปทั่วร่างกาย ทำให้ร่างกายที่ไม่สบายตัวของเยี่ยเทียนนั้นลดลงไปในทันที
“การอดข้าวอดน้ำเหมือนอย่างที่คนโบราณบอก ยังไงก็ต้องใช้ปราณแท้เพื่อตอบสนองความต้องการของร่างกายอยู่ดี ถึงแม้จิตดั้งเดิมจะสำคัญ แต่กายเนื้อก็ขาดไม่ได้เช่นกัน!”
เมื่อรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกาย ในใจของเยี่ยเทียนจึงเกิดความตระหนักรู้ว่า กายเนื้อเป็นตัวนำในการฝึกฝนของจิต และทั้งสองอย่างจะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้
ถึงแม้จะหยุดการฝึกฝนแล้ว แต่เยี่ยเทียนก็ยังไม่ได้ลุกขึ้น ทว่าเขากลับนั่งหลับตาอยู่ที่เดิมอีกครั้ง หลังจากทำความเข้าใจและซาบซึ้งกับจิตอย่างละเอียด จิตดั้งเดิมก็กระโดดพรวดออกมาจากจุดเทียนหลิงทันที
“ไป!”
เยี่ยเทียนส่งเสียงเบาๆ แล้วจิตดั้งเดิมที่อยู่เหนือศีรษะกลับกลายเป็นรูปมือขนาดใหญ่ ปรากฏอยู่บนโต๊ะหนังสือทันที จากนั้นก็เลื่อนไปคว้า “คัมภีร์หลิงปู่เซียนจิง (หนึ่งในคัมภีร์เต๋า)” ที่อยู่บนโต๊ะซึ่งเขาเปิดอ่านเป็นประจำ
ถ้าหากเวลานี้ยังมีคนอื่นอยู่ในห้องล่ะก็ คงจะได้เห็นหนังสือที่เดิมทีวางอยู่บนโต๊ะ จู่ๆ ก็ลอยขึ้นมาอย่างกะทันหัน แล้วลอยมาอยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียน
จากนั้นเยี่ยเทียนจึงสั่งกระแสจิตให้ “คัมภีร์หลิงปู่เซียนจิง” นั้นลอยสูงขึ้น บินฉวัดเฉวียนไปทั่วห้อง ซึ่งใช้เวลานานกว่าหนึ่งนาทีเต็ม แล้วถึงได้กลับไปอยู่บนโต๊ะหนังสืออีกครั้ง
“ฮ่าๆ…ฮ่าๆๆ!” หลังจากเก็บจิตดั้งเดิมแล้ว เยี่ยเทียนจึงหัวเราะลั่น พร้อมกับความสบายอกสบายใจเป็นที่สุด
การแสดงออกของจิตดั้งเดิมเมื่อครู่ ได้เกินขอบเขตการหยิบสิ่งของกลางอากาศไปมาก และด้วยวรยุทธของเยี่ยเทียนที่สูงขึ้นอยู่เรื่อยๆ ทำให้จิตดั้งเดิมหล่อหลอมกลายเป็นจิตแห่งหยาง เช่นนั้นก็จะสามารถลืมตัวเองกับโลกใบนี้ แล้วปล่อยให้จิตท่องเที่ยวไปในโลกมนุษย์กับโลกสวรรค์ได้อย่างแท้จริง
“หืม? หยกดำล่ะ? ทะ…ทำไมถึงเป็นแบบนี้?”
หลังจากความดีใจผ่านไป เยี่ยเทียนก็นึกถึงหยกดำที่อยู่ในฝ่ามือ จึงแบฝ่ามืออก แต่กลับพบว่า นอกจากผงสีขาวกองหนึ่งที่อยู่บนฝ่ามือตัวเองแล้ว ก็ไม่มีสิ่งอื่นใด
“เกิด…เกิดอะไรขึ้น?”
เยี่ยเทียนตื่นตระหนกตกใจ ความดีใจจากการกระชับแน่นของจิตดั้งเดิมพลันหายไปในพริบตา เมื่อไม่มีปราณวิ เศษที่บริสุทธิ์ของหยกดำแล้ว หากเขาอยากจะบรรลุขั้นจิตดั้งเดิมสามารถแทรกซึมเข้าไปในวัตถุได้ เกรงว่าจะต้องฝึกด้วยความยากลำบากถึงสามปีเป็นอย่างน้อย
สามารถพูดได้ว่า เยี่ยเทียนได้มองหยกดำเป็นเหมือนของล้ำค่าพอๆ กับกระดิ่งซานชิง กระทั่งยังสำคัญกว่ากระ ดิ่งซานชิงเสียอีก!
“ก้อนหินนั่นเป็นสีดำ ทำไมถึงเหลือผงสีขาวเอาไว้?” เยี่ยเทียนไม่ยอม แล้วเริ่มควานหาทั้งด้านหน้าและด้านหลังของร่างกาย แต่กลับไม่พบสิ่งใด
“หรือว่าฉันได้ดูดซับปราณวิเศษที่อยู่ในหินจนหมดแล้ว มันถึงกลายเป็นผงสีขาว?”
ทันใดนั้นเยี่ยเทียนก็เกิดความคิดอย่างหนึ่งขึ้นมา หรือหินหยกนี่น่าจะเป็นเพียงตัวพาหะพิเศษที่รองรับปราณวิเศษ พอปราณวิเศษค่อยๆ หายไป บทบาทของหยกดำก็สูญสิ้น มันจึงแยกสลายตัวเองออกมา
“บ้าเอ้ย ฉัน…ฉันจะไปหาเจ้าสิ่งนี้ได้ที่ไหน?”
เยี่ยเทียนลุกขึ้น แล้วสบถด่าด้วยความไม่พอใจ แค่ก้อนหินหนึ่งอันก็สามารถย่นระยะเวลาการฝึกวรยุทธของเขาได้สามปี ถ้าหากสามารถมีเป็นร้อยเป็นพันชิ้น เยี่ยเทียนเชื่อว่าตัวเองจะบรรลุจินตันสำเร็จมหามรรค ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
ดั่งสุภาษิตกล่าวว่าเริ่มประหยัดแล้วฟุ่มเฟือยนั้นง่าย แต่เริ่มฟุ่มเฟือยก่อนแล้วค่อยประหยัดนั้นยากนัก หลังจากได้เห็นประสิทธิภาพของหยกดำ ในใจของเยี่ยเทียนจึงเหมือนกับกรงเล็บแมวนับสิบกำลังข่วนเขาอยู่ก็ไม่ปาน ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่อาจสงบใจลงได้
“ช่างเถอะ ไปหาอะไรกินก่อนแล้วกัน”
เสียงท้องร้อง “จ๊อกๆ” ดังมา ทำให้เยี่ยเทียนต้องลุกขึ้น เขาไม่รู้ว่าตัวเองฝึกวรยุทธนานเท่าไร เพียงแต่แสงอาทิตย์ที่ส่องมาจากนอกหน้าต่างนั้น สามารถมองออกมาว่าเป็นยามเช้าแล้ว
พอเปิดประตู ก็เห็นท้องฟ้าที่เพิ่งส่องสว่าง จากนั้นเยี่ยเทียนก็ต้องตกตะลึง เพราะเขาเห็นแม่กำลังยืนอยู่หน้าห้องของตัวเอง พร้อมกับสีหน้าร้อนใจบนใบหน้า
เยี่ยเทียนรู้ว่าแม่ของเขาชอบทำงานตอนกลางดึก จึงไม่เคยชินกับการตื่นนอนตอนเช้า เขาจึงรีบถามว่า “แม่ครับ ทำไมแม่ตื่นเช้าจัง?”
เมื่อเห็นลูกชายเดินออกมา ซ่งเวยหลันจึงเอ่ยพูด ทว่าเยี่ยเทียนกลับเห็นเพียงปากของแม่ที่ขยับ แต่ไม่ได้รู้ว่าแม่กำลังพูดอะไร
“เอ๊ะ ฉันลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไง?”
เยี่ยเทียนรีบยกเท้าวางไปที่พื้นหนึ่งครั้ง โน้มตัวลงไปเก็บเหรียญ “ต้าฉีทงเป่า” ที่วางอยู่ในดวงตาค่ายกลกลับมา แล้วจึงได้ยินคำพูดของแม่ “เสี่ยวเทียน ลูก…ลูกออกมาแล้ว แม่ร้อนใจแทบตาย”
“แม่ครับ ผมไม่เป็นไร ผมบอกคนในบ้านไปแล้วว่าจะเก็บตัวถือศีลไม่ใช่เหรอครับ?” เยี่ยเทียนได้ยินจึงตกตะลึง แล้วจึงรีบถามต่อ “ครั้งนี้ผมถือศีลนานเท่าไรครับ?”
ซ่งเวยหลันขึงตาใส่ลูกชายแล้วพูด “ยังจะพูดอีก ลูกอยู่ข้างในห้าวันเต็มๆ พวกเราอยู่ข้างนอกเรียกยังไงก็ไม่ขานรับ วันนี้ถ้าลูกยังไม่ออกมาอีก แม่…แม่ก็จะบุกเข้าไปแล้ว!”
“ห้าวัน? นานขนาดนั้นเชียว?” เยี่ยเทียนรู้ว่าสาเหตุที่ตัวเองท้องหิวร้องจ๊อกๆ แล้ว เพียงแต่ตอนที่เขาเข้าฌานเพื่อฝึกพลังจิตนั้น กลับไม่รู้สึกถึงเวลาที่ผ่านเลยไป
ดั่งคนโบราณกล่าวว่าอยู่ในภูเขาหนึ่งวันเท่ากับเวลาหลายพันปีในโลกมนุษย์ แท้จริงแล้วก็มีความหมายเช่นนี้ และคนที่บำเพ็ญพรตเหล่านั้นมักจะใช้เวลาเป็นนานปีในการเก็บตัวถือศีล พอกลับมายังโลกมนุษย์ โลกก็เกิดวิบัตรกลับตาลตรไปหมดแล้ว
ซ่งเวยหลันเดินมาอยู่ข้างตัวลูกชาย แล้วมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า เมื่อเห็นว่าเยี่ยเทียนไม่เป็นอะไร เธอจึงโล่งอกแล้วพูดว่า “เสี่ยวเทียน คราวหน้าอย่าทำแบบนี้อีกนะ ทำเอาพวกเราตกใจหมดเลย!”
ถ้าหากก่อนหน้านั้นเยี่ยเทียนไม่ได้กำชับคนในบ้านเป็นพิเศษ และตอนนี้ซ่งเวยหลันก็เชื่อในคำพูดของลูกชายอย่างไม่สงสัย เกรงว่าพวกเขาคงจะพังประตูเข้าไปนานแล้ว
“ผมรู้แล้วครับแม่ แม่วางใจได้” เยี่ยเทียนตกปากรับคำ แต่ในใจกลับทอดถอนใจ พลางคิดว่าที่บ้านไม่เหมาะสมให้ตัวเองฝึกวรยุทธจริงๆ