“คุณเยี่ย แม้ว่าคุณจะไม่ช่วยผม ก็ขอให้ช่วยลูกของผมเถอะครับ เพราะเด็กไม่มีความผิดอะไร!”
ตู้เฉียงคุกเข่าอยู่บนพื้น พร้อมกับมองเยี่ยเทียนด้วยใบหน้าที่อ้อนวอน ถึงแม้ชีวิตส่วนตัวของเขาจะไม่ระมัดระวัง และมีนิสัยที่เย็นชาไม่สนใจใครอยู่บ้าง แต่สำหรับสายเลือดเดียวของตัวเองที่อยู่บนโลกใบนี้ เขาจึงอาลัยอาวรณ์เป็นอย่างมาก
เยี่ยเทียนส่ายหน้าอย่างช้าๆ พลางพูด “คนที่น่าสงสารมักจะมีข้อเสียที่ทำให้คนเกลียด กรรมที่คุณก่อไว้ ตามหลักก็ควรให้ลูกของคุณเป็นคนชดใช้ ตู้เฉียง คำสาปที่คุณได้รับ จะทำให้คุณไม่มีลูกหลานสืบสกุลไปตลอดชีวิต!”
นอกจากนี้เยี่ยเทียนก็ยังไม่ได้พูดประโยคนั้นออกมา ตอนนี้ตู้เฉียงกำลังใช้ชีวิตท่ามกลางความหวาดกลัว และดูจากสภาพจิตใจและสติของเขาในตอนนี้ เกรงว่าจะอยู่ไม่เกินสองปี
แต่ถึงประโยคข้างต้นของเยี่ยเทียน จะทำให้ตู้เฉียงเหมือนโดนฟ้าผ่า แต่เขาก็ไม่สนใจอะไรแล้ว จากนั้นจึงโขกศีรษะคำนับเยี่ยเทียนติดต่อกัน พร้อมกับพูดว่า “คุณเยี่ย ได้โปรดช่วยผม ได้โปรดช่วยลูกของผมด้วย!”
หลังจากลูกชายคนโตตายไปตั้งแต่วัยเยาว์ ตู้เฉียงก็เคยไปตามหา “ยอดฝีมือผู้มีวิชาขั้นสูง” ที่กล่าวขานกันในประเทศจีนเพื่อมาช่วยกำจัดสิ่งอัปมงคลและความชั่วร้ายให้เขา และเขาได้เสียเงินไปไม่น้อย แต่กลับไม่ได้ผลอะไรเลย ไม่อย่างนั้นตู้เฉียงก็คงไม่หน้าด้านตามจีบเว่ยหรงหรงแบบนี้หรอก
“เฮ้ เฮ้ นี่คุณ อย่าเอาน้ำมูกของคุณมาเช็ดที่กางเกงของผมนะ”
เมื่อเห็นผู้ชายอย่างตู้เฉียงร้องไห้พลางกอดน่องขาของตัวเองเอาไว้ แถมยังเช็ดน้ำตากับน้ำมูกมาข้างบนอีก เยี่ยเทียนจึงกลืนไม่เข้าคายไม่ออกบอกไม่ถูก จากนั้นจึงผลักเขาออกไป แล้วพูด “คุณตู้ ผมกับคุณไม่ได้มีความสนิทสนมกัน ทำไมผมต้องช่วยคุณด้วย?”
เมื่อเยี่ยเทียนพูดคำเหล่านี้ออกมา ในใจของเขาก็เริ่มสั่นไหวขึ้นมาบ้าง เพราะความจริงแล้วเยี่ยเทียนก็ไม่เคยสัมผัสว่ามนต์ดำคืออะไรกันแน่ แต่ก็เหมือนกับที่พูดไปข้างต้น ทำไมเขาต้องช่วยตู้เฉียงให้เปลืองแรงด้วย?
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน ตู้เฉียงจึงเงยหน้าขึ้นทันที พลางพูดเสียงดัง “คุณเยี่ยเทียน ขอ…ขอเพียงคุณยอมช่วยผม ผม…ผมจะทำตามเงื่อนไขทุกอย่างโดยไม่มีข้อแม้ครับ!”
เยี่ยเทียนมองตู้เฉียงเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม แล้วจึงพูด “ต้องทำให้ครอบครัวล่มจมคุณก็ยินดี?”
“เอ่อ…”
ตู้เฉียงลังเลพักหนึ่ง แล้วจึงพูดต่อ “ผมยินดี คุณเยี่ย ขอเพียงคุณยอมช่วยผมกับลูกชาย ต่อให้ครอบครัวต้องล่มจมผมก็ยอมครับ!”
ตู้เฉียงเป็นคนฉลาด เขาเข้าใจหลักอย่างหนึ่ง เงินที่จ่ายออกไปถึงจะเรียกว่าเงิน มิฉะนั้นหากต้องรอให้ตัวเองเข้าโลงศพ เงินที่เหลืออีกมากก็เป็นของคนอื่นอยู่ดี และถ้าเงินใช้หมดแล้วเขาก็ยังหาใหม่ได้ แต่ชีวิตกลับมีเพียงชีวิตเดียวเท่านั้น
“ยอมจริงๆ เหรอ?” เยี่ยเทียนซักถามอีกหนึ่งประโยค
“ยอมครับ!” ตู้เฉียงกัดฟัน ขอเพียงสามารถรักษาลูกชายของเขาให้หายกับไม่ทำให้ตัวเองฝันร้ายทุกคืน ตู้เฉียงจะยอมมอบทุกสิ่งที่ของตัวเองด้วยความยินดี
เยี่ยเทียนพยักหน้า พลางพูด “บอกทรัพย์สินของคุณออกมาทั้งหมด ตู้เฉียง คนจีนให้ความสำคัญในเรื่องผลกรรมตามสนอง คุณทำเรื่องเลวมามาก ตอนนี้ต้องชดเชยโดยการสร้างบุญกุศล ห้ามปิดบังเด็ดขาด…”
“ผมมีบ้านสองหลังกับรถหนึ่งคันในปักกิ่ง มีมูลค่าประมาณสามล้านหยวน นอกจากนี้ยังมีหุ้นประมาณห้าล้านหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ส่วนเงินสดตอนนี้มีเพียงหนึ่งแสนกว่าหยวนครับ คุณเยี่ย คุณจะจัดการยังไง ผมก็จะทำอย่างนั้นครับ!”
ตู้เฉียงไม่กล้าปิดบังแม้แต่นิดเดียว แล้วจึงบอกทรัพย์สินที่มีทั้งหมดให้กับเยี่ยเทียน และคนที่อายุสามสิบต้นๆ อย่างเขา สามารถหาเงินหาทองด้วยมือเปล่าได้ถึงขนาดนี้ ถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
เยี่ยเทียนครุ่นคิด แล้วจึงเอ่ยพูด “คุณเก็บรถเอาไว้ แล้วปิดประกาศขายบ้าน จากนั้นขายหุ้นและแลกเป็นเงินสด แล้วเอามาให้ผมหนึ่งล้านหยวน ส่วนที่เหลือก็บริจาคให้กับมูลนิธิแห่งความหวังทั้งหมด คุณทำได้ไหมครับ?”
การเก็บค่าธรรมเนียมในการช่วยเหลือคนขับไล่สิ่งอัปมงคลและความชั่วร้าย ถือเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะทำแบบนี้ได้ทุกเรื่อง อีกอย่างเยี่ยเทียนก็รู้อยู่แก่ใจ เพราะเขาไม่ได้เป็นเหมือนลูกหลานนิกายเซียงเจียง ที่ต้องเอาเงินเข้ากระเป๋าให้ได้ก่อนแล้วจึงยอมรามือ
ถ้าหากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เยี่ยเทียนก็คงรับเงินเพียงหนึ่งล้านหยวน แต่สำหรับตู้เฉียง เยี่ยเทียนอยากให้บทเรียนแก่เขา ไม่เพียงแต่ทำให้ครอบครัวของเขาล่มจม แถมยังให้เขาได้รับสัมผัสถึงผลกรรมตามสนองจากการทำชั่วอีกด้วย
“ทำได้ ผมทำได้ครับ!”
ตู้เฉียงพยักหน้าหงึกๆ จากนั้นเขาจึงพูดอย่างลังเล “คุณ…คุณเยี่ยครับ คุณ คุณจะช่วยผมกำจัดมนต์ดำเมื่อไรครับ?”
ไม่ใช่ตู้เฉียงไม่เชื่อเยี่ยเทียน แต่เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตของเขาและลูกชาย ถ้าหากเขาให้เงินเยี่ยเทียน และบริจาคเงินไปแล้ว หากเยี่ยเทียนคิดหนีขึ้นมา แบบนั้นก็คงไม่ต้องรอให้คำสาปมาเอาชีวิตเขาหรอก เพราะตู้เฉียงคงจะโมโหตายทั้งเป็นเสียมากกว่า
“ตอนไหนก็ได้ ถ้าคุณใจร้อน ตอนนี้ก็ยังได้…”
เยี่ยเทียนลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก เขาไม่กลัวว่าหลังจากที่ตัวเองช่วยตู้เฉียงกำจัดสิ่งชั่วร้ายแล้วเขาจะชิ่งหนี ถ้าหากตู้เฉียงทำอย่างนั้นจริง เยี่ยเทียนมีวิธีมากมายที่จะจัดการเขา
“ตอนนี้ก็ได้?”
ตู้เฉียงได้ยินแล้วจึงตกละลึง เขาไม่คิดว่าเยี่ยเทียนจะตอบแบบนี้ เมื่อรอให้เขาได้สติกลับมา เยี่ยเทียนก็เดินออกไปนอกห้องแล้ว จากนั้นตู้เฉียงจึงรีบเดินตามหลังของเยี่ยเทียน พลางพูด “คุณ…คุณเยี่ย งั้น…งั้นพวกเราก็ไปตอนนี้เลยใช่ไหมครับ?”
“ได้ ผมขอไปบอกลาพวกเขาก่อน…”
สาเหตุที่เยี่ยเทียนพยักหน้า อย่างแรกเป็นเพราะเขาก็อยากรู้ระบบวิชาไสยศาสตร์ของทวีปยุโรป อย่างที่สองช่วงนี้เยี่ยเทียนไม่ค่อยมีเงิน ทั้งเนื้อทั้งตัวคลำหาเงินไม่เจอสักสลึงเดียว หากหาเงินได้เร็วหน่อยก็ยังทำให้พอมีเงินทองมีทองใช้อยู่บ้าง
“ชิงหย่า อีกสักพักให้พี่ใหญ่ส่งเธอกลับบ้านนะ ฉันกับเขาต้องไปทำธุระนิดหน่อย…” หลังจากกลับมาถึงตรงที่ปิ้งย่างบาร์บีคิว เยี่ยเทียนจึงกำชับอวี๋ชิงหย่า
“คุณเยี่ย คุณกับเหล่าตู้เกิดอะไรขึ้น?” เมื่อเห็นหน้าผากที่บวมแดงไปทั้งแถบของตู้เฉียง จี่หรานจึงอดถามอย่างช่วยไม่ได้ เพราะเขากับเยี่ยเทียนไม่ได้มีความแค้นอะไรต่อกัน จึงยังพอที่จะถามไถ่ได้บ้าง
“อันนี้?” เยี่ยเทียนหันมามองตู้เฉียงหนึ่งที แล้วจึงพูด “เรื่องนี้คุณต้องถามเขาด้วยตัวเองครับ”
“เอ่อ คุณชายจี่ ถ้าคุณว่างก็ไปกับผมด้วยสิครับ น้องชายอย่างผมก็มีเรื่องลำบากใจเหมือนกัน…”
ตู้เฉียงถอนหายใจ เพราะเยี่ยเทียนเปิดโปงเรื่องลูกชายของเขา ถ้าหากไม่อธิบายให้จี่หรานและคนอื่นเข้าใจอย่างชัดเจน ต่อไปตัวเองคงไม่มีหน้าทำมาหากินในปักกิ่งได้แน่นอน
“คุณเยี่ย คุณคิดว่ายังไครับ?” ตู้เฉียงยังต้องถามความคิดเห็นของเยี่ยเทียนก่อน ถึงอย่างไรเยี่ยเทียนก็จะต้องช่วยเขาปัดเป่ามนต์ดำออกไป และตอนที่ทำพิธีกรรมนั้นจะยอมให้คนอื่นอยู่ด้วยไหมจึงต้องลองถามอีกที
“แล้วแต่คุณ รีบไปกันเถอะ ตอนบ่ายผมยังมีธุระอีก…”
เยี่ยเทียนลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอกฟาร์มก่อน จี่หรานกับซางปู้ฉี่จึงสบตากันหนึ่งที แล้วจึงรีบเดินตามหลังไป แม้แต่ เหรินเจี้ยนคนที่กลัวเยี่ยเทียน ก็ยังคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงรีบเดินตามไป
ตู้เฉียงพักอยู่ในบ้านที่อยู่ใกล้กับบริษัท แต่เขายังมีคฤหาสน์หนึ่งหลังอยู่ที่นอกชานเมือง และถึงแม้เขากับจี่หรานและคนอื่นจะสนิทกัน แต่ก็ไม่มีใครรู้เรื่องคฤหาสน์หลังนี้
ในช่วงปลายปีหนึ่งพันเก้าร้อยเก้าสิบ คฤหาสน์บ้านหลังเดี่ยวเป็นที่นิยมมากในเมืองปักกิ่ง ตำแหน่งในการก่อสร้างก็ไม่เลวและราคาก็ไม่ได้แพงเหมือนยุคหลัง ถือว่าตู้เฉียงมีสายตาที่เฉียบแหลมมาก เขาจึงเริ่มลงทุนไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ
แต่เวลานี้ตู้เฉียงไม่มีอารมณ์มาอวดอะไรทั้งนั้น เพราะคฤหาสน์หลังนี้จะไม่ใช่ของตัวเองอีกต่อไปแล้ว หลังจากจอดรถ เขาจึงรีบพาคนสองสามคนเข้าไปในคฤหาสน์
และน่าจะเป็นเพราะได้ยินเสียงรถจอดอยู่ข้างนอก พอตู้เฉียงเปิดประตู ก็มีผู้หญิงวัยกลางคนอายุราวสี่สิบกว่าปีคนหนึ่งออกมาต้อนรับ พร้อมกับพูดด้วยสีหน้าร้อนใจ “คุณตู้ คุณกลับมาแล้ว? หรานหรานร้องไห้ตลอด ฉัน…ฉันคิดว่า คุณควรจะพาเขาไปหาหมอนะคะ?”
ดูเหมือนเป็นการขานรับคำพูดของหญิงวัยกลางคน เสียงร้องไห้ที่ดังเป็นพักๆ ดังออกมาจากห้องบนชั้นสองอย่างชัดเจน หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะการร้องไห้นานเกินไป จึงทำให้น้ำเสียงแฝงไปด้วยความอ่อนแอ
“หลี่เซ่า ผมเชิญหมอมาดูอาการป่วยของลูกแล้ว คุณช่วยรินน้ำให้พวกแขกด้วยครับ” หลังจากตู้เฉียงกำชับหลี่เซ่าแล้ว เขาจึงเอ่ยพูด “คุณเยี่ย คุณชายจี่ พวกคุณเชิญนั่งก่อนครับ!”
“ฮวงจุ้ยของบ้านหลังนี้จัดได้ดีพอสมควร แต่กลับขาดเรื่องโชคลาภและห่างไกลจากเรื่องสุขภาพมาก”
เยี่ยเทียนโบกมือ ไม่ได้สนใจคำพูดของตู้เฉียง จากนั้นจึงเดินไปรอบๆ ห้องโดยไม่สนใจคนอื่น ทำให้หลี่เซ่ามองเขาเหมือนระวังโจรขโมย เพราะมีอย่างที่ไหนมาดูอาการป่วยด้วยมือเปล่าอย่างน้อยก็ต้องมีอุปกรณ์หูฟังบ้าง
เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้แหบแห้งของเด็กทารก เยี่ยเทียนจึงขมวดคิ้ว แล้วพูด “ตู้เฉียงและพวกคุณรออยู่ข้างล่าง ผมจะขึ้นไปดูข้างบน ถ้าผมไม่ได้เรียกพวกคุณ ก็ห้ามขึ้นมานะ!”
ตู้เฉียงก็กำลังคิดหาโอกาสอธิบายเรื่องพวกนี้ให้จี่หรานและคนอื่นพอดี หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว เขาจึงรีบพยักหน้าขานรับ “ครับ คุณเยี่ย!”
“คุณตู้ เขา…เขาไม่ใช่พวกต้มตุ๋นใช่ไหมคะ?” หลี่เซ่าเป็นห่วงเด็ก จึงอดพูดเตือนตู้เฉียงไม่ได้
“หลี่เซ่า คุณออกไปก่อนนะ นี่เงินหนึ่งพันหยวน เย็นนี้คุณไม่ต้องมากลับมาแล้ว!”
ตู้เฉียงตกใจกับคำพูดของหลี่เซ่าแล้วจึงรีบควักเงินปึกหนึ่งยัดใส่มือของเธอ พลางแอบมองเยี่ยเทียนหนึ่งที เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้แสดงสีหน้าไม่พอใจ แล้วจึงวางใจอยู่บ้าง
“เวทย์มนต์ดำนี้ก็มีวิธีการของมันเหมือนกัน ทั้งๆ ที่เป็นพลังพิฆาตเหมือนกัน แต่ทำไมถึงต่างจากกับพลังหยินพิฆาตนะ?”
เยี่ยเทียนไม่ได้สนใจบทสนทนาของตู้เฉียงกับหลี่เซ่า ความสนใจของเขาอยู่ภายในห้องที่เด็กทารกอยู่ เพราะเยี่ยเทียนสัมผัสได้ว่า ภายในห้องมีกลิ่นอายบางอย่างที่คล้ายกับตัวของตู้เฉียง
แต่กลิ่นอายนี้มีความแปลกประหลาดมาก มีความเย็นยะเยือกและดำมืดของพลังพิฆาต และยังมีความรู้สึกบางอย่างที่เยี่ยเทียนพูดออกมาไม่ถูก เหมือนกับมีสิ่งมีชีวิตบางอย่างสิงอยู่ในตัวของเด็กทารก
เยี่ยเทียนส่ายหน้า แล้วจึงขึ้นไปบนชั้นสอง เขายืนอยู่ตรงหน้าประตูก็สามารถมองเห็นเปลที่อยู่ข้างหน้าต่างนั้น แสงอาทิตย์ยามบ่ายกำลังส่องไปบนเปล แต่ข้างหูของเขากลับได้ยินเสียงร้องไห้แหบแห้งของเด็ก และบรรยากาศภายในห้องก็มีความแปลกประหลาดอย่างเห็นได้ชัด
“นี่…นี่คือการทำบาปทำกรรมจริงๆ!”
หลังจากเยี่ยเทียนเห็นเด็กทารกคนนั้นเมื่อเดินมาถึงเปล ถึงแม้เขาจะมีความรู้ความสามารถมากมาย แต่ก็อดรู้สึกหวาดกลัวอย่างช่วยไม่ได้ เพราะว่าสภาพของเด็กคนนี้ น่าสงสารเวทนามากจริงๆ
ร่างกายที่อ่อนแอนอนขดอยู่ในเปล ใบหน้าและร่างกายที่เผยออกมาภายนอกของเด็กทารก เกิดตะปุ่มตะป่ำเป็นก้อนเหมือนถุงน้ำเต็มไปหมด มีถุงน้ำบางส่วนที่แตกออก ปล่อยกลิ่นเหม็นที่ไม่พึงประสงค์ฟุ้งกระจายออกมา
สองมือเล็กของเด็กทารกถูกกางออกไว้บนเปลทั้งสองข้างถูกมัดมั่นคง คงกลัวว่าเขาจะเอามือไปเกาถุงน้ำบนใบหน้า ที่ทั้งคันทั้งเจ็บแต่ก็เกาไม่ได้ ทำให้เสียงร้องไห้ของเด็กคนนี้ยิ่งน่าเวทนาเป็นอย่างมาก พร้อมกับน้ำตาไหลเอ่อเต็มดวงตาทั้งสองข้าง