ตอนที่ 720 ความลับระดับชาติ
“พอได้ขึ้นเป็นผู้พันแล้ว กิริยามารยาทก็ย่ำแย่เชียวนะ”
เยี่ยเทียนหัวเราะหึๆ เผยให้เห็นฟันขาวบริสุทธิ์ทั้งปาก แล้วกลับเปลี่ยนเป็นถลึงตาทันที “เวลาฉันอยากจะฆ่าคนน่ะ จำเป็นต้องใช้อาวุธอะไรด้วยรึไง?”
ขณะเดียวกันกับที่เยี่ยเทียนถลึงตา ฝูเจิงหมิงก็รู้สึกเย็นวาบไปทั้งร่าง รูขุมขนนับพันนับหมื่นรูบนร่างเปิดออกพร้อมๆ กัน มือก็เผลอคลำไปทางบั้นเอว
“ของที่แกพกอยู่น่ะ ก็แค่มีไว้ประดับเท่านั้นแหละ!” เสียงของเยี่ยเทียนดังมาจากหลังประตู หลังจากเขาขู่ฝูเจิงหมิงเสร็จแล้ว ก็เดินเข้าไปในเรือนสี่ประสานอย่างวางมาด
“มีไว้ประดับ?”
ฝูเจิงหมิงไม่ค่อยจะเข้าใจคำพูดของเยี่ยเทียนเลย แต่เมื่อสายตามองไปที่ปืนที่ถืออยู่ในมือ เขาก็ตะลึงไปทันที เพราะปืนพกชนิดเก็บเสียงรุ่นใหม่ล่าสุดกระบอกนั้น ปากกระบอกปืนถูกบิดจนเหมือนขนมโดนัทเป็นเกลียวไปแล้ว
“บ้าเอ๊ย นี่มันยังเป็นคนอยู่รึเปล่าวะ?” ฝูเจิงหมิงรู้สึกชาหนังศีรษะไปวูบหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะรู้อยู่ว่า เยี่ยเทียนเป็นหลานตาแท้ๆ ของท่านผู้บัญชาการ ถึงตีให้ตายเขาก็ไม่กล้าปล่อยให้บุคคลอันตรายอย่างเยี่ยเทียนเข้าไปพบท่านแน่ๆ
บ้านแบบเรือนสี่ประสานที่ซ่งเฮ่าเทียนอาศัยอยู่นี้ ก็เป็นชนิดที่มีเรือนล้อมลานต่อกันสามเรือน เรือนหน้าและเรือนหลังเป็นที่พักอาศัยของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและแม่บ้านรวมถึงแพทย์ประจำบ้าน ส่วนตัวซ่งเฮ่าเทียนเองนั้นก็อาศัยอยู่ที่เรือนกลาง
ระหว่างที่กำลังเดินไปตามโถงทางเดินในเรือนหน้า เยี่ยเทียนรู้สึกได้ว่า มีสายตาอย่างน้อยสี่ห้าคู่กำลังจับจ้องดูเขาจากที่ลับ นอกจากนี้บนผนังสูงและจุดเร้นลับตามมุมต่างๆ ก็ติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้หลายตัว ทุกๆ อากัปกิริยาของเขาถูกคนเฝ้าจับตามองอยู่ตลอดเวลา
ฤดูใบไม้ผลิที่เมืองปักกิ่งนั้นมาเร็วกว่าทางภูมิภาคตงเป่ยอยู่บ้าง ต้นไหวในลานบ้านเริ่มแตกพุ่มสีเขียวสดแล้ว เยี่ยเทียนเดินไปตามพื้นที่ปูด้วยอิฐเทา พอเลี้ยวที่มุมหนึ่งก็ไปถึงเรือนกลางแล้ว
ที่มุมด้านซ้ายของลานบ้านในเรือนกลางนั้น ถูกขุดสระขึ้นมาหนึ่งสระตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ ในสระปลูกดอกบัวไว้เต็ม สายลมโชยเบาๆ ในลานบ้านจึงเต็มไปด้วยกลิ่นหอมกรุ่นของดอกบัว
และตรงกลางลานบ้านนั้นก็มีชายชรานั่งอยู่คนหนึ่ง เขากำลังเติมถ่านใส่เตาดินเผาที่อยู่ตรงหน้าอย่างกระตือรือร้น บนเตามีกาน้ำชาทองแดงที่ปากกาเป็นรูปหัวมังกรใบหนึ่งวางอยู่ ตอนนี้เริ่มได้ยินเสียงน้ำเดือดดัง “ปุดๆๆๆ” แล้ว
ข้างๆ ชายชรามีเด็กวัยหกเจ็ดขวบยืนอยู่คนหนึ่ง ข้างหลังยังมีแพทย์ประจำบ้านอยู่อีกสองคน ซึ่งกำลังมองเยี่ยเทียนอย่างไม่เป็นมิตร ปกติในเวลานี้ท่านผู้นำน่าจะพักผ่อนได้แล้ว แต่การมาเยี่ยมเยือนของเยี่ยเทียนกลับทำให้กำหนดเวลาของท่านผู้นำเสียไปหมด
“อ้าว ท่านผู้เฒ่า ท่าทางอารมณ์ดีนี่นา การตกแต่งจัดวางในสวนนี่ก็ไม่เลวเลยนะครับ!”
ก่อนหน้านี้เยี่ยเทียนเคยมาที่เรือนสี่ประสานแห่งนี้แล้วครั้งหนึ่ง แต่ตอนนั้นในลานบ้านยังไม่มีสระบัวสระนี้ เมื่อเยี่ยเทียนพิจารณาดูไปรอบๆ ก็พบว่า กระแสพลังหยินพิฆาตในบ้านนี้ถูกขจัดไปเกือบหมดแล้ว
“แกน่ะทำไมจู่ๆ ถึงได้นึกอยากจะมาหาตาแก่อย่างฉันล่ะ?”
ซ่งเฮ่าเทียนเหลือบตาขึ้นมามองเยี่ยเทียน แล้วรินน้ำที่ต้มเดือดแล้วใส่กาดินม่วงในชุดชงชาที่วางอยู่ตรงหน้า เขาชงชาสองถ้วยอย่างชำนาญคล่องแคล่ว แล้วพูดขึ้นว่า “ชาอู่อี๋ต้าหงเผาของแท้จากสามต้นชาแม่พันธุ์ แกนี่มีลาภปากจริงๆ นะ!”
ตั้งแต่ลงจากตำแหน่งผู้นำเป็นต้นมา สภาพจิตใจของซ่งเฮ่าเทียนก็เปลี่ยนแปลงไปมาก กระทั่งยังเริ่มรู้สึกผิดต่อเยี่ยเทียนผู้เป็นหลายชายอีกด้วย
ตอนที่เยี่ยเทียนเกิดเรื่องในช่วงเหตุวินาศกรรม 9/11 ที่นิวยอร์ก ซ่งเฮ่าเทียนก็ได้ฝ่าฝืนกฎระเบียบและใช้เส้นสายไปไม่น้อย ถึงขั้นโทรศัพท์ไปติดต่อสถานทูตที่สหรัฐอเมริกาด้วยตนเอง เพื่อที่จะขอให้มีการรับรองความปลอดภัยของเยี่ยเทียน
“ชาดี เป็นชาจากสามต้นชาแม่พันธุ์จริงๆ ด้วยนะเนี่ย!” เยี่ยเทียนก็ไม่ได้เกรงใจ นั่งลงตรงหน้าซ่งเฮ่าเทียน แล้วใช้สองนิ้วคีบถ้วยชาขึ้นมาดื่มจนหมดถ้วย
“แกเคยดื่มชานี่ด้วยรึ?”
ตอนแรกซ่งเฮ่าเทียนอยากจะถามจุดประสงค์การมาของเยี่ยเทียนก่อน แต่พอได้ยินเขาพูดแบบนั้น ก็กลับเกิดความประหลาดใจขึ้นมา เพราะใบชาชนิดนี้แม้แต่เขาเองก็ยังหามาได้ปีละไม่ถึงหนึ่งตำลึง แล้วเยี่ยเทียนจะไปได้มาจากไหนกัน?
“ที่บ้านผมก็มีอยู่เหมือนกันแหละ สมัยก่อนน่ะผมกับอาจารย์…”
เยี่ยเทียนเผลอปากไวไปชั่วขณะ จนเกือบจะพูดถึงสิ่งที่เขาและหลี่ซั่นหยวนเคยทำออกมาแล้ว ยังดีที่หยุดปากได้ทันเวลาพอดี เขามองไปทางเด็กน้อยที่อยู่ข้างๆ ซ่งเฮ่าเทียนแล้วพูดขึ้นว่า “เด็กคนนี้ไม่เลวนะเนี่ย อวัยวะบนใบหน้าได้สัดส่วน เค้าโครงหมดจด วันหน้าต้องได้เป็นข้าราชการแน่!”
“พูดจริงรึ?”
ซ่งเฮ่าเทียนฟังแล้วตาลุกวาว ไม่สนใจจะซักถามเรื่องใบชาต้าหงเผาแล้ว แต่เอ่ยถามว่า “เยี่ยเทียน แกไม่ได้พูดไปเรื่อยใช่ไหม?”
หลังจากซ่งเฮ่าเทียนลงจากตำแหน่ง อิทธิพลในแวดวงการเมืองของตระกูลซ่งก็หายไปเกือบหมด แต่ตราบใดที่ซ่งเฮ่าเทียนยังอยู่บนโลกนี้ ก็จะยังไม่มีใครกล้ามาโค่นล้มตระกูลซ่งได้
แต่หากเขาไม่อยู่แล้ว ตระกูลซ่งที่ในประเทศก็จะต้องเผชิญกับการล้างไพ่ครั้งใหญ่ เด็กคนนี้แม้จะอายุยังน้อย แต่คำพูดของเยี่ยเทียนกลับทำให้ซ่งเฮ่าเทียนเริ่มเห็นความหวังของตระกูลซ่งในอนาคตอยู่รำไรแล้ว
“เชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่เถอะครับ” เยี่ยเทียนเงยหน้าขึ้นมองดูสีหน้าของซ่งเฮ่าเทียน “ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ท่านผู้เฒ่ายังจะได้เห็นวันที่เขาก้าวขึ้นไปเป็นข้าราชการอยู่ เท่านี้ก็น่าจะพอใจได้แล้วนะ!”
“ฉัน…ฉันยังจะอยู่ได้อีกนานขนาดนั้นเลยรึ?”
คำพูดของเยี่ยเทียนยิ่งทำให้ซ่งเฮ่าเทียนมีสีหน้าปิติมากขึ้น กว่าเหลนของเขาคนนี้จะเรียนจบมหาวิทยาลัยก็คงเป็นตอนอายุยี่สิบต้นๆ โน่น นั่นไม่เท่ากับหมายความว่า เขายังมีอายุขัยอยู่อีกถึงสิบกว่าปีหรอกรึ?
เยี่ยเทียนโบกมือ “เรื่องพวกนี้ไว้ค่อยพูดกันทีหลังเถอะท่านผู้เฒ่า ที่ผมมาหาครั้งนี้น่ะเพราะเรื่องอื่นต่างหาก”
“เรื่องอะไร? แกน่ะปกติไม่ว่าเรื่องอะไรก็จะไม่ยอมขอความช่วยเหลือทั้งนั้นเลยนี่?”
ตอนนี้ซ่งเฮ่าเทียนกำลังอารมณ์ดี จึงเอ่ยขึ้นว่า “วันนี้ยกให้เป็นกรณีพิเศษก็แล้วกัน ขอแค่เรื่องที่แกมาขอให้ฉันทำไม่ใช่อะไรที่มันผิดกฎเกณฑ์ ฉันก็จะตอบตกลงหมดนั่นละ!”
“จะใจกว้างอะไรปานนั้น? แค่เมื่อกี้ผมพูดไปสองประโยคเนี่ย ก็พอเป็นค่าแรงที่จะขอให้ช่วยแล้ว”
เยี่ยเทียนเบะปากอย่างไม่ได้รู้สึกขอบคุณเลยสักนิด สำนักเสื้อป่านนั้นเบื้องบนทำนายให้เจ้าขุนมูลนาย เบื้องล่างก็ทำนายให้ไพร่ฟ้าประชาชน แต่ค่าตอบแทนที่ได้รับนั้นกลับถือว่าน้อยนิดนัก โดยเฉพาะการที่เขาพูดเรื่องอายุขัยของซ่งเฮ่าเทียนออกมานี้ ก็ถือว่าเป็นการแพร่งพรายความลับแห่งฟ้าแล้ว
แน่นอนว่า เยี่ยเทียนในตอนนี้ก็ถือว่าเป็นคนในแวดวงการบำเพ็ญพรตแล้ว ซึ่งเดิมทีการบำเพ็ญพรตนั้นก็เป็นการกระทำที่ท้าทายต่อสวรรค์อยู่แล้วเช่นกัน การถูกพลังปราณชีวิตสะท้อนกลับจึงไม่ได้ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกหวาดหวั่นแต่อย่างใด
“เฮ้ย เวลาพูดจากับท่านผู้นำน่ะมีมารยาทหน่อย!” หลังจากเยี่ยเทียนพูดออกไป ซ่งเฮ่าเทียนก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะกำลังดีอกดีใจอยู่ แต่แพทย์ประจำบ้านที่อยู่ข้างหลังกลับเริ่มทนดูไม่ได้แล้ว
แพทย์สองคนนี้ต่างก็ติดตามท่านผู้นำมาสิบกว่าปีแล้ว เคยพบเจอเจ้าหน้าที่ระดับสูงในหน่วยงานของรัฐรวมถึงลูกหลานตระกูลซ่งมาไม่น้อย แต่ยังไม่เคยมีใครกล้าใช้วาจาล้อเลียนแบบนี้พูดกับท่านผู้นำมาก่อนเลย
เยี่ยเทียนยังไม่ทันตอบ ซ่งเฮ่าเทียนก็โบกมือแล้วพูดว่า “พวกคุณสองคนพาเด็กออกไปเล่นเถอะไป ฉันจะคุยธุระกับหลานชายหน่อย!”
“ขอโทษครับท่านผู้นำ!”
เมื่อได้ยินซ่งเฮ่าเทียนพูดเน้นหนักคำว่าหลานชาย แพทย์ประจำบ้านคนที่พูดขึ้นมาเมื่อครู่ก็รู้ว่าตัวเองไม่ควรพูดแทรกเลย เรื่องของบ้านคนอื่นแท้ๆ เขาจะไปจู้จี้ไม่เข้าเรื่องทำไมกัน
“ว่ามาสิ คนอย่างแกน่ะถ้าไม่มีเรื่องก็ไม่มาถึงนี่หรอก ที่มาหาฉันน่ะเพราะเรื่องอะไรกันแน่?”
หลังจากรอจนแพทย์ประจำบ้านพาเด็กคนนั้นออกไปจากลานบ้านแล้ว ซ่งเฮ่าเทียนก็หุบยิ้มลง เขารู้ว่าเยี่ยเทียนไม่เหมือนคนปกติธรรมดา ในเมื่อมาหาเขาถึงบ้านด้วยตัวเอง ก็แปลว่าเรื่องนี้ต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่
“ในลานบ้านนี่คงไม่ได้ถูกสังเกตการณ์ด้วยใช่ไหมครับ?”
เยี่ยเทียนมองซ้ายมองขวา แล้วอดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ เพราะเขาพบกล้องวงจรปิดหลายจุดตามตำแหน่งเร้นลับในลานบ้านแห่งนั้น
ที่จริงแล้วกล้องเหล่านี้ไม่ได้มีไว้เพื่อเฝ้าสังเกตซ่งเฮ่าเทียน แต่เพราะเกรงว่าเวลาที่เขาทำอะไรอยู่ในลานบ้านคนเดียวแล้วจะเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นมา จึงได้มีการเฝ้าสังเกตอยู่ตลอดเวลา
เยี่ยเทียนตั้งจิต ไอหมอกสีขาวเป็นปุยๆ แผ่ออกมาจากใต้ฝ่าเท้า เพียงชั่วพริบตาก็ก่อขึ้นเป็นม่านกำบังรอบๆ ร่างของเขาและซ่งเฮ่าเทียน ขณะเดียวกัน ภาพคนสองคนบนหน้าจอแสดงผลในห้องสังเกตการณ์ก็เริ่มมัวขึ้นมา
“หัวหน้าครับ เจ้าหมอนั่นใช้วิชาอะไรก็ไม่รู้ มองไม่เห็นท่านผู้นำแล้วครับ!”
หลังจากเยี่ยเทียนเดินเข้าไปในบ้าน ฝูเจิงหมิงก็คอยมองดูเขาที่หน้าเครื่องมอนิเตอร์ตลอดเวลา ลูกน้องไม่ต้องบอกอะไร เขาก็สังเกตเห็นเหตุการณ์นี้อยู่แล้ว
ฝูเจิงหมิงครุ่นคิดดูแล้วส่ายหน้า ตอบอย่างเจ็บใจว่า “ไม่ต้องยุ่งหรอก ถ้ามันมีเจตนาร้ายต่อท่านผู้นำละก็ ต่อให้เรียกเจ้าหน้าที่เข้าไปหมดก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี”
“เยี่ยเทียน มันเรื่องอะไรกันแน่น่ะ? จำเป็นต้องระวังขนาดนี้เลยรึ?”
หลังจากเห็นการกระทำอันพิสดารของเยี่ยเทียนและไอหมอกที่อยู่รอบกาย ซ่งเฮ่าเทียนก็เริ่มมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา เพราะขณะที่ไอหมอกเหล่านั้นกำลังลอยขึ้นมา เขารู้สึกได้ว่า โลกทั้งใบเหมือนจะเงียบสงัดลงจนไม่ได้ยินแม้แต่เสียงของลมแล้ว
เยี่ยเทียนก็หยุดยิ้มยียวนเช่นกัน แล้วพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป ตระกูลเยี่ยกับตระกูลซ่งคงได้ตายอย่างไม่มีที่กลบฝังกันหมดแน่!”
“พูดบ้าๆ ตราบใดที่ฉันซ่งเฮ่าเทียนยังมีชีวิตอยู่ จะมีใครกล้ามาทำอะไรตระกูลเยี่ยกับตระกูลซ่งได้ยังไงกัน? แกไปท้าทายใครมาใช่ไหมล่ะ? บอกตาแกมาเถอะ ตาจะช่วยแกคลี่คลายเอง!”
เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน ซ่งเฮ่าเทียนก็ตาขวางขึ้นมาทันที เขามีตำแหน่งสูงและเปี่ยมอำนาจมาทั้งชีวิต ยามนี้เมื่อเกิดโทสะ จึงแผ่รังสีอันน่ายำเกรงออกมาโดยอัตโนมัติ
“คนพวกนั้นไม่ได้อยู่ในโลกของฆราวาสอย่างเรา บารมีของปุถุชนแบบนี้ ถึงจะเบ่งไปก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอกครับ”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า แล้วพูดต่อไปว่า “ท่านผู้เฒ่าเองก็เคยข้องเกี่ยวกับส่วนกลางการปกครองของประเทศนี้มาก่อน เคยได้ยินไหมครับว่าบนโลกนี้มีพวกที่เรียกว่าผู้บำเพ็ญพรตอยู่?”
ตอนที่เยี่ยเทียนเห็นคูปองอาหารที่มีตราของเมืองปักกิ่ง เขาก็เริ่มรู้สึกแล้วว่า วงการบำเพ็ญพรตนี้ดูเหมือนจะไม่ได้ปลีกตัวออกจากสังคมโดยสิ้นเชิง บางทีอาจยังมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับโลกของฆราวาสอยู่ก็เป็นได้
“ผู้บำเพ็ญพรต?”
เมื่อได้ยินคำนี้จากปากของเยี่ยเทียน ซ่งเฮ่าเทียนผู้มีท่าทางสุขุมเยือกเย็นมาตลอดก็เปลี่ยนสีหน้าไปทันที ดวงตาวาวโรจน์ จ้องเขม็งไปที่เยี่ยเทียน “แกไปรู้เรื่องนี้มาจากไหน?”
“ท่านผู้เฒ่ารู้จักจริงๆ ด้วย!” เยี่ยเทียนถอนหายใจ “ผมเคยเจอกับคนประเภทนี้มาก่อนน่ะ ท่านผู้เฒ่าเล่าสิ่งที่รู้มาให้ผมฟังหน่อยเถอะครับ!”
“แกคงไม่ได้ไปท้าทายคนพวกนั้นมาหรอกนะ?”
คราวนี้ซ่งเฮ่าเทียนร้อนใจขึ้นมาจริงๆ แล้ว เขาเอ่ยขึ้นว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก ฉันบอกที่มาที่ไปให้แกรู้ไม่ได้หรอก แกเคยเจอกับคนพวกนั้นมาแล้วจริงๆ น่ะรึ?”
หลังจากที่ซ่งเฮ่าเทียนเข้าไปอยู่ในส่วนกลางแล้ว เขาถึงจะมีสิทธิไปสืบค้นในเอกสารฉบับหนึ่ง และได้พบบันทึกเกี่ยวกับผู้บำเพ็ญพรต
ในบันทึกเหล่านี้ ได้อธิบายเกี่ยวกับผู้บำเพ็ญพรตเหล่านั้นไว้อย่างชัดเจนว่า คนพวกนี้มีความสามารถในการล้มภูเขาพลิกทะเล และเหาะเหินเดินอากาศได้ แต่เนื่องจากสาเหตุหลายประการ จึงต้องไปใช้ชีวิตอยู่ที่สถานที่อีกแห่งหนึ่ง และในหลายสิบปีมานี้ คนพวกนี้ก็ไม่เคยปรากฏกายอีกเลย
บนเอกสารนั้น มีลายเซ็นของท่านผู้สถาปนาประเทศและยอดนายพลทั้งสิบอยู่ ซึ่งก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คนรุ่นหลังเชื่อถือข้อมูลเหล่านั้นอย่างสุดใจ แต่คนพวกนี้ไม่เคยปรากฏกายเลยนานถึงครึ่งศตวรรษแล้ว ดังนั้นถ้าไม่ใช่เพราะเยี่ยเทียนเอ่ยถึงขึ้นมา ซ่งเฮ่าเทียนก็คงจะลืมเรื่องนี้ไปแล้ว
และเอกสารฉบับนี้ยังเป็นเอกสารลับสุดยอดของประเทศอีกด้วย ต่อให้เป็นพวกซ่งเฮ่าเทียน ก็ต้องสาบานเหมือนกันว่า จะไม่นำข้อมูลภายในนั้นไปเผยแพร่ให้คนนอกรู้
เยี่ยเทียนหยิบคูปองอาหารออกมาจากกระเป๋าหลายใบ ยื่นให้ซ่งเฮ่าเทียนดูแล้วตอบว่า “ไม่ใช่แค่เคยเจอนะ ผมยังเคยฆ่าไปคนหนึ่งแล้วด้วย!”