เยี่ยเทียนใช้กาน้ำชาบนเตาดินเผาชงชาให้ตัวเองอีกถ้วยหนึ่ง หลังจากดื่มหมดแล้วก็พูดขึ้นว่า “ท่านผุ้เฒ่าครับ ธุระก็ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ผมไปก่อนก็แล้วกันนะครับ!”
ซ่งเฮ่าเทียนเล่นการเมืองมาครึ่งค่อนชีวิต เรื่องบางอย่างยังเก่งกว่าเยี่ยเทียนเสียอีก เขาย่อมรู้อยู่แล้วว่าควรจะไปสืบค้นที่มาของคูปองอาหารเหล่านั้นได้อย่างไร เยี่ยเทียนจึงไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงเลย
“นี่เยี่ยเทียน ช่วงนี้แกก็อยู่เฉยๆ เงียบๆ ไว้หน่อยล่ะ เลิกแห่ไปทั่วได้แล้ว!”
หลังจากฟังเยี่ยเทียนพูดแล้ว ซ่งเฮ่าเทียนก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ คราวก่อนที่เยี่ยเทียนไปอเมริกาก็เกิดเหตุวินาศกรรม 9/11 ที่สะเทือนไปทั่วโลกขึ้น จนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด
คราวนี้พอเยี่ยเทียนไปที่ภูเขาฉางไป๋ซาน ก็กลับมาบอกว่าสังหารเทพเซียนไปหนึ่งคน ถ้าไม่ใช่เพราะซ่งเฮ่าเทียนมีสุขภาพจิตดี สงสัยคงถูกเขาปั่นหัวจนเป็นโรคหัวใจไปแล้ว
“รู้แล้วครับ”
เยี่ยเทียนโบกมือโดยไม่ได้หันหลังกลับมาเลย “สระบัวนี่ไม่เลวเลยนะ ซื้อเต่ามาปล่อยไว้ในนั้นสักตัวสิครับ เต่านั้นเป็นสัตว์อายุยืน ไม่แน่อาจจะช่วยยืดอายุขัยให้ท่านได้ก็ได้นะ”
“เลี้ยงเต่าหนึ่งตัวรึ? ได้สิ ไว้พรุ่งนี้จะให้เสี่ยวฝูไปหามาตัวนึง!” ซ่งเฮ่าเทียนพยักหน้า แต่แล้วก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ “ไม่สิ นี่แกจะหลอกด่าฉันเป็นไอ้แก่ตายยากเหมือนเต่าใช่ไหม?”
และเมื่อซ่งเฮ่าเทียนเห็นว่ากล่องใบชาบนโต๊ะหายไปแล้ว ก็ยิ่งโมโหจนตาถลนหนวดเคราชูชัน ปีหนึ่งๆ เขาก็ได้มาแค่หนึ่งตำลึง กลับถูกเยี่ยเทียนปล้นไปหมดเลย
“ท่านผู้นำครับ วันนี้ท่านออกกำลังเป็นเวลานานเกินไป กรุณาให้ความร่วมมือกับเราในการตรวจด้วยนะครับ” หลังจากเยี่ยเทียนออกจากเรือนสี่ประสานไปแล้ว แพทย์ประจำบ้านก็กลับมาทันที พวกเขานี่ก็ทำงานหนักกันจริงๆ เป็นทั้งพี่เลี้ยงเป็นทั้งหมอเลย
“ได้ พวกคุณตรวจเลย!”
ซ่งเฮ่าเทียนพยักหน้า แต่ใจกลับนึกถึงแต่เรื่องที่เยี่ยเทียนฝากเขาไว้ ถ้าอยากจะไปสืบค้นเรื่องเก่าตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีก่อนโดยที่ไม่เผยพิรุธให้ใครเห็น ก็จะต้องหาคนที่ไว้ใจได้มากๆ เสียก่อน
“มีอะไร? ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ?”
ขณะที่ซ่งเฮ่าเทียนกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องใหญ่ระดับประเทศ เขาก็ยืนปล่อยให้พวกหมอทำการตรวจร่างกายอยู่ตรงนั้น แต่หลังจากตรวจเสร็จแล้วกลับพบว่า พวกหมอมีสีหน้าแปลกๆ พิกล
“ท่านผู้นำครับ ความดันของท่านลดลงไปแล้ว แม้แต่…แม้แต่อาการของโรคหลอดเลือดหัวใจก็ดีขึ้นมากเลยครับ!”
เหล่าแพทย์ประจำบ้านไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลย แต่ภาพที่ปรากฏอยู่บนเครื่องนั้นแสดงอย่างชัดเจนว่า กระจุกสีขาวบนผนังเส้นโลหิตแดงของซ่งเฮ่าเทียนนั้นจู่ๆ ก็ลดลงไปมาก
เนื่องจากอายุที่มากแล้ว อาการโรคในวัยชราของซ่งเฮ่าเทียนจึงปรากฏค่อนข้างชัดเจน โดยโรคที่อาการหนักมากที่สุดก็คือโรคหลอดเลือดหัวใจ เมื่อเดือนที่แล้วก็เพิ่งจะต้องไปนอนโรงพยาบาลอยู่ช่วงหนึ่งเพราะมีอาการแน่นหน้าอก
ดังนั้นการพัฒนาอันแสนอัศจรรย์นี้จึงทำให้หมอพวกนั้นต่างสับสนกันไปหมด พวกเขาเป็นหมอมาหลายสิบปีแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยพบเรื่องแบบนี้มาก่อน
เมื่อเห็นสีหน้างุนงงของแพทย์ประจำบ้านแต่ละคน ซ่งเฮ่าเทียนก็หัวเราะฮ่าๆ “ไม่มีอะไรหรอกน่า ฉันได้เจอหลานชายก็เลยอารมณ์ดี พออารมณ์ดีแล้วโรคมันก็เลยหายเองนั่นแหละ!”
หมอเหล่านั้นไม่เข้าใจ แต่ซ่งเฮ่าเทียนนั้นเข้าใจแจ่มแจ้งเลยทีเดียวว่า นอกจากเยี่ยเทียนแล้ว ก็ไม่มีคำอธิบายอื่นใดอีก เจ้าเด็กนั่นคงจะใช้วิชาไหนก็ไม่รู้ ช่วยปรับสภาพร่างกายให้เขานั่นเอง
หลังจากไล่เหล่าแพทย์ประจำบ้านไปแล้ว ซ่งเฮ่าเทียนก็กลับเข้าไปในห้อง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหยิบโทรศัพท์รุ่นซ่อนเบอร์สีแดงเครื่องหนึ่งขึ้นมาต่อสายออกไป
…
“จะเจ็ดโมงครึ่งแล้วนะ ยังไม่ลุกจากที่นอนอีก เดี๋ยวแม่จะมาเรียกแล้วนะ!”
หลังจากกลับมาอยู่บ้านได้อาทิตย์กว่าๆ ก็เป็นไปอย่างที่เยี่ยเทียนเคยพูดไว้ นอกจากตอนที่ไปรับส่งอวี๋ชิงหย่าเวลาเข้างานและเลิกงานแล้ว เขาก็ไม่ได้ออกจากบ้านไปไหนเลย
นอกจากเว่ยหงจวิน แม้แต่พวกหูจวินก็ยังไม่รู้ว่าเขากลับมาที่ปักกิ่งแล้ว วันเวลาของเยี่ยเทียนผ่านไปอย่างแสนจะอิสระเสรี และก็ไม่ต้องไปขบคิดเรื่องวุ่นวายสารพัดอย่างอีกแล้ว
เมื่อได้ยินภรรยาพูดดังนั้น เยี่ยเทียนก็หัวเราะหึ ๆ ยื่นปากไปที่ข้างหูอวี๋ชิงหย่า แล้วกระซิบว่า “แม่ไม่มาเรียกหรอกน่า แม่เขาอยากให้พวกเรานอนกันเยอะๆ จะตายไป ไม่อย่างนั้นจะเกิดหนูน้อยเสี่ยวเยี่ยจื่อออกมาได้ยังไงล่ะ?”
อากาศที่ปักกิ่งมีแต่มลพิษ ไม่เหมาะต่อการฝึกปราณของเยี่ยเทียนเลย ถ้าสูดก๊าซเหล่านั้นเข้าไปจริงๆ เขาก็อาจจะต้องเสียเวลาไปขับมันออกจากร่างอีก
ดังนั้นในเวลาแบบนี้ เยี่ยเทียนจึงนอนตื่นสายกว่าปกติ แน่นอนว่า มีเจตนาที่จะชดเชยให้อวี๋ชิงหย่าแฝงอยู่ด้วย เพราะตั้งแต่แต่งงานกันมา ก็มีแต่ช่วงไม่กี่วันนี้แหละที่ได้อยู่กับเธอนานหน่อย
“ไม่ได้ ฉันไม่ไหวแล้ว ปล่อยฉันไปเถอะนะ!”
อวี๋ชิงหย่าได้ยินเยี่ยเทียนพูดอย่างนั้นก็ตกใจจนรีบลุกขึ้นนั่ง แต่หน้าอกทั้งสองเนินกลับเผยออกมาให้เห็น พอเยี่ยเทียนยื่นมือมาบีบ ทั้งร่างก็อ่อนปวกเปียกไปทันที
“ไม่ได้แล้วจริงๆ ฉันไปทำงานสายติดๆ กันตั้งหลายวันแล้วนะ ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป ต้องโดนคนอื่นนินทาแน่เลย”
อวี๋ชิงหย่าพยายามปัดป้องมือทั้งคู่ของเยี่ยเทียนที่รุกรานมาทั้งข้างบนข้างล่าง พลางอ้อนวอนเสียงแผ่วเบา การลงทัณฑ์ของเยี่ยเทียนตลอดหนึ่งอาทิตย์กว่าๆ ที่ผ่านมานี้ ทำให้เธอได้เข้าใจคำว่า ‘ทั้งเจ็บปวดทั้งสุขสม’ อย่างแท้จริง
“ฮี่ๆ ชิงหย่า เธอไม่รู้สึกเหรอว่าผิวของตัวเองดูดีขึ้นมากเลย?”
เยี่ยเทียนหัวเราะฮี่ๆ มือทั้งคู่ลูบไปบนร่างของอวี๋ชิงหย่า ขณะที่กำลังจะส่งลำหอกเข้าไป ทันใดนั้นหูก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังแว่วมา
“แม่จะมาทำไมละเนี่ยทีนี้?” เป็นไปตามคาด รอไม่ถึงห้าวินาที เสียงของซ่งเวยหลันก็พูดขึ้นที่หน้าประตู “เยี่ยเทียน มีคนมาหาแน่ะ รีบลุกขึ้นมาได้แล้ว!”
“โธ่เว้ย ใครกันถึงได้มาหาตอนเช้าขนาดนี้?”
พอถูกแม่เรียกเยี่ยเทียนก็หมดอารมณ์ไปทันที เขาตั้งจิตส่งจิตดั้งเดิมส่วนหนึ่งไปปกคลุมทั่วเรือนสี่ประสาน แล้วภาพกลุ่มคนที่กำลังยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ก็ปรากฏในห้วงสมองของเยี่ยเทียนทันที
“อ้าว ทำไมเป็นสองคนนี้ล่ะ? คราวนี้เหล่าต่งโดนไปเยอะเลยนี่” เมื่อเห็นสองคนนี้ เยี่ยเทียนก็ยื่นมือไปตบก้นอวี๋ชิงหย่าแล้วพูดว่า “ตะวันส่องก้นแล้วนะจ๊ะ รีบตื่นเร้ว!”
ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่เยี่ยเทียนเองกลับยังคงเอนกายอย่างเกียจคร้านอยู่บนเตียง สองคนนั้นไม่เชื่อที่เขาพูดเอง ที่ตกอยู่ในสภาพแบบนี้ก็ถือว่าสมควรแล้ว เยี่ยเทียนก็ไม่ได้มีเมตตากรุณาอะไรมากมายขนาดนั้นด้วย
“นายนี่นะ ฉันไม่รู้จะว่ายังไงดีแล้ว!”
อวี๋ชิงหย่าหยิกที่เอวของเยี่ยเทียนอย่างฉุนเฉียว แล้วรีบสวมใส่เสื้อผ้า พอไปนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งแล้วมองดูตัวเองในกระจก ก็อดถามขึ้นมาไม่ได้ว่า “เยี่ยเทียน จะว่าไปก็แปลกนะ ทำไมผิวฉันถึงดูเปล่งปลั่งขึ้นมาเหมือนของนายเลยล่ะ?”
เมื่อเยี่ยเทียนกลับมาบ้านคราวนี้ ผิวอันนวลเนียนทั้งบนใบหน้าและที่มือของเขานั้น ทำให้แม่และพวกป้าๆ ต่างก็อิจฉากันใหญ่
และหลังจากที่อวี๋ชิงหย่าร่วมหอกับเยี่ยเทียน ผิวกายก็นวลเนียนเปล่งปลั่งขึ้นมากกว่าแต่ก่อนไม่รู้กี่เท่า จนเพื่อนร่วมงานพวกนั้นกับเว่ยหรงหรงคอยมาซักไซ้ทุกวันว่าเธอใช้เครื่องสำอางอะไร
“ยังต้องถามอีกเหรอ? ก็เพราะเธอมีสามีอย่างฉันหล่อเลี้ยงอยู่น่ะสิ!”
เยี่ยเทียนโดดพรวดลงจากเตียง อวี๋ชิงหย่าตกใจจนรีบหลับตาปี๋ แม้จะแต่งงานกันมาหนึ่งปีกว่าแล้ว แต่เธอกลับยังทำใจมองดูร่างกายของเยี่ยเทียนไม่ได้เลย
“ชิงหย่า เดี๋ยวให้เซี่ยวเทียนส่งเธอไปทำงานนะ ฉันมีธุระนิดหน่อยน่ะ!” เยี่ยเทียนหัวเราะฮ่าๆ แล้วสวมใส่ชุดฝึกสีขาวอย่างคล่องแคล่วว่องไว
“ไม่ต้องหรอก ฉันขับรถไปเองก็ได้ ทำไมจะต้องไปรบกวนเซี่ยวเทียนด้วยล่ะ” อวี๋ชิงหย่าส่ายหน้า ที่ทำงานของเธอก็ไม่ได้ไกลจากเรือนสี่ประสานมากนัก
เยี่ยเทียนส่ายหน้ารัวๆ จนดูเหมือนกลองป๋องแป๋ง “แบบนั้นไม่ได้นะ ถ้ามีใครมาส่งดอกไม้อีกฉันจะได้ให้เซี่ยวเทียนไปสั่งสอนพวกมันเสียหน่อย!”
ตั้งแต่แต่งงานกันมา เยี่ยเทียนก็เพิ่งจะเริ่มรับส่งอวี๋ชิงหย่าไปทำงานเมื่อช่วงที่ผ่านมานี้เอง แต่วันแรกที่ไปรับส่ง เขาก็ได้เจอกับเรื่องหายากเข้าเสียแล้ว
ตอนนั้นที่หน้าสถานีโทรทัศน์ปักกิ่ง มีรถยนต์เก๋งอย่างหรูจอดอยู่สามสี่คัน เทียบกับแลนด์โรเวอร์ของเยี่ยเทียนแล้วเหนือระดับกว่ามาก แล้วผู้ชายบนรถแต่ละคนยังถือดอกไม้กันคนละช่ออีกด้วย
ตอนแรกเยี่ยเทียนก็ยังประหลาดใจอยู่ แต่พออวี๋ชิงหย่าเลิกงานออกมา แล้วชายหนุ่มหน้าโบกแป้ง ผมลูบน้ำมันมันแผล็บสามสี่คนนั้นกรูกันเข้าไปหา เขาก็เข้าใจในทันที ที่แท้ไอ้พวกนี้ก็จะมาจีบภรรยาของเขางั้นสิ?
เยี่ยเทียนก็ไม่ได้พูดอะไร พาอวี๋ชิงหย่าขึ้นรถแล้วก็ไปเลย แต่กระทาชายที่ถูกทิ้งอยู่ข้างหลังเหล่านั้นกลับซวยกันหมด เพราะล้อรถของพวกเขาทั้งสี่คันนั้นยางแบนหมดทุกล้อได้อย่างไรก็ไม่ทราบ พอสตาร์ทเครื่อง รถก็เลยอัดใส่กันเองจนกลายเป็นกองเดียวกัน
“นายนี่นะ ร้ายจริงๆ เลย!” เมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น อวี๋ชิงหย่าก็อดขำไม่ได้ ถ้าเยี่ยเทียนอยากจะร้ายขึ้นมาละก็ ไม่ใช่ระดับที่คนธรรมดาจะเทียบชั้นได้แน่นอน
“เยี่ยเทียน เจ้าเด็กคนนี้นี่ คนอื่นเขารออยู่ข้างนอกจะเป็นชั่วโมงแล้วเนี่ย บ้านตระกูลเยี่ยเราไม่ได้ใหญ่โตขนาดที่จะมาเล่นตัวแบบนี้นะ!”
หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จเดินออกมาแล้ว เยี่ยเทียนก็ไปรับประทานอาหารเช้าในห้องอาหารอย่างอ้อยสร้อย จนคราวนี้แม้แต่ป้าใหญ่เยี่ยตงจู๋ก็ทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว ก็เลยไปเชิญพวกคนที่ประตูเข้ามาในบ้าน แต่พอสองคนนั้นได้ยินว่าเยี่ยเทียนยังไม่ได้ออกปากอนุญาต ก็กลับยืนกรานจะไม่ยอมเข้าไปท่าเดียว
“ให้พวกนั้นรอนานหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอกครับ!”
ตอนแรกเยี่ยเทียนยังอยากจะเล่นตัวต่ออีกหน่อย แต่พอเห็นสีหน้าของป้าใหญ่เริ่มน่ากลัวขึ้นมาแล้ว เขาจึงรีบลุกขึ้นมาทันที “ผมไปแล้วก็ได้คร้าบ จริงสิป้าใหญ่ ผมขอกุญแจของเรือนหลังเก่าหน่อยนะครับ ผมจะพาพวกเขาไปคุยกันที่นั่น!”
“เยี่ยเทียน นายกลับมาแล้วหรือ!”
เมื่อเยี่ยเทียนไปปรากฏกายที่ประตูใหญ่ของเรือนสี่ประสาน จู้เหวยเฟิงก็เข้ามาทักทายทันที ส่วนต่งเซิงไห่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เข็นนั้นสังขารกลับไม่เอื้ออำนวย ได้แต่ทำปากขมุบขมิบพูดอะไรออกมาไม่ได้เลย
“ไปกันเถอะ เปลี่ยนที่คุยกัน!” เยี่ยเทียนไม่แม้แต่จะสบตาสองคนนั้น เดินตรงดิ่งไปข้างหน้า จู้เหวยเฟิงรีบเรียกพวกผู้ติดตามให้เข็นต่งเซิงไห่ตามไป
“เข็นเหล่าต่งเข้าไปที่ลานบ้านก็พอแล้ว” เยี่ยเทียนเปิดประตูของเรือนหลังเก่า แล้วเหลือบตามองไปข้างหลังต่งเซิงไห่แวบหนึ่ง “คนพวกนี้น่ะ รออยู่ข้างนอกให้หมด”
“เฮ้ พี่ชาย ทุกคนก็อยู่ในแวดวงเดียวกันทั้งนั้น ไม่เห็นจะต้องวางตัวสูงส่งขนาดนั้นเลยนี่!”
พวกที่ติดตามจู้เหวยเฟิงมาคราวนี้ต่างก็เป็นพวกที่คอยตามรับใช้เขาทั้งนั้น ภูมิหลังทางครอบครัวของคนเหล่านี้แม้จะสู้คุณชายจู้ไม่ได้ แต่ก็ถือว่าเป็นพวกที่มีหน้ามีตาในกรุงปักกิ่งอยู่พอสมควร
ก่อนหน้านี้ที่ต้องรอนานถึงหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ คนพวกนี้ก็เริ่มจะหมดความอดทนขึ้นมาแล้ว ตอนนี้แม้แต่ประตูบ้านก็ยังไม่ให้เข้า ชายหนุ่มหน้าตะปุ่มตะป่ำคนหนึ่งที่เป็นหนึ่งในนั้นจึงแย้งขึ้นมาทันที
เพียงแต่พี่แกพูดยังไม่ทันขาดคำ ก็ต้องเผชิญกับฝ่ามือของจู้เหวยเฟิงปะทะหน้าเข้าให้ “ท่านเยี่ยยอมให้แกรอก็ถือว่าให้เกียรติแกแล้วนะ ไปยืนรออยู่เฉยๆ เลยไป!”
นี่เรียกได้ว่าเป็นลักษณะของผู้ที่ไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือเลย ผู้ที่สามารถทำให้คุณชายจู้ทนรอถึงหนึ่งชั่วโมงกว่าได้นั้น ใช่คนประเภทที่พวกเขาจะไปตอแยได้ที่ไหนกัน?