ตอนที่ 732 ระลึกอดีต
“พี่ใหญ่ พี่บอกว่าจะมีคนมา คนพวกนั้นเป็นใครกัน?”
อวิ๋นหวาถงส่งถ้วยชาให้พี่ใหญ่ พลางย่นคิ้วกล่าวว่า “ตั้งแต่ส่งข่าวออกไปก็ห้าเดือนกว่าแล้ว ต่อให้พวกเขามาจากขอบฟ้าก็มีเวลาถมถืด!”
“หวาถง อย่าใจร้อนบุ่มบ่าม ราชนิกูลสูงศักดิ์เจ้าคนนายคนอย่างพวกเขา พวกเราหรือจะไปคาดเดาใจได้?”
อวิ๋นหวาจวินยกชาขึ้นจิบคำหนึ่ง กล่าวว่า “วาสนานั้นคนให้เรามานานแล้ว เพียงแต่พวกเราคว้าไว้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นในอดีตพ่อคง เฮ้อ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ตอนนี้ฉันเองก็ชราแล้วเหมือนกัน”
แม้ปีนี้อวิ๋นหวาถงจะอายุห้าสิบกว่า แต่หลายปีที่ผ่านมาทุ่มเททำงานหนักกับธุรกิจ จึงชรามากกว่าอย่างชัดเจน จอนผมทั้งสองข้างกลายเป็นสีขาว จนดูเหมือนเป็นพี่ชายยิ่งกว่า
“พี่ใหญ่ ผมน่ะไม่เป็นไร แต่กลัวว่าร่างกายของแม่จะอยู่ได้อีกไม่กี่ปีแล้ว”
อวิ๋นหวาถงส่ายหน้า กล่าวว่า “เจ้าเฉินสี่ฉวนคนนั้นยอมหักไม่ยอมงอ เมื่อวานถึงกับย้ายไปรัสเซียแล้ว พี่ใหญ่ พอคนทางนั้นมาแล้ว พวกเรายังต่อรองได้หรือเปล่า?”
เรื่องที่เฉินสี่ฉวนออกจากประเทศไป เพียงแค่วันเดียว ก็ดังมาถึงหูของตระกูลอวิ๋น และนี่ก็เป็นเหตุผลที่อวิ๋นหวาถงผู้ไม่เคยอยู่บ้านต้องมา
ถึงแม้อวิ๋นหวาจวินจะไม่เคยถามไถ่เรื่องธุรกิจของครอบครัว แต่ความจริงแล้วเขาคือปากเสียงของตระกูลอวิ๋น เมื่อเผชิญกับเรื่องสำคัญ จึงจำเป็นต้องอาศัยการตัดสินใจของอวิ๋นหวาจวิน
“นี่มันยุคสมัยไหนแล้ว? ลูกน้องพวกนั้นของแกยังคิดใช้วิธีข่มเหงผูกขาดตลาดอยู่อีกหรือ?”
อวิ๋นหวาจวินจ้องมองน้องชาย พูดอย่างใจเย็นว่า “เหมืองทองแห่งนั้นของเขามูลค่าถึงสามหมื่นล้านแท้ๆ พวกแก กลับเสนอไปแค่หนึ่งหมื่นห้าพันล้าน ไปโทษที่เขาไม่ขาย แล้วยังใช้วิธีสกปรกเหล่านั้นบีบบังคับเขาอีก
จนตอนนี้เฉินสี่ฉวนขายทรัพย์สินจนระดมเงินทุนได้แล้ว พวกนายตาถั่วหรือไงกัน? ฉันเคยบอกแล้วว่า อาศัยเส้นสายทำการค้า ทำได้แค่ช่วงหนึ่งเท่านั้น ทำไปตลอดชีวิตไม่ได้หรอก!”
“พี่ใหญ่ ผมสั่งสอนพวกมันแล้ว เรื่องนี้เป็นความผิดผมเอง แต่ว่า…ตอนนี้จะทำยังไงดีล่ะ?”
สุภาษิตว่าพี่ชายคนโตก็เหมือนพ่อ อวิ๋นหวาจวินแก่กว่าอวิ๋นหวาถงเกือบยี่สิบปี ดังนั้นถึงแม้อวิ๋นหวาาถงอายุห้าสิบกว่าปีแล้ว แต่ก็ยังถูกพี่ใหญ่สั่งสอนจนไม่กล้าโงหัว
อวิ๋นหวาจวินถอนหายใจ “รอพวกเขามาแล้ว ให้พูดแต่ความจริง อยู่ต่อหน้าคนเหล่านั้น อย่าคิดมีความลับ และห้ามพูดโกหกเด็ดขาด!”
“เข้าใจแล้วครับ พี่ใหญ่!”
อวิ๋นหวาถงพยักหน้า แต่ใบหน้ายังแสดงให้เห็นถึงความสงสัยไม่คลาย ถามว่า “พี่ใหญ่ครับ คนพวกนั้นมีพลังวิชาอย่างที่พี่พูดจริงหรือ? พวกเขาคงไม่ใช่พวกสิบแปดมงกุฎเร่ร่อนหลอกลวงใช่ไหม?”
“ต่ำช้า พูดจาเหลวไหล!”
หลังจากได้ยินคำพูดของน้องรอง สีหน้าของอวิ๋นหวาจวินก็แสดงให้เห็นว่าตื่นตระหนก หลังจากเหลียวซ้ายแลขวาแล้ว ก็กระซิบเสียงเบา “หวาถง คำพูดเหล่านี้ ทีหลังอย่าได้พูดออกมาเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นจะเกิดภัยพิบัติใหญ่หลวงมาสู่ตระกูลอวิ๋นของเรา!”
“พี่ใหญ่ ผม… ผมก็แค่ถามดูเท่านั้น ไม่พูดต่อหน้าคนอื่นหรอก” เห็นพี่ใหญ่โกรธเกรี้ยว อวิ๋นหวาถงก็กลับคำทันที แต่สีหน้ายังคงแสดงออกถึงความสงสัยอยู่บ้าง
อวิ๋นหวาถงเกิดมาในปีสร้างชาติ เขาไม่เคยมีประสบการณ์จากยุคสงคราม อีกทั้งผู้เฒ่าอวิ๋นเองก็ไม่ได้รับการโจมตีหนักหนาสาหัสในยุคสมัยแห่งความวุ่นวายนั้น ด้วยเหตุนี้ชีวิตของอวิ๋นหวาถงจึงไม่พานพบกับอุปสรรคใดๆ
และสิ่งนี้เองที่ปลูกฝังความเย่อหยิ่งลงในสายเลือดของเขา นอกจากพี่คนโตแล้ว น้อยนักที่เขาจะแสดงความสนใจต่อคนอื่น
อีกทั้งเมื่อก่อนพ่อกับพี่ใหญ่เคยพูดว่าคนเหล่านั้นล้วนยากหยั่งถึง ดังนั้นถึงแม้อวิ๋นหวาถงจะไม่กล้าขัดขืนคำสั่งของพี่ใหญ่ แต่ภายในใจก็รู้สึกว่าพวกเขาพูดเกินจริงตลอดมา
“แกน่ะ อนาคตถ้ายังมีนิสัยอย่างนี้อีก จะต้องลำบากแน่!”
อวิ๋นหวาจวินส่ายหน้า บอกว่า “เอาเถอะ อายุของแกตอนนี้ก็ไม่น้อยแล้ว ฉันจะเล่าเรื่องนี้ให้ฟังก็ได้
ในอดีตตอนพ่ออยู่ในเขตของฝ่ายศัตรู มีครั้งหนึ่งถูกพวกญี่ปุ่นล้อมไว้ภายในหุบเขา ที่นั่นแม้แต่สถานที่ให้ซ่อนตัวก็ยังไม่มี ขณะที่เห็นว่ากำลังจะถูกพวกญี่ปุ่นจับตัวไปนั้น จู่ๆ ก็มีลำแสงสีขาวสว่างวาบ แล้วพวกญี่ปุ่นสิบกว่าคนที่เข้ามาไล่จับเขา ต่างก็กลายเป็นศพ!
หลังจากที่พวกคนญี่ปุ่นเหล่านั้นตายไป ก็มีนักพรตผู้หนึ่งปรากฎตัวต่อหน้าเขา จากที่พ่อเล่า นักพรตผู้นั้นพาเขาเดินฝ่าชาวญี่ปุ่นออกไป โดยที่ไม่มีใครมองเห็นพวกเขาเลย
เวลานั้นพ่อของเขาเป็นนักวัตถุนิยมอย่างเหนียวแน่น เมื่อได้ประสบเหตุการณ์นั้นกับตัวเองแล้ว จึงไม่ยอมปล่อยให้นักพรตจากไป เพราะอยากชักชวนให้เขามาร่วมกับกลุ่มพวกตน
แต่ว่านักพรตผู้นั้นกลับไม่หวั่นไหว หลังจากถามไถ่ชื่อของพ่อแล้ว ใต้ฝ่าเท้าก็ปรากฎเมฆหมอกพวยพุ่ง ล่องลอยบินขึ้นไปในอากาศ…”
“มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ? ทำไมพ่อถึงไม่เคยเล่าให้ผมฟังเลยล่ะ?”
ใบหน้าของอวิ๋นหวาถงมีสีหน้าไม่คล้อยตามนัก ถามต่อว่า “พี่ใหญ่ แล้วหลังจากนั้นล่ะ นักพรตผู้นั้นก็ไม่ปรากฎตัวอีกเลยหรือ?”
“แน่นอนว่าปรากฎตัวอีก ถ้าหากฉันไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง ก็คงคิดเหมือนกับแก ที่ไม่เชื่อในเรื่องนี้…”
ในดวงตาของอวิ๋นหวาจวินแสดงให้เห็นแววระลึกถึงอดีต “นั่นเป็นเรื่องเมื่อสี่สิบปีก่อน แกเองก็รู้ว่า หลังจากยุคสร้างชาติ พ่อก็รับตำแหน่งผู้นำ ตอนนั้นหลังจากเข้าเมืองมาครอบครัวของเราก็อยู่ที่นี่…”
ความคิดของอวิ๋นหวาจวินย้อนกลับไปเมื่อสี่สิบกว่าปีที่แล้ว เวลานั้นเขามีอายุเกือบสามสิบปี ทำงานอยู่หน่วยงานรัฐแห่งหนึ่ง เนื่องจากเพิ่งแต่งงานได้ไม่นาน จึงยังไม่ได้แยกบ้านกับพ่อ ทุกคนยังอยู่ร่วมกันหมด
ผู้เฒ่าอวิ๋นเป็นคนเปิดกว้างมาก และยังตามใจลูกๆ ในเรื่องการศึกษา มักจะถกกันเรื่องข่าวในสังคมโลกอยู่บ่อยครั้ง
เวลานั้นคือตอนกลางคืนในหน้าร้อน ขณะที่พ่อลูกกำลังนั่งคุยกันอยู่ภายในเรือนด้านหลังอยู่นั้นเอง ภายในเรือนก็บังเกิดหมอกควันขึ้นกลุ่มหนึ่ง
พอหมอกควันนั้นสลายไป นักพรตเต๋าในชุดเสื้อคลุมก็ปรากฎกายต่อหน้า ตอนนั้นอวิ๋นหวาจวินตกใจไม่น้อย
บริเวณนั้นส่วนใหญ่เป็นหัวหน้าและข้าราชการชั้นสูงอาศัยอยู่ ด้านนอกมีการคุ้มกันแน่นหนา ถึงแม้ไม่อาจโอ้อวดว่ายุงสักตัวก็ไม่อาจผ่านเข้ามา แต่ก็แทบเป็นไปไม่ได้
ขณะที่อวิ๋นหวาจวินกำลังจะร้องเรียกเวรยามข้างนอกนั้นเอง กลับถูกพ่อห้ามเอาไว้ อีกทั้งเขาพบว่า หลังจากพบนักพรตผู้นี้ ท่านพ่อที่ไม่เคยแสดงสีหน้ายินดียินร้ายใดๆ ต่อคนนอก กลับกระตือรือร้นขึ้นมาอย่างประหลาด น้อมคำนับไปทางนักพรตอย่างผู้น้อย
จากนั้นระหว่างที่สองคนคุยกัน อวิ๋นหวาจวินถึงรู้เรื่องในอดีตที่เกิดขึ้นกับพ่อ และนักพรตผู้นั้น ก็คือคนที่ช่วยเหลือพ่อออกมาจากวงล้อมทหารญี่ปุ่นนั่นเอง
เมื่อได้เห็นผู้มีพระคุณ และรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนธรรมดา ผู้เฒ่าอวิ๋นจึงดีใจเป็นอย่างยิ่ง จัดการนำสุราอาหารมาต้อนรับนักพรตทันที เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณเรื่องในอดีตต่อนักพรตผู้นั้น
แต่ว่าครั้งนี้ที่เขากลับมาหาเพราะมีเรื่องร้องขอ เขาเสนอเงื่อนไขสองข้อต่อผู้เฒ่าอวิ๋น ต้องการให้ผู้เฒ่าอวิ๋นตามหาของบางอย่าง และของเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนตกไปอยู่ในมือประชาชน ด้วยความสามารถของนักพรตเต๋าเพียงคนเดียว คงยากจะค้นหาได้
เรื่องนี้สำหรับผู้เฒ่าอวิ๋นแล้ว ง่ายเพียงหยิบมือเท่านั้น จึงจัดการให้อวิ๋นเหล่าจวินติดตามนักพรตไปจัดการเรื่องนี้ในทันที ตามหาสิ่งของที่นักพรตต้องการได้อย่างราบรื่น
หลังจากเรื่องนี้ผ่านไปเดือนกว่า นักพรตเต๋าก็มายังบ้านของผู้เฒ่าอวิ๋นอีกครั้ง เพื่อมอบหนังสือภาพเล่มหนึ่ง ยาสองเม็ดและหินหยกสามชิ้นแก่เขา
นักพรตกล่าวว่า ขอเพียงผู้เฒ่าอวิ๋นสามารถตามหาสิ่งของที่เหมือนกับในหนังสือภาพได้ ก็สามารถใช้หินหยกนั่นติดต่อเขา เมื่อถึงเวลานั้นจะสามารถนำมาแลกเปลี่ยนกับยาอายุวัฒนะ
ตอนที่นักพรตคนนั้นจากไป อวิ๋นหวาจวินเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ทีแรกมีหมอกควันเข้าปกคลุมนักพรตผู้นั้น แล้วนักพรตผู้นั้นก็ลอยขึ้นสู่อากาศราวกับมีบันไดสวรรค์
แต่ว่าหลังจากนักพรตเต๋าลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้ว กลุ่มควันเหล่านั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นเบาบาง คล้ายกับสลายไปในอากาศ เวรยามที่อยู่ภายนอกเรือนสี่ประสาน ล้วนมองไม่เห็นกระทั่งกลุ่มควันเหล่านั้น
พ่อของอวิ๋นหวาจวิน เห็นปาฏิหารย์ของนักพรตเต๋ากับตา เขาจึงปักใจเชื่อในผลของยาสองเม็ดนั้นโดยไม่คิดสงสัย
ผู้เฒ่าอวิ๋นรักลูกปานดวงใจ จึงให้ยาเม็ดหนึ่งแก่อวิ๋นหวาจวิน ส่วนตนเองกับคู่ชีวิตแบ่งกันคนละครึ่ง เวลานั้น อวิ๋นหวาถงอายุเพียงห้าถึงหกขวบ ผู้เฒ่าอวิ๋นเกรงว่าเขาจะต้านทานไม่ไหว จึงไม่ได้ให้ลูกชายคนเล็กกิน
หลังจากกลืนยาเข้าไปแล้ว ผู้เฒ่าอวิ๋นก็รู้สึกว่าอาการบาดเจ็บเก่าที่อยู่ภายในร่างกายได้รับการฟื้นฟูอย่างเห็นได้ชัด จึงเข้าใจคุณสมบัติของยาอย่างถ่องแท้
ผู้เฒ่าอวิ๋นฝ่าฟันอุปสรรคชีวิตมาตลอด เป็นคนเปิดเผยจริงใจ เข้าใจว่าเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต เขาไม่คิดหาหนทางมายาเหลวไหลในการยืดอายุขัย จึงปิดผนึกสมุดภาพและหินหยกนั่นเอาไว้ จวบจนวันตาย ก็ไม่เคยตามหาของชิ้นนั้น
แต่ว่าถึงแม้จะกินยาเข้าไปเพียงครึ่งเม็ด ผู้เฒ่าอวิ๋นก็มีชีวิตอยู่จนอายุเก้าสิบกว่าปี ถ้าไม่ใช่เพราะเขาได้รับบาดเจ็บหลายครั้งเมื่อในอดีต จะอยู่ถึงเมื่อไหร่ก็ยังไม่อาจทราบได้
“พี่ใหญ่ ที่พี่ดูอ่อนวัยอย่างนี้ ที่แท้เป็นเพราะกินยานั่นเข้าไปหรอกหรือ?”
พอได้ยินคำพูดของพี่ใหญ่แล้ว อวิ๋นหวาถงก็ตลึงตาโต เขาไม่เคยได้ยินพี่ใหญ่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อน เพียงนึกว่าพี่ใหญ่ดูแลรักษาตัวดี จึงดูอ่อนวัยเท่านั้น
“หวาถง เป็นอย่างนั้นนั่นแหละ” อวิ๋นหวาจวินพยักหน้า
สีหน้าของอวิ๋นหวาถงยังคงตกใจไม่คลาย ทันใดนึกเรื่องหนึ่งขั้นมาได้ จึงถามว่า “พี่ใหญ่ ในเมื่อพี่ใหญ่บอกว่าพ่อไม่เคยตามหาสิ่งของในหนังสือภาพนั้น แล้วจะอธิบายเรื่องในอดีตได้อย่างไร?”
เรื่องที่อวิ๋นหวาถงถามคือเรื่องกรรมสิทธิ์ส่วนตัวของบริษัทเขาในตอนนั้น และเรื่องที่เขาได้ย้ายไปอยู่สถานวิจัยแร่หายาก เรื่องเหล่านี้หากไม่มีการยินยอมจากพ่อจะไม่อาจทำได้เลย
อวิ๋นหวาจวินเอ่ยปากตอบว่า “นั่นเป็นฉันจัดการเอง เมื่อพ่อไม่โต้แย้ง ก็คือยินยอมแล้ว”
ตอนที่เข้าสู่ปี 80 อวิ๋นหวาจวินก็เป็นรองผู้อำนวยการในหน่วยงานแล้ว เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นเขาจัดการอยู่เบื้องหลังทั้งหมด กว่าผู้เฒ่าอวิ๋นจะรู้ เรื่องก็ถูกจัดการเสร็จสิ้นแล้ว
แต่ว่าเวลานั้นเป็นช่วงที่สังคมกำลังวางแผนเศรษฐกิจ ผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นเสนอคำขวัญให้เปลี่ยนแปลงและปลดปล่อย การกระทำของอวิ๋นหวาถงสอดคล้องกับเงื่อนไขสำคัญทางประวัติศาสตร์พอดี จึงไม่ได้ละเมิดต่อกฎกติกาใดๆ
ในทางกลับกัน การกระทำของอวิ๋นหวาถงยังช่วยผลักดันการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ จึงได้รับคำชื่นชมจากผู้นำหลายคนในเวลานั้น
“ผมเข้าใจแล้ว พี่ใหญ่ ที่แท้พี่ให้ผมหาหินที่ทั้งเย็นและร้อน และแร่หายากสีน้ำเงินอะไรนั่น ล้วนเป็นของที่อยู่ในหนังสือภาพนั่นสินะ?
ใบหน้าของอวิ๋นหวาถงฉายแววเหมือนเห็นแสงสว่าง มิน่าเล่าพี่ใหญ่ที่ใจกว้างดั่งขุนเขา ถึงได้เร่งเร้าให้เขาตามหาสิ่งของพิสดารเหล่านี้มาตลอด