ตอนที่ 733 เรียกหา
“น้องรอง บนโลกนี้มีเรื่องที่แกคาดไม่ถึงอีกมาก ถึงแม้คนพวกนั้นจะไม่สามารถทำให้พวกเราอยู่ยงคงกระพันได้ แต่แค่ทำให้อายุยืนยาวได้ ไม่ใช่เงินที่จะซื้อได้หรอกนะ ”
อวิ๋นหวาจวินพูดถึงตรงนี้ พร้อมกับน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยการตำหนิ “ทั้งๆ ที่ฉันบอกแกแล้ว ต้องหาของสิ่งนั้นมาให้ได้โดยไม่สนว่าต้องแลกกับอะไร แต่แกดันไปใช้วิธีสกปรกรังแกคนอื่น ตอนนี้เกิดเรื่องขึ้นมาแล้วเป็นไงล่ะ?”
อวิ๋นหวาถงถูกพี่ชายสั่งสอนด้วยสีหน้ากริ้วโกรธ จึงอดอธิบายเสียงเบาๆ ไม่ได้ว่า “พี่ใหญ่ ผมก็ไม่อยากเหมือนกัน แต่เหมืองแร่ทองคำนั่นผมเป็นคนพบก่อน และก็คุยกับทางรัสเซียเรียบร้อยแล้ว คนแซ่เฉินนั่นดันเข้ามาเกี่ยว ผมก็เลยโกรธมากไป?”
อวิ๋นหวาถงไม่ได้พูดโกหกในเรื่องนี้ เหมืองแร่ทองคำนั่น เขาเป็นคนพบก่อนจริงๆ
เป็นครึ่งปีแรกของปีที่แล้ว ทีมสำรวจทีมหนึ่งของบริษัทอวิ๋นหวาถงการโลหะ หลังจากได้ทราบข่าวเหมืองแร่ทองคำที่แพร่ออกมาจากรัสเซียแล้ว ก็ยังเคยไปที่ไซบีเรียอีกด้วย
ตอนนั้นยังไม่ได้ทำการสำรวจปริมาณสะสมของเหมืองแร่ทองคำแห่งนี้ บวกกับรัสเซียกำลังวุ่นอยู่กับการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งใหญ่ ความสนใจของภายในประเทศจึงตกอยู่ที่มอสโคว ไซบีเรียจึงกลายเป็นมุมเล็กๆ ที่ถูกลืม
หลังจากที่จัดการกองกำลังท้องที่บางส่วนได้แล้ว บริษัทของอวิ๋นหวาถงจึงเข้าไปทำการสำรวจเหมืองแร่ทองคำนั่น ระหว่างที่ทำการเก็บตัวอย่างอยู่นั้น ทีมสำรวจก็เจอโลหะสีน้ำเงินขนาดเท่าหัวแม่มือชิ้นหนึ่ง
อวิ๋นหวาถงไม่กล้าขัดคำสั่งของพี่ชาย ทีมงานของทีมสำรวจที่อยู่ต่างประเทศรวมทั้งทีมสำรวจเหมืองแร่นี้เกือบทุกคน ต่างก็เคยเห็นภาพตัวอย่างของโลหะพวกนั้น
ดังนั้นหลังจากที่ได้โลหะสีน้ำเงินชิ้นนี้มาแล้ว ผู้รับผิดชอบของทีมสำรวจจึงใช้เส้นสายต่างๆ นานา นำโลหะชิ้นนั้นส่งกลับประเทศจีน เมื่อผ่านการเปรียบเทียบจากอวิ๋นหวาจวินแล้ว มันคือโลหะชนิดหนึ่งที่เหมือนกับในภาพวาดจริงๆ
หลังจากทราบขาวนี้แล้ว อวิ๋นหวาจวินจึงดีใจมาก เขารีบหยิบหยกสามชิ้นที่นักพรตทิ้งไว้ให้ในตอนนั้นออกมา แล้วนำชิ้นหนึ่งในนั้นมาทุบให้แหลก ตามที่นักพรตว่าไว้ หลังจากทุบหยกให้แหลกแล้ว เขาก็จะได้รับข้อมูล
เพื่อไม่ให้ข่าวของโลหะสีน้ำเงินนั่นถูกแพร่ออกไป อวิ๋นหวาจวินจึงเรียกตัวทีมงานที่ทำงานอยู่ที่รัสเซียกลับมาโดย เฉพาะ เขารู้ว่าช่วงนี้สถานการณ์ภายในประเทศรัสเซียกำลังวุ่นวายมากที่สุด ทำให้โลหะชิ้นนี้ไม่มีใครจับตามองเป็นการชั่วคราว
แต่สิ่งที่ทำให้อวิ๋นหวาจวินคาดไม่ถึงก็คือ เฉินสี่ฉวนไปรัสเซียในช่วงนี้พอดิบพอดี หลังจากผ่านการสำรวจและตรวจวัดแล้ว จึงได้สิทธิ์ในการขุดเหมืองแร่ทองคำนี้มาได้
เมื่ออวิ๋นหวาจวินรู้ข่าวนี้ เหมืองแร่ทองคำก็มีเจ้าของไปแล้ว เขาจึงรีบติดต่ออวิ๋นหวาถง ให้ไปตีสนิทกับเฉินสี่ฉวน
เพียงแต่อวิ๋นหวาถงทำการค้าในประเทศจีนมาหลายปี จึงมีนิสัยเย่อหยิ่งจิกหัวใช้คนมานานแล้ว บวกกับอวิ๋นหวาจวินก็ไม่เคยอธิบายถึงความสำคัญของเรื่องนี้ให้ชัดเจน ตอนนั้นเขาจึงส่งลูกน้องที่เป็นรองประธานคนหนึ่งไปคุยกับ เฉินสี่ฉวน
มีเจ้านายอย่างไร ย่อมมีลูกน้องแบบนั้น รองประธานคนนั้นของอวิ๋นหวาถงหลังจากไปหาเฉินสี่ฉวนแล้ว ไม่ต้องพูดถึงท่าทางยโสโอหังก่อน พอเสนอราคา ก็ยังน้อยลงไปอีกห้าพันล้านเมื่อเทียบกับอวิ๋นหวาจวินที่ให้เขาสองหมื่นล้าน
ความจริงถ้าเขาเสนอสองหมื่นล้าน เฉินสี่ฉวนก็ยังจะยอมโอนกรรมสิทธิ์ให้อยู่แปดเก้าส่วน ถึงอย่างไรก็ยังได้กำไรเป็นหมื่นล้าน เมื่อเทียบกับที่ตัวเองต้องลำบากในการขุดเองแล้วถือว่าคุ้มค่ากว่า
แต่เรื่องเกิดพลาดจากตัวของรองประธาน หลังจากโดนปฏิเสธ รองประธานคนนั้นแรกเริ่มเดิมทีก็ไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรอยู่แล้ว
ทว่าหลังจากที่อวิ๋นหวาจวินเพิ่มแรงกดดันให้น้องชาย รองประธานคนนี้ถึงได้รีบร้อน เริ่มสร้างความกดดันต่างๆ ให้กับเฉินสี่ฉวน บีบเขาจนเกือบหมดหนทาง
เพียงแต่ใครก็คาดไม่ถึง ด้วยนิสัยที่แข็งกร้าวและหยิ่งในศักดิ์ศรีของเฉินสี่ฉวน เขาจึงขายโรงงานผ้าฝ้ายรวมทั้งโรงงานปั่นฝ้ายที่สร้างมาด้วยมือตัวเองทิ้งทั้งหมด ทำให้ทั้งสองฝ่ายไม่มีความเป็นไปได้ที่จะคุยกันต่อ
“ช่างเถอะ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ถ้าไม่ได้จริงๆ ถึงตอนนั้นพวกเราก็ไปที่รัสเซียด้วยกัน แล้วซื้อเหมืองทองคำนั่นกลับ มาในราคาที่สูงกว่าปริมาณสะสมของเหมืองทองคำ”
อวิ๋นหวาจวินถอนหายใจแล้วพูดว่า “น้องรอง ต่อให้มีเงินมากก็ซื้อชีวิตหนึ่งนาทีกลับมาไม่ได้นะ หลายปีมานี้บริษัทก็มีเงินสะสมไม่น้อยใช่ไหม? อย่ามัวคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องเงินนัก!”
“พี่ใหญ่ ผมรู้ครับ พี่วางใจได้ ถ้าพี่พูดเรื่องนี้เร็วกว่านี้ ผมก็จะไปคุยด้วยตัวเองครับ!”
อวื๋นหวาถงก็กลุ้มใจเช่นกัน จึงพูดด้วยความเป็นห่วงว่า “พี่ใหญ่ เรื่องนี้จัดการไม่ดี ไม่รู้ว่าคนอื่นจะมาโทษพวกเราหรือเปล่า?”
“ฉันก็คิดจุดนี้ไว้นานแล้ว!”
อวิ๋นหวาจวินโบกมือ แล้วนำหนังสือที่ตัวเองเพิ่งเปิดเมื่อครู่ยื่นให้น้องชายแล้วพูดว่า “ในนี้มีของอย่างหนึ่ง ฉันเคยหาคนมาดูแล้ว มีความเหมือนกับผลึกคริสตัลที่อยู่บนหนังสือภาพวาดของนักพรตคนนั้นเป็นอย่างมาก!”
“อ้อ? มีเรื่องแบบนี้ด้วย?”
อวิ๋นหวาถงได้ยินจึงตกตะลึง ยื่นมือรับหนังสือเล่มนั้นมา เปิดออกดูแต่กลับเป็นหน้าโปรโมทการประมูลสินค้าของบริษัทแห่งหนึ่ง และพิมพ์อย่างประณีตชัดเจนมาก
“แกดูหน้าที่สาม!”
อวิ๋นหวาจวินพูด “ในนั้นมีผลึกคริสตัลสีแดงชิ้นหนึ่งที่ได้มาจากแอฟริกาใต้ ยังมีระดับความแข็งไม่เท่ากับเพชร แต่มันเหมือนกับสิ่งที่กล่าวไว้ในหนังสือภาพที่นักพรตคนนั้นให้พวกเขามา!”
“ผลึกคริสตัลแบบนี้ถือว่าเห็นได้น้อยมากครับ!”
อวิ๋นหวาถงก็เคยเห็นของมีค่าราคาแพงในโลกนี้มามาก แต่เขาไม่เคยเห็นผลึกคริสตัลที่มีความมันวาวบริสุทธิ์แบบนี้มาก่อน
บนภาพวาดนั้นมีผลึกคริสตัลขนาดเท่านิ้วชี้ เมื่อถูกเจียระไนตัดแต่งเป็นสี่มุมด้วยฝีมือขั้นสูงแล้ว หากมองจากมุมที่ต่างกันจะสะท้อนแสงสีแดงอันอบอุ่นออกมา ดูแล้วสวยงามมาก
แน่นอน การประมูลราคาของสิ่งนี้ก็ไม่ถูกเช่นกัน ผลึกคริสตัลที่มีโครงสร้างของหินแร่ที่ยังไม่ผ่านการพิสูจน์นั้น การเปิดราคาก็อยู่ที่แปดล้านหยวนแล้ว คาดว่าผู้เป็นเจ้าของของเจ้าสิ่งนี้คงอยากจะลองเสี่ยงโชคใหญ่สักครั้ง
หลังจากปิดหนังสือภาพ อวิ๋นหวาถงจึงพูดว่า “พี่ใหญ่ ของสิ่งนี้จะเปิดประมูลอีกสิบวัน ถ้าหากคนนั้นไม่มาจะทำยังไง?”
อวิ๋นหวาจวินลุกขึ้น พลางพูด “น้องรอง แกรอฉันแป๊บหนึ่ง ฉันจะใช้หยกอีกหนึ่งชิ้น ถ้าหากว่าหลังจากสิบวันยังไม่มีข่าวล่ะก็ เกรงว่าคนนั้นไม่อยู่แล้วจริงๆ”
พอผ่านไปประมาณสี่ห้านาที อวิ๋นหวาจวินก็เดินออกมาจากห้องด้านข้างที่เป็นที่พักเก่าของพ่อยามที่ยังมีชีวิตอยู่ ถือกล่องหนังขนาดเล็กที่ใช้ทำการศึกษาวิจัยกล่องหนึ่งอยู่ในมือ อย่างน้อยน่าจะเป็นของเก่าเมื่อหลายสิบปีก่อนแล้ว
หลังจากเปิดกล่องหนังแล้ว ภายในมีหนังสือสีเหลืองเก่าเล่มหนึ่ง ข้างๆ หนังสือนั้นเป็นแพรต่วนสีเหลืองชิ้นหนึ่ง ดูจากลักษณะแล้วน่าจะห่ออะไรสักอย่างเอาไว้
“พี่ใหญ่ นี่คือหยกหินที่พี่บอกว่าสามารถเรียกคนนั้นมาได้หรือ?” หลังจากที่อวิ๋นหวาจวินแกะแพรต่วนอออกทีละชั้นแล้ว หยกขนาดเท่ากำปั้นของเด็กทารกก็ปรากฏอยู่บนโต๊ะน้ำชา
“หยกชิ้นนี้ดีจริง น้ำงามเป็นประกาย เป็นหยกเหอเถียนหยู่ขาวขุ่นชั้นดี”
อวิ๋นหวาถงหยิบหยกชิ้นนั้นขึ้นมาแล้วมองดูอย่างละเอียด ผ่านไปสักพักเขาจึงมองไปที่อวิ๋นหวาจวินแล้วถามว่า “พี่ใหญ่ เจ้าสิ่งนี้มันใช้ยังไงเหรอ?”
“เจ้าสิ่งนี้ใช้ง่ายมาก”
หลังจากอวิ๋นหวาจวินนำหยกชิ้นที่เหลือใส่กลับไปในกล่องแล้ว เขาจึงรับหยกที่อยู่ในมือของน้องชายมา ขณะที่พูดนั้น มือขวาก็ยกสูงขึ้น แล้วคว่ำฝ่ามือที่มีหยก จากนั้นก็ตบลงไปบนโต๊ะน้ำชาอย่างแรง
โต๊ะน้ำชาที่อวิ๋นหวาจวินใช้ทั้งหมด ล้วนเป็นเฟอร์นิเจอร์ไม้หวงฮวาหลี่ที่สืบทอดมาจากราชวงศ์หมิง ดังนั้นระดับความแข็งจึงไม่ต้องพูดถึง ได้ยินเพียงเสียงดัง “ตุบ!”แล้วหยกที่อยู่ในกลางฝ่ามือของเขาก็แหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“พี่ใหญ่ นี่…แบบนี้ก็ได้แล้ว เอ๊ะ? ดูเหมือนหยกชิ้นนี้จะไม่เหมือนเดิมแล้ว”
อวิ๋นหวาถงตกใจกับการกระทำของพี่ใหญ่ แต่ตอนที่เขามองหยกที่แหลกเป็นสองสามชิ้นที่อยู่บนโต๊ะ สีหน้าของเขาแสดงความประหลาดใจไม่หยุด
เมื่อครู่หยกชิ้นนั้น ในสายตาของเขาแทบไม่มีตำหนิใดๆ โดยเฉพาะแสงมันวาวสีขาว เห็นได้ชัดว่ามีคุณภาพที่โดดเด่นมาก
เพียงแต่หลังจากที่หยกแตกเป็นเสี่ยงๆ แล้ว ส่วนที่แหลกนั้นกลายเป็นผงสีเทาเข้มเกือบทั้งหมด ทั้งเทาและหม่น หมอง ถ้าหากเมื่อครู่อวิ๋นหวาถงไม่ได้ลองเอามาเล่นด้วยมือตัวเอง คงยากที่จะเขาจะเชื่อมโยงไปถึงหยกเหอเถียนได้
“สำเร็จหรือไม่ฉันก็ไม่รู้ ถึงยังไงก็ทำตามที่คนนั้นสั่งไว้”
อวิ๋นหวาจวินส่ายหน้าพลางพูดว่า “น้องรอง สองสามวันนี้แกก็พักอยู่ที่บ้านก่อน เวลาพี่มีเรื่องจะคุยกับแกจะได้สะดวกหน่อย แกก็อายุห้าสิบกว่าปีแล้ว อย่ามัวแต่ทำตัวเจ้าชู้มีสัมพันธ์กับผู้หญิงนอกบ้านไปทั่ว!”
อวิ๋นหวาจวินรู้จักน้องชายของตัวเองคนนี้ดี เนื่องจากเหล่าอวิ๋นได้ลูกชายตอนช่วงวัยกลางคน ตั้งแต่เด็กจึงถูกพ่อแม่ตามใจจนเกินบรรยาย
นิสัยแย่ๆ ของอวิ๋นหวาถงก็มีไม่มากเท่าไร จะมีก็แต่ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายและผู้หญิงที่จัดการไม่ค่อยชัดเจน ผู้หญิงสวยๆ ที่อยู่ในวงการบันเทิงของเมืองปักกิ่ง ส่วนใหญ่ต่างก็มีความสัมพันธ์กับเขา เพียงแต่อวิ๋นหวาถงไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องขุนนางการเมือง อวิ๋นหวาจวินจึงขี้เกียจที่จะบ่นเขาเช่นกัน
“พี่ใหญ่ พี่วางใจได้ ผมแยกความสำคัญได้ครับ”
อวิ๋นหวาถงถูกพี่ใหญ่พูดจนใบหน้าแก่ๆ แดงเล็กน้อย เมื่อครู่เขายังคิดอยู่ในใจว่าจะนัดดาราหญิงฮ่องกงที่มางานแสดงคอนเสิร์ตคนนั้นออกมาดีไหม
เมื่อเห็นน้องชายตัวเองที่อายุก็ไม่น้อยแล้ว อวิ๋นหวาจวินจึงส่ายหน้า ถ้าเขาไม่หลงนารีจนเกินไป ก็คงจะไม่แก่มาก ทั้งๆ ที่อายุเพียงเท่านี้หรอก
……
ภายในพื้นที่ที่ไร้การชี้นำของโลกมนุษย์แห่งหนึ่ง นักพรตวัยกลางคนสีหน้าแดงอมชมพูรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งตื่นขึ้นจากการเข้าฌาน จู่ๆ ในใจก็สั่นไหวอย่างฉับพลัน เขารู้สึกว่าพลังจิตของตัวเองที่อยู่ข้างนอกได้ลอยกลับมาแล้ว
“เอ๊ะ? ศิษย์น้องออกไปก็ครึ่งปีแล้ว ยังไม่กลับมาอีกหรือ?”
นักพรตวัยกลางคนตกตะลึงเล็กน้อย ตอนที่รับพลังจิตกลุ่มหนึ่งนั้น เดิมทีเขาอยากจะออกไปโลกมนุษย์ด้วยตัว เองสักครั้ง แต่ศิษย์น้องเพียงคนเดียวของเขาที่อยู่นิ่งมานาน ก็รบเร้าจะออกไปแทนเขาให้ได้
สองสามปีที่ผ่านมานี้นักพรตวัยกลางคนกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญของระดับจินตันสำเร็จมหามรรค จึงไม่อยากให้เรื่องวุ่นวายทางโลกรบกวนจิตใจ ดังนั้นเขาจึงตกลง
หลังจากรอให้ศิษย์น้องออกไป นักพรตวัยกลางคนก็เก็บตัวถือศีลต่อ คราวนี้ก็กินเวลาไปหลายเดือน จนกระทั่งพลังจิตนั่นกลับมา เขาจึงตระหนักว่าเวลาที่ศิษย์น้องออกไปครั้งนี้นานเกินไป
“ไม่ใช่แล้ว ทำไมหัวใจของข้าเต้นรุนแรงเช่นนี้? หรือศิษย์น้องจะเกิดเรื่องแล้ว?”
นักพรตวัยกลางคนมีทายาทสืบทอดสำนักอยู่น้อยนิด ใช้เวลาอยู่ร่วมกับศิษย์น้องก็เลยหนึ่งร้อยปีมาแล้ว ระหว่างทั้งสองคนจึงพอมีพลังปราณชีวิตที่เป็นสื่อนำถึงกันอยู่บ้าง
“แย่แล้ว เกิดเรื่องแล้วจริงๆ!” นักพรตวัยกลางคนพยายามสัมผัสอย่างละเอียด แล้วร่างกายที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะก็ลุกขึ้นพรวดในทันทีทันใด