ตอนที่ 736 ต่างคนต่างมีความลับ
“ท่านผู้อาวุโสวานรขาวที่อยู่เสินหนงเจี้ย มีความเมตตากับผู้น้อยมากครับ” เยี่ยเทียนได้ยินจึงหัวเราะอย่างฝืด ๆเล็กน้อย นักพรตที่อยู่ตรงหน้าเรียกวานรขาวว่าลิง เขาจึงไม่สะดวกเรียกชื่อออกมาต่อหน้า
“เจ้าลิงปากร้ายก็สอนคนให้เป็นเซียนได้เรอะ?”
สีหน้าของติงหงยิ่งแปลกใจมากขึ้น ตอนนั้นเขาเดินทางไปตลาดเสินหนงเจี้ยเพื่อแลกเปลี่ยนสิ่งของ แต่เนื่องจากความซุกซนของเจ้าลิงนั่น จึงเคยถูกเขาใช้แส้ตีมันด้วย
ติงหงจำได้ว่าตอนนั้นหลังจากที่ลูกศิษย์ของสำนักเขาเข้าไปในดินแดนแห่งทวยเทพแล้ว ก็ไม่ได้นำเจ้าลิงนั่นออก มา เผลอแป๊บเดียวผ่านไปหนึ่งร้อยปีกว่า ไม่คิดว่ามันจะสามารถฝึกวรยุทธจนสำเร็จ
“วรยุทธของเจ้าไม่เลว ไม่ทราบว่าสำนักของเจ้ายังมีใครอีกไหม? สามารถพาข้าไปพบได้หรือไม่?”
ทันใดนั้นติงหงจึงนึกถึงเรื่องของศิษย์น้อง แล้วหรี่ตาไม่หยุด เท่าที่เขารู้ คนที่อยู่ในดินแดนแห่งทวยเทพจะกลับมาที่โลกมนุษย์น้อยมาก นอกจากนี้คนที่รู้จักกับศิษย์น้องก็มีมาก คนที่สามารถลงมือได้อย่างเหี้ยมโหด คาดว่าจะต้องไม่รู้จักศิษย์น้องเก๋อแน่นอน
ติงหงไม่ได้สงสัยในตัวเยี่ยเทียน เพราะวรยุทธของเขากับเก๋อข่ายนั้นต่างกันถึงหนึ่งระดับ เป็นไปไม่ได้ที่ศิษย์น้องจะตายด้วยน้ำมือของเขา
ทว่าเยี่ยเทียนอายุน้อยแค่นี้ก็เข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว ไม่แน่อาจารย์คนนั้นที่เขาเพิ่งจะพูดถึง อาจจะเป็นฆาตกรที่ฆ่าศิษย์น้องก็ได้
หลังจากได้ยินคำพูดของติงหง หัวใจเยี่ยเทียนจึงสั่นสะท้าน แล้วจึงพูดพลางยิ้มเจื่อน “ท่านติงครับ อาจารย์ของผมละสังขารไปเมื่อสองสามปีก่อนแล้ว ผมยังมีศิษย์พี่อีกสองคน แต่ก็ยังไม่บรรลุระดับเซียนเทียน ทำให้ต้องขายหน้าท่านผู้อาวุโสแล้วครับ”
“อ้อ? อย่างนี้นี่เอง ถือว่าเจ้าโชคดีไม่น้อยนะ!”
ติงหงได้ยินจึงตกตะลึง ความสงสัยที่มีต่อเยี่ยเทียนพลันลดลงไปมาก ทว่าเขาก็ยังไม่ตายใจ จึงจ้องเขม็งไปที่เยี่ยเทียน แล้วแสร้งทำเป็นยิ้มถาม “เมื่อสองสามเดือนก่อน เจ้าเคยเจอศิษย์น้องของข้าในเมืองหลวงไหม?”
“บ้าเอ้ย ที่แท้นักพรตคนนั้นก็เป็นหนึ่งในสำนักนี้จริงๆ”
เมื่อสัมผัสถึงสายตาที่กวาดมองมาราวกับใบมีด ใบหน้าของเยี่ยเทียนจึงมีสีหน้าแปลกใจออกมา “ศิษย์น้องของท่านติงมาเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อไรครับ? สองสามเดือนก่อนผมกำลังเข้าฌานเพื่อบรรลุระดับเซียนเทียนพอดี จึงไม่เห็นผู้อาวุโสท่านนั้นครับ!”
ด้วยวรยุทธของติงหง เขาจึงดูออกว่าเยี่ยเทียนเพิ่งจะบรรลุขั้นได้ไม่นาน และพลังโฮ่วเทียนเมื่อเข้าสู่เซียนเทียนแล้ว การเปลี่ยนจากพลังปราณชีวิตให้เป็นปราณแท้ก็มีขั้นตอนของมัน ต้องใช้ระยะเวลาครึ่งปีกว่า จากการวินิจฉัยนี้ เยี่ยเทียนจึงไม่มีทางได้พบกับศิษย์น้องของตัวเองจริงๆ
“ช่างเถอะ มานั่งคุยกัน”
ถึงแม้ทั้งสองคนจะใช้พลังจิตสื่อสารกัน แต่ก็ยืนอยู่แถวหน้าสุดของงาน จึงเป็นที่ดึงดูดสายตาของผู้คน โดย เฉพาะตอนนี้งานประมูลใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว ถ้าหากไม่มีพี่น้องตระกูลอวิ๋นยืนอยู่ข้างๆ พนักงานคงเดินเข้าไปเร่งให้พวกเขานั่งลงแล้ว
“พ่อครับ พ่อกับอาเขยไปนั่งแถวหลังนะครับ!”
เยี่ยเทียนส่งกระแสพลังจิตส่วนหนึ่งไปที่สมองของเยี่ยตงผิง จากนั้นจึงยิ้มพูดว่า “เชิญท่านติงนั่งตรงนี้ครับ ผู้น้อยมีเรื่องเกี่ยวกับการฝึกวรยุทธอยากจะขอคำชี้แนะบางส่วนครับ”
เมื่อเห็นติงหงไม่รู้ว่าตัวเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของศิษย์น้องของเขา เยี่ยเทียนจึงสงบใจมากขึ้น และเขาก็ได้พูดด้วยน้ำใสใจจริง อยากจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับการฝึกวรยุทธให้มากขึ้น
“พวกเจ้าไปนั่งแถวหลังเถอะ!”
เมื่อเห็นท่าทางเคารพนอบน้อมของเยี่ยเทียน ติงหงจึงพยักหน้าอย่างพอใจ แล้วจึงโบกมือให้พี่น้องตระกูลอวิ๋นที่ อยู่ไม่ไกล พลางพูดว่า “ข้ากับพ่อหนุ่มนั่งตรงนี้ก็พอแล้ว”
“ครับ หากท่านนักพรตต้องการอะไร เรียกผมได้ตลอดเวลานะครับ!”
อวิ๋นหวาจวินมองไปที่เยี่ยเทียนด้วยความประหลาดใจ ตั้งแต่ติงหงมาที่บ้านของพวกเขา ก็ไม่เคยยิ้มแย้มกับใคร แต่กลับคาดไม่ถึงว่าจะยิ้มให้กับเด็กหนุ่มคนนี้
เมื่อกลับไปที่นั่งแถวหลังแล้ว อวิ๋นหวาจวินจึงกระซิบพูดกับอวิ๋นหวาถง “น้องรอง ไปสืบประวัติของเด็กหนุ่มคนนั้นหน่อย”
พี่น้องตระกูลอวิ๋นมีความสงสัยในตัวเยี่ยเทียน แต่คนที่อยู่ในงานกลับสงสัยประวัติความเป็นมาของติงหงมาก กว่า
ถึงแม้คนในงานจะไม่ค่อยรู้จักอวิ๋นหวาจวิน แต่อวิ๋นหวาถงก็มีชื่อเสียงมากในแวดวงธุรกิจมาก โดยเฉพาะฐานะของตระกูลอวิ๋น ทำให้เพิ่มความลึกลับในตัวเขามากขึ้น
คนที่สามารถทำให้พี่น้องตระกูลอวิ๋นเคารพนบนอบได้ขนาดนี้ นักพรตคนนั้นจะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน ทันใดนั้นคนที่นั่งอยู่ทั้งด้านข้างและด้านหลังของเยี่ยเทียน ต่างก็ทำหูตั้งอยากจะฟังการสนทนาของพวกเขา
ถึงแม้จะเห็นปากของพวกเขาขยับ แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ตอนที่นักประมูลของงานประมูลเดินขึ้นไปบนเวทีแล้ว จึงหันเหความสนใจของทุกคนไปพอสมควร
“ท่านนักพรตฝีมือเยี่ยมยอดจริงๆ แบบนี้ผมทำไม่ได้ครับ!”
เมื่อเห็นติงหงปล่อยพลังปราณชีวิตออกมาเพียงเล็กน้อย ก็สามารถปิดกั้นสิ่งที่อยู่รอบกายของพวกเขาได้ เยี่ยเทียนจึงอดมีสีหน้าอิจฉาออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เพราะเขายังไม่สามารถควบคุมการใช้วิชาพลังปราณชีวิตแบบนี้ได้
“ฝีมือต่ำต้อยเท่านั้น ไม่เก่งอะไรหรอก”
ติงหงทำสีหน้าเรียบเฉยพลางส่ายหน้า “พ่อหนุ่มมางานในวันนี้ ก็เพื่อพลอยวิเศษธาตุไฟนั่นใช่ไหม? เจ้าสิ่งนี้มีประโยชน์กับสำนักหอประดิษฐ์วิเศษมาก หวังว่าพ่อหนุ่มจะยอมหลีกทางให้ แล้วข้าจะตอบแทนน้ำใจเจ้าแน่นอน!”
ถึงแม้ปากจะพูดอย่างเกรงใจ แต่สีหน้าของติงหงก็แสดงออกอย่างชัดเจน ถ้าหากเยี่ยเทียนดึงดันจะแย่ง เขาก็ไม่ถือสาที่จะแย่งอยู่ดี ถึงอย่างไรพลอยวิเศษนี้จะต้องอยู่ในมือของเขาให้ได้
ถึงแม้จะอยู่ในดินแดนแห่งทวยเทพ แต่พลอยวิเศษก็เป็นทรัพยากรอย่างหนึ่งที่มีน้อยนิด และยังแบ่ง เป็นสามเกรดสูง กลาง ต่ำอีกด้วย ดังนั้นจึงมีประโยชน์ต่อผู้ฝึกวิชาเป็นอย่างมาก
ถึงแม้ติงหงจะเป็นเจ้าสำนักหอประดิษฐ์วิเศษคนปัจจุบัน แต่สำนักนั้นก็หมดความรุ่งเรืองไปนานแล้ว หลังจากที่เสียศิษย์น้องไป ก็เหลือลูกศิษย์ของเขาเพียงคนเดียว แค่อาศัยเพียงพวกเขาสามคน จึงไม่สามารถแย่งชิงสายแร่ของพลอยวิเศษที่อยู่ในดินแดนแห่งทวยเทพได้
นอกจากนี้เมื่อสามร้อยปีก่อนเขาก็เข้าฌานตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิง หลังจากเสินโจวเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เข้าสู่ยุคธรรมตอนปลาย วิชาขั้นสูงของหอประดิษฐ์วิเศษก็หายสาบสูญ ติงหงจึงใช้วิชาประดิษฐ์อาวุธพื้นฐานบางส่วนมาขายเท่านั้น ของที่ทำออกมาก็ขายไม่ได้กำไรเท่าไหร่
ดังนั้นแม้ว่าในมือของติงหงจะมีพลอยวิเศษเกรดต่ำอยู่สองสามชิ้น แต่ตอนที่ฝึกวรยุทธก็ยังเสียดายที่จะเอามาใช้ ตอนนี้ได้เห็นมันอยู่ในโลกมนุษย์ ดังนั้นเขาจึงไม่ยอมให้หลุดมือไปแน่นอน
“พลอยวิเศษธาตุไฟ? มันคืออะไรครับ?”
เยี่ยเทียนมีสีหน้าตกตะลึงออกมาแล้วพูดว่า “ที่บ้านผมเปิดร้านขายของเก่า จึงใช้โอกาสนี้นำหยกสมัยราชวงศ์ฮั่นมาประมูลสักสองสามชิ้น ไม่ได้มาเพื่อพลอยวิเศษธาตุไฟอะไรนั่นหรอกครับ!”
เมื่อเห็นติงหงที่มีวรยุทธล้ำลึกยากจะคาดเดา ให้ความสำคัญกับพลอยวิเศษที่จะประมูลเป็นอย่างมาก เยี่ยเทียนจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไร ดังนั้นจึงไม่ยอมแสดงเจตจำนงว่าตัวเองก็อยากซื้อพลอยวิเศษนั่นเช่นกัน
“เจ้าไม่รู้จักว่าพลอยวิเศษคืออะไร?”
ใบหน้าของติงหงมีสีหน้าประหลาดใจออกมา “ถ้างั้นเจ้าบรรลุระดับเซียนเทียนได้ยังไง? ไม่มีพลอยวิเศษในการล้างไขกระดูก เป็นไปไม่ได้ที่จะบรรลุระดับเซียนเทียน?”
“บ้าเอ้ย เราโกหกมากเกินไปหน่อย”
พอได้ยินคำพูดของติงหง หัวใจเยี่ยเทียนจึงหนักอึ้ง พร้อมกับมีสีหน้าลังเลพลางพูดว่า “ผมเคยได้รับหินสีดำที่เย็นสุดขั้วยามที่สัมผัสกับมือมาหนึ่งชิ้น หลังจากดูดซับปราณวิเศษในนั้นแล้ว ถึงได้บรรลุระดับเซียนเทียนครับ หรือว่าพลอยวิเศษที่ท่านนักพรตพูดถึงจะเป็นหินนั่นครับ?”
“โดนมือจะเย็นสุดขั้ว? ยัง…ยังมีหินแบบนี้อยู่หรือ?”
ลมหายใจของติงหงกระชั้นถี่ขึ้นมาทันที ถึงแม้เขาจะเป็นคนของสำนักหอประดิษฐ์วิเศษ แต่ร่างกายกลับค่อนข้างเย็น พลอยวิเศษธาตุน้ำจึงมีประโยชน์มากสำหรับเขา
ถ้าหากสามารถมีพลอยวิเศษธาตุน้ำสักชิ้น ความหวังในการบรรลุจินตันสำเร็จมหามรรคของเขาก็จะเพิ่มขึ้นอีกสามส่วน เพียงแต่พลอยวิเศษเกรดดีนั้นมีน้อยมาก ติงหงค้นหามาหลายปี ก็หาพลอยวิเศษธาตุน้ำที่เป็นเกรดกลางได้เพียงสองชิ้นเท่านั้น
ดังนั้นถึงแม้จะไม่รู้ว่าเยี่ยเทียนได้รับพลอยวิเศษเกรดใด แต่ติงหงก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา กระทั่งกวาดสายตามองเยี่ยเทียนโดยไม่เกรงใจใดๆ
“โธ่เว้ย เก่งสู้เขาไม่ได้ก็ต้องทนอึดอัดจริงโว้ย!”
ตอนที่ติงหงใช้พลังจิตกวาดมองมาที่ตัวของเขา เยี่ยเทียนจึงอดสบถด่าในใจไม่ได้ ขณะเดียวกันก็แอบดีใจที่ตัวเองซ่อนพลอยวิเศษกับเชือกรัดมังกรไว้ที่บ้าน
ดูเหมือนจะไม่ได้รับพลังจิตที่มีเจตนาร้ายของติงหง เยี่ยเทียนจึงพูดอย่างงุนงงว่า “หลังจากที่ผมฝึกวรยุทธแล้ว หินก้อนนั้นก็สลายกลายเป็นผงละเอียด ไม่เหลืออะไรเลยครับ”
“แล้วเจ้าได้หินนั่นมาจากที่ไหน?”
ติงหงรู้สึกผิดหวังในใจอยู่บ้าง เยี่ยเทียนน่าจะได้หินวิเศษเกรดต่ำมาหนึ่งชิ้น มิฉะนั้นการฝึกวรยุทธครั้งเดียวคงจะไม่เพียงพอให้ปราณวิเศษที่อยู่ในหินวิเศษนั่นสลายหายไป
“ปีที่แล้วผมไปต่างประเทศมาครั้งหนึ่ง และได้รับมาจากมือของพ่อค้าพลอยคนหนึ่ง แต่ก็แปลกของสิ่งนั้นพวกเราสามารถดูดซับปราณวิเศษจากภายในได้ แต่คนธรรมดากลับไม่มีการตอบสนองใดๆ
ขณะที่เยี่ยเทียนพูดนั้นยังคงทำสีหน้าเช่นเดิม กระทั่งหัวใจก็ไม่ได้เต้นเร็วขึ้น ถึงอย่างไรเขาก็ไปประเทศอเมริกาจริงๆ ถ้าหากติงหงมีความสามารถที่มหัศจรรย์ ก็ลองหาตัวพ่อค้าพลอยคนนั้นออกมาให้ได้สิ!
“เป็นอย่างนี้นี่เอง? พ่อหนุ่มโชคดีมากจริงๆ”
ติงหงมองเยี่ยเทียนอย่างลึกซึ้ง ถึงแม้เขาจะรู้ว่าสิ่งที่เยี่ยเทียนพูดมาไม่ใช่ความจริงทั้งหมด แต่เขาก็จนปัญญา เพราะคงจะมัวแต่สงสัยเยี่ยเทียนแล้วซักถามต่อไปก็ไม่ได้?
นอกจากนี้สำนักที่เยี่ยเทียนสืบทอดมานั้น ก็มีความแข็งแกร่งมากในพื้นที่ของเขา แถมยังเชี่ยวชาญด้านการทำ นาย จึงยากที่เขาจะผิดใจได้จริงๆ
“ท่านนักพรต กรุณาช่วยบอกผมทีว่า ท่านอาวุโสของพวกเราไปอยู่ที่ไหนแล้วครับ? หลายร้อยปีที่ผ่านมา ทำไมถึงไม่มีผู้บำเพ็ญตบะอยู่ในโลกมนุษย์เลยครับ?”
ติงหงไม่ซักถามต่อแล้ว แต่เยี่ยเทียนกลับไม่หยุด ถึงแม้คนที่อยู่ที่ตรงหน้าจะไม่ใช่ทั้งมิตรและศัตรูของตัวเอง แต่ก็เป็นผู้ฝึกตนเพียงคนเดียวที่เยี่ยเทียนพูดคุยได้ ดังนั้นความสงสัยคลางแคลงต่างๆ จึงต้องการคำตอบจากเขา
“อะแฮ่ม พ่อหนุ่มถึงแม้จะเป็นหนึ่งในผู้ฝึกตน แต่สถานที่นั่นของพวกเราก็มีกฎที่เคร่งครัดมาก ไม่อนุญาตให้คนทางโลกเข้าออก ดังนั้นต้องขอโทษที่ข้าไม่สามารถบอกอะไรได้”
ติงหงวางท่าอย่างผู้ทรงคุณธรรม แล้วพูดอย่างจริงใจว่า “วันหลังหากคนในสำนักของพ่อหนุ่มต้องการเข้าไปข้างใน ก็จะต้องพาเจ้าเข้าไปด้วยอยู่แล้ว หรือจะรอให้ข้ากลับไปก่อน แล้วส่งข่าวไปแจ้งอาจารย์ของเจ้าก็ได้!”
ถ้าหากเยี่ยเทียนไม่มีสำนัก ไม่แน่ติงหงคงจะรู้สึกรักและเมตตา พาเขาเข้าไปในเขตแดนทวยเทพและรับไว้เป็นศิษย์เพื่อสืบทอดระบบเต๋าต่อไป
แต่เยี่ยเทียนได้รับการถ่ายทอดวิชามาจากสำนักฟ้าดิน หากพาเขาเข้าไปก็ไม่ใช่คนของสำนักหอประดิษฐ์วิเศษของเขา ติงหงเป็นคนจิตใจแคบ ดังนั้นจึงไม่ยอมทำอะไรฟรีๆ ให้คนอื่นอยู่แล้ว
“บัดซบเอ้ย จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์!”
หลังจากได้ยินคำพูดของติงหงแล้ว เยี่ยเทียนแทบจะเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟ ตาแก่นี่หลอกถามตัวเองมาตั้งนาน สุดท้ายกลับไม่พูดเรื่องของเขาออกมาสักคำ ฉลาดเป็นกรดเกินไปแล้ว