ตอนที่ 758 สังหารหมู่อีกครั้ง
เดือนมีนาคมในไซบีเรีย ยังคงหนาวเสียดแทงถึงกระดูก ก่อนที่ฤดูกาลจะเปลี่ยนผัน หิมะสุดท้ายจึงตกลงมาในที่สุด
เกล็ดหิมะจับตัวกับสายฝน ทำให้วิสัยทัศน์ในการมองเห็นต่ำลงอย่างมาก ถนนที่ไม่ได้ลาดยางบางส่วนถึงกับกลายเป็นเลนโคลน สภาพอากาศอันเลวร้ายทำให้เฮลิคอปเตอร์ไม่สามารถบินขึ้นได้ กองกำลังหลักถูกส่งมายังไซบีเรียไม่ขาดสาย การค้นหาตัวจึงกลับกลายยากลำบากยิ่งขึ้น
แต่ว่าเส้นทางหลักทั้งเข้าและออกแต่ละเส้นทางในไซบีเรีย ล้วนถูกตรวจตราอย่างเข้มงวดแล้ว พวกเขาใช้ค่ายฝึกเป็นใจกลางฐานที่มั่น แล้วกำจัดวงล้อมในรัศมีสองร้อยกิโลเมตรเข้ามา
“กระตือรือร้นกันหน่อย เป็นไปได้สูงมากว่าคนร้ายที่สังหารท่านนายพล จะยังอยู่ในเขตนี้!”
ห่างจากค่ายฝึกมวยใต้ดินไปแปดสิบกว่ากิโลเมตร กลุ่มทหารราบออกปฎิบัติการค้นหาพื้นที่นี้ในรูปแบบพัด หลังจากการตายของลอฟสกี้ พื้นที่โดยรอบค่ายฝึกหนึ่งร้อยกิโลเมตร ก็ถูกกำหนดให้เป็นเขตหลัก และพระราชวังเครมลินก็ส่งกองกำลังหนุนมายังที่นี่ถึงสองกอง
“ให้ตายสิ ในสภาพอากาศแบบนี้ จะไปตามหาตัวคนร้ายเจอได้ยังไง? ฉันพนันได้เลยว่า ไอ้หมอนั่นต้องหนีขึ้นเขาไปแล้ว”
ทหารยศสิบตรีคนหนึ่งลื่นล้มลงบนพื้น ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลน เมื่อถูกลมหนาวพัดมาปะทะก็ตัวสั่นเทาไปทั้งตัว พอลุกขึ้นมาได้จึงเผลอสบถออกมา
ไซบีเรียครอบคลุมดินแดนหลายพันตารางกิโลเมตร พื้นที่กว้างขวางผู้คนบางตา อีกทั้งยังมีเทือกเขามากมายหลายลูก เมื่อมีคนหลบเข้าไปภายในป่า พวกเขาจึงไม่สามารถปูพรมค้นหาได้ทั่วทุกตารางนิ้ว
“หุบปากแกเถอะ โจเซฟ ขืนหาคนร้ายไม่เจอล่ะก็ พวกเรามีหวังถูกทิ้งให้เฝ้ายามชายแดนที่มีแต่น้ำแข็งกับหิมะนี่อย่างแน่นอน!”
นายทหารติดยศร้อยเอกผู้หนึ่งส่งสายตากราดเกรี้ยวมายังทหารยศสิบตรี คนที่รู้ข่าวการตายของลอฟสกี้นั้นมีไม่มากนัก กองทัพกลุ่มนี้ของพวกเขาเป็นทัพใหญ่ขึ้นตรงกับรัฐบาลกลาง จึงรู้เรื่องราวมากกว่าใคร
“สภาพอากาศระยำแท้!”
พอได้ยินคำพูดของร้อยเอก โจเซฟก็หุบปากลงแน่นสนิท แต่เท้ากลับลื่นล้มลงไปอย่างแรงอีกครั้ง คราวนี้ค่อนข้างหนักหน่วง ดูเหมือนจะบาดเจ็บถึงส่วนสะโพก โจเซฟดิ้นรนอยู่สักพัก ก็ยังไม่สามารถลุกขึ้นมาได้
โจเซฟก่นเสียงด่าแผ่วเบา ขณะกำลังจะร้องเรียกให้คนช่วย ดวงตาพลันเบิกกว้าง เพราะเขาพบว่า ร่างกายถูกห้อมล้อมไปด้วยดวงไฟผสมผสานกับพายุฝน แล้วกลับกลายสว่างวาบในทันใด เป็นลำแสงรูปร่างคนวิ่งกลับไปกลับมาระหว่างเพื่อนร่วมรบของเขาเหล่านั้น ใบหน้าที่คุ้นเคยร่วงลงบนพื้นตามมาติดๆ
การกระทำทั้งหมดไร้ซึ่งซุ่มเสียง คนที่ล้มลงไม่มีแม้กระทั่งเสียงเรียกหรือร้องครวญครางออกมา ราวกับภาพยนตร์ขาวดำอย่างไรอย่างนั้น โจเซฟที่เห็นภาพนั้นบังเกิดความรู้สึกสยดสยองลึกลงไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ ราวกับเทพแห่งความตายลงมายังโลกเพื่อเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณมนุษย์
เสียง “ตุบ!” ดังขึ้น หยาดฝนหล่นลงบนใบหน้าโจเซฟ ขณะที่เขากำลังลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็มองเห็นใบหน้าซีดขาวของทหารยศร้อยเอก ในดวงตาสองข้างนั้นไร้แววชีวิตอย่างสิ้นเชิง และสิ่งที่ทำให้โจเซฟสติหลุดก็คือ ส่วนล่างของหัวนั้น กลับไม่มีร่างกายของทหารยศร้อยเอก
“ปีศาจ ปีศาจ!”
โจเซฟไม่อาจควบคุมความกลัวภายในใจได้อีกต่อไป ยกปืนขึ้นลั่นไกใส่เงาร่างที่ดูราวกำลังเต้นรำอยู่ท่ามกลางสายฝน “ปัง ปัง ปัง” เสียงปืนดังสะท้อนไปบนพื้นที่โล่งอันกว้างไกล
แต่สิ่งที่ทำให้โจเซฟผิดหวังก็คือ เขากลับยิงไม่ถูกใครเลย อีกทั้งวินาทีที่เขาลั่นไก ลำกล้องยาวของปืนในมือของเขากลับโค้งงอขึ้นมาในทันใด จนไม่อาจยิงลูกกระสุนออกมาได้อีก
ความหวาดกลัวนั้นราวกับมีฝ่ามือใหญ่ จับคว้าหัวใจของโจเซฟเอาไว้แน่น จนเขาแทบจะหมดลมหายใจ เส้นเลือดบนมือสองข้างปูดโปน ถือปืนกลมือที่พังแล้วในมือเอาไว้แน่นด้วยความสิ้นหวัง ราวกับกำลังคว้าฟางเส้นสุดท้าย
เวลานี้โจเซฟไม่สนใจความเจ็บปวดที่สะโพกอีก คืบคลานไปด้านข้างด้วยสัญชาตญาณ พบว่าด้านหน้ามีชาวตะวันตกร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งยืนอยู่ ในมือของเขา ถือดาบคมกริบเล่มหนึ่ง หยาดฝนชะล้างเลือดบนผิวเหล็กรินไหลลงดิน
หลังจากเสียงปืนดังขึ้น หน่วยค้นหาที่เดิมออกปฏิบัติการเป็นรูปพัด ยังรู้สึกว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี เวลานั้นเองพวกเขาจึงได้พบว่า เพื่อนร่วมรบข้างตัว ล้มลงไปอยู่บนพื้นเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ราวกับกลัวว่าจะถูกล้อมจับ คนผู้นั้นจึงไม่ฟันดาบลงบนลำคอของโจเซฟ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันหน้าวิ่งไปทางด้านหลัง จนร่างกลืนหายเข้าไปในความมืดและพายุฝนอย่างรวดเร็ว
เสียงตะโกนเรียกให้หยุดดังขึ้น หลังจากนั้นไม่กี่นาที เสียงกระหึ่มจากรถหุ้มเกราะหลายต่อหลายคันก็ดังตามมา แสงไฟหลายลำส่องทะลุสายฝนและเกล็ดหิมะ จนพื้นที่แถบนั้นสว่างจ้าราวกับเป็นเวลากลางวัน
พื้นที่สามสิบกว่าเมตรภายในเขตแดน ถูกละเลงด้วยเลือดจนทั่ว หยาดฝนจากฟ้ายังไม่สามารถชะล้างเลือดให้จางหาย กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งตลบอบอวล ราวกับเป็นดินแดนแห่งนรกก็ไม่ปาน ต่อให้เป็นทหารผ่านศึกที่จิตใจเข้มแข็งสักแค่ไหน ยังรู้สึกปั่นป่วนมวนในลำไส้ อดอาเจียนออกมาอย่างหนักไม่ได้
“ท่านนายพลครับ!”
หลังจากนายทหารวัยกลางคนชาวรัสเซียรูปร่างสูงใหญ่ลงมาจากรถหุ้มเกราะแล้ว คนที่โน้มตัวอาเจียนเหล่านั้นต่างยืดตัวยืนขึ้น เพื่อทำความเคารพต่อคนที่เดินลงมา
“นับจำนวนผู้บาดเจ็บ เสาะหาผู้รอดชีวิต!” คนที่มานั้นก็คือผู้บังคับบัญชาการพิเศษเขตไซบีเรีย วิคเตอร์นั่นเอง ถึงแม้เขาจะมีกำลังพลทหารในควบคุมพันกว่านาย แต่กลับมียศเพียงพลตรี อีกทั้งเขายังเป็นผู้สืบสายเลือดโดยตรงของลอฟสกี้อีกด้วย
แม้ว่าเขาจะเคยเข้าร่วมสงครามเชเชน และเคยรับภารกิจสังหารประชาชนภายในเมืองด้วยมือตนเองมาก่อน แต่เมื่อเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า ช่วงท้องของวิคเตอร์เองก็ปั่นป่วนขึ้นมาระลอกหนึ่ง น้ำรสเปรี้ยวทะลักขึ้นมาถึงในปาก จนเกือบจะอาเจียนออกมาเหมือนกับพลทหารของเขา
พื้นที่นี้อาบท่วมไปด้วยเลือด ผู้ตายทุกคนดูเหมือนจะปราศจากส่วนหัวทั้งหมด ร่างไร้ศีรษะมีดวงตาเบิกโพลงนับสิบร่างทำให้พื้นที่นี้อบอวลไปด้วยบรรยากาศวิปริตพิสดาร บีบคั้นจนผู้คนแทบเสียสติ
“ท่านนายพลครับ เสียชีวิตทั้งหมดหกสิบแปดนาย สามคนในนั้นหัวใจวายตาย นอกจากนั้นมีอีกสิบสองคนที่สภาพจิตแปรปรวนอย่างหนัก…”
หลังจากผ่านการนับคำนวณกว่าครึ่งชั่วโมง ผลลัพธ์ก็ออกมา กองทหารนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของหน่วยทัพพิเศษ คนตายไปหกสิบแปดคน จึงแทบลดลงไปกว่าครึ่ง นอกจากนั้นยังมีอีกสิบกว่าคนเกิดอาการเจ็บป่วยทางอารมณ์และจิตใจ ไม่ว่าใครจะสอบถามอย่างไร ก็ไม่อาจพูดออกมาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“เผยแพร่คำสั่งของฉันลงไป ให้รวบรวมอาวุทธยุทโธปกรณ์เข้ามา แล้วไล่ล่าต่อ จะต้องหาฝ่ายศัตรูให้เจอให้ได้ ฉันจะรายงานไปทางวังเครมลินเดี๋ยวนี้!”
หลังจากได้ยินตัวเลข สีหน้าของวิคเตอร์ก็กระตุกขึ้นหนหนึ่ง คนกลุ่มนี้คือเหล่าทหารชั้นยอดที่เขาเลือกมาจากกองทัพภาคไซบีเรีย แต่ภายในช่วงเวลาสั้นๆ กลับถูกสังหารเหมือนผักปลาเป็นจำนวนหกสิบกว่าคน จึงเท่ากับเป็นการตบหน้าวิคเตอร์อย่างแรง
ภาพถ่ายสถานการณ์ในที่เกิดเหตุ ถูกส่งไปยังวังเครมลิน ทำให้เกิดความตื่นตระหนกภายในนั้น ใครๆ ต่างก็นึกไม่ถึงว่าคนผู้นั้นจะกล้าหาญชาญชัย ในขณะที่ต้องเผชิญหน้ากับกองทัพกว่าแสนนาย กลับยังบังอาจทำเรื่องอย่างนี้ได้
เหตุการณ์นี้ยังทำให้ทางวังเครมลินสงสัยว่า คนที่เข้ามาในเขตแดนรัสเซียอาจไม่ได้มีเพียงคนเดียว แต่เป็นกองทหารพิเศษชั้นยอด หลังจากออกคำสั่งไปจำนวนหนึ่งแล้ว กองทหารรักษาการณ์ชายแดนรัสเซียจึงเข้าสู่การพร้อมรบระดับหนึ่งทันที
……
ในฐานะผู้บังคับบัญชากองทัพพิเศษตะวันออกไกล วิคเตอร์มีสิทธิพิเศษมากมาย เขามีอำนาจสั่งเคลื่อนย้ายกองพลทหารยศเดียวกับตนเอง ดังนั้นหลังจากที่วิคเตอร์ออกคำสั่งไปแล้ว กองกำลังทหารซึ่งอยู่ด้านข้างจึงเริ่มขับเคลื่อนไปทางนั้น
กระโจมสำหรับกองกำลังสั่งการถูกจัดตั้งขึ้น ทหารรัสเซียระดับนายพลสิบกว่านายมารวมตัวกันที่นี่ ต่างคนต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด ขณะที่มองดูรูปภาพเหล่านั้น พวกเขาก็สำเหนียกได้ว่า ศัตรูที่ตนเองกำลังเผชิญหน้า ไม่อาจนำตรรกะทั่วไปมาใช้คาดเดา
แผนที่แผ่นหนึ่งถูกแขวนไว้ตรงกลางกระโจม วิคเตอร์ทำเครื่องหมายลูกศรสีแดงตรงจุดที่พวกเขาอยู่ กล่าวว่า “ผมไม่ได้พูดเกินเลยอะไร แต่ทุกคนล้วนรู้ว่า พื้นที่ไซบีเรียกว้างใหญ่ไพศาล สามารถจัดทีมค้นหาได้มากที่สุดเป็นหน่วยกองร้อยเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง หนึ่งกองร้อยนั้นไม่อาจต้านทานการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม!”
นายทหารยศพลตรีอีกคนหนึ่งลุกขึ้นยืน กล่าวว่า “ท่านนายพลวิคเตอร์ ข้างนอกมีทั้งฝนและหิมะ วิสัยทัศน์ย่ำแย่ ศัตรูอยู่ในความมืด แต่ว่าพวกเรากลับอยู่ในที่โล่งแจ้ง จึงถูกฝ่ายศัตรูลอบโจมตี ดังนั้นผมจึงขอแนะนำให้ปิดเส้นทางหลักทั้งหมด รอจนกว่าฟ้าสว่างแล้วจึงออกปฏิบัติการตามล่าอีกครั้ง!”
หลังจากสงครามเวียดนามจบลง ถึงแม้พื้นที่ต่างๆ ในโลกยังคงขัดแย้งกันบางส่วน แต่การตายของทหารของแต่ละประเทศก็ลดลงอย่างมาก
เฉกเช่นเดียวกับสงครามอัฟกานิสถานในช่วงเวลาที่ผ่านมา กองทัพอเมริกาสูญเสียทหารเพียงหลายสิบนาย ด้วยเหตุนี้เมื่อเทียบกันแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นในรัสเซียจึงสะเทือนใจคนฟัง กระทั่งเหล่านายพลยังไม่อาจทนรับไหว
“นายพลแม็กซิม ผมรู้ว่าความเห็นของคุณถูกต้อง แต่ผมไม่มีอำนาจสั่งการหยุดค้นหา!”
หลังจากได้ยินคำพูดของพลตรีคนนั้นแล้ว นายพลวิคเตอร์ก็ส่ายหน้ายิ้มเจื่อน พลทหารที่เสียชีวิตล้วนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาทั้งหมด ไหนเลยเขาจะไม่รู้สึกเจ็บปวด แต่ต่อให้มีคนตายมากไปกว่านี้ เขาก็ยังไม่กล้าออกคำสั่งระงับการปฎิบัติการ
“ถ้าอย่างนั้นก็คงได้แต่ให้หน่วยทหารทุกกองพันออกดำเนินการค้นหาต่อไป ให้แต่ละหน่วยติดอาวุธหนักครบครัน”
นายพลแม็กซิมเองก็ไม่ยืนกรานความคิดของตนเองเช่นกัน เขารู้ว่าการตายของลอฟสกี้คงทำให้ผู้บังคับบัญชาในวังเครมลินโกรธเกรี้ยวอย่างแน่นอน
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการปรับเปลี่ยนยุทธวิธีหรือไม่ ศัตรูผู้ก่อเหตุสังหารหมู่คนนั้น จึงไม่ปรากฎตัวอีกเลย และพายุหิมะก็สงบลง