ตอนที่ 763 เคิร์ท
บรรดาราชามวยใต้ดินในอนาคตเหล่านี้ แม้จะได้ผ่านการฝึกมาอย่างหนักเหมือนปีศาจในนรกตลอดหลายปีที่ผ่านมา จนอยู่ในสภาพที่พลังกายอยู่ในระดับสูงสุด เทียบกับแอนโทนี มาร์คัสที่ตายไปด้วยน้ำมือของเยี่ยเทียนแล้วก็ถือว่าไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย
แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่พวกเขาต้องมาเผชิญกับเยี่ยเทียนที่เข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว พละกำลังและความรวดเร็วที่ราชามวยในอนาคตเหล่านี้ภูมิใจนักหนา เมื่อมาอยู่ต่อหน้าเยี่ยเทียนแล้ว กลับดูเหมือนเด็กน้อยมารำดาบให้ดู แม้จะมีแรงโจมตีเต็มเปี่ยม แต่ก็ไม่อาจทำอะไรเยี่ยเทียนได้
ระหว่างที่วนเวียนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนเหล่านี้ เยี่ยเทียนมีสติแจ่มใสกว่าปกติ จิตของเขาแผ่คลุมไปรอบด้านในรัศมีประมาณหนึ่งร้อยเมตร ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นภายในวงรัศมีนี้ล้วนชัดเจนอยู่ในใจของเขา เสียงลมที่มาจากท้องฟ้า การไต่ของแมลงในพุ่มไม้ เสียงลมหายใจของคนสิบกว่าคน รวมถึงต้นหญ้าที่ถูกสายลมพัดไหว ต่างก็ไม่อาจหลบพ้นจิตรับรู้ของเยี่ยเทียนไปได้
เยี่ยเทียนในขณะนี้ได้เข้าสู่สภาพอันพิสดารอย่างหนึ่ง ร่างของเขาเป็นหนึ่งเดียวกับสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างสมบูรณ์ เหมือนกับว่าเสียงปืนและเสียงกรีดร้องที่ดังอยู่ไม่ขาดหูนั้น ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเขาเลย
แต่ทุกๆ ครั้งที่เกิดความเคลื่อนไหวที่อาจจะเป็นภัยต่อเยี่ยเทียน เขาก็จะสามารถโต้ตอบได้ทันท่วงทีเสมอ เพราะความไม่กลมกลืนกันนั้นอาจจะไปทำลายสถานะของเยี่ยเทียนที่กำลังรวมเป็นหนึ่งกับฟ้าดินได้
หลังจากผ่านไปเพียงไม่กี่สิบวินาที ในที่ว่างบริเวณหน้าถ้ำ ก็ไม่มีคนเป็นๆ เหลือรอดอยู่อีกเลยแม้แต่คนเดียว ราชามวยใต้ดินในอนาคตที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งสิบสองคนต่างก็ถูกเยี่ยเทียนเข่นฆ่าไปอย่างรวดเร็ว
สำหรับผู้ที่มีพลังฝีมือระดับเยี่ยเทียน ถ้าจะให้คนเหล่านี้มาจัดการเขา โดยไม่ได้ใช้อาวุธชนิดที่มีพลังทำลายล้างสูงจนกายเนื้อไม่อาจต้านทานได้ละก็ นับว่าแทบจะไม่มีทางเป็นไปได้เลย นี่ก็คือความแตกต่างระหว่างคุณภาพและปริมาณ ลองนึกถึงภาพ เด็กที่เพิ่งจะหัดเดินได้หนึ่งร้อยคนรวมกัน จะสร้างพลังข่มขู่ผู้ใหญ่ร่างกายกำยำสักคนหนึ่งได้สักขนาดไหน?
“ยังจะหลบอีกรึ? ออกมาซะ!” เยี่ยเทียนเงี่ยหูฟังเสียงแล้วปล่อยหมัดออกไปกลางอากาศว่างเปล่าตรงหน้า จนเกิดคลื่นแผ่ออกไปเป็นระลอก ร่างอันผอมแห้งของเคิร์ทจึงปรากฏออกมา
“แกเป็นใครกันแน่?”
เมื่อเห็นใบหน้าที่ดูเหมือนชาวตะวันตกของเยี่ยเทียน เคิร์ทก็มีสีหน้าเคร่งเครียดมากกว่าเดิม ภาพเหตุการณ์ที่เยี่ยเทียนสังหารพวกราชามวยใต้ดินในอนาคตไปเมื่อครู่นั้น การกระทำดูคล้ายคลึงกับพวกมนุษย์หมาป่าของรัสเซียอยู่เหมือนกัน
ในโลกนี้ มีมนุษย์และสรรพสิ่งมากมายที่ซ่อนเร้นอยู่ท่ามกลางความมืด
สิ่งที่เรียกว่าสิ่งมีชีวิตในความมืดนั้น แท้ที่จริงแล้วก็คือมนุษย์นั่นเอง เพียงแต่ร่างกายของคนเหล่านี้ได้เกิดปรากฏการณ์พิสดารขึ้น จึงส่งผลให้คนเหล่านี้มีความสามารถพิเศษบางอย่าง มนุษย์หมาป่าที่เคิร์ทนึกถึงนั้นก็เป็นกรณีเดียวกัน และนับว่ามีความคล้ายคลึงกับการอัญเชิญเทพมาสถิตร่างที่เยี่ยเทียนเคยพบเห็นมาอยู่บ้าง
แวมไพร์ก็เป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตในความมืดเช่นกัน และยังเคยปกครองโลกใต้ดินของทางตะวันตกในบางยุคบางสมัยอีกด้วย
ก่อนสมัยยุคกลาง เนื่องจากผู้ที่เป็นแวมไพร์จะมีพลังพิเศษและอยู่ในร่างที่เป็นอมตะ จึงมักจะได้กลายเป็นผู้ปกครองแคว้น และยังต่อสู้กันเองเพื่อแย่งชิงอำนาจ สร้างความหวาดกลัวให้แก่คนทั่วไป
จนกระทั่งประมาณสมัยศตวรรษที่สิบสี่ ศาสนจักรนิกายคาทอลิกได้ตระหนักถึงการมีอยู่ของพวกแวมไพร์ จึงดำเนินการล่าสังหารเป็นการใหญ่ทันที แม้ว่าพวกแวมไพร์จะมีพลังพิเศษ แต่ไม่อาจต้านทานคนธรรมดานับร้อยนับพันในเวลาเดียวกันได้ ด้วยเหตุนี้การดำรงอยู่ของแวมไพร์จึงประสบวิกฤตครั้งใหญ่เป็นประวัติการณ์
เมื่อครั้งสงครามครูเสดนั้น ที่จริงแล้วก็เป็นสงครามระหว่างศาสนจักรของทางตะวันตกและพวกสิ่งมีชีวิตในความมืด ซึ่งสุดท้ายฝ่ายที่พ่ายแพ้ไปก็คือพวกสิ่งมีชีวิตในความมืด ดังนั้นพวกนี้จึงได้แต่ไปเร้นกายหลบซ่อน
เพื่อที่จะปรับตัวเข้ากับสถานการณ์อันเลวร้ายให้ได้ แวมไพร์หลายตระกูลในสมัยนั้นจึงจำเป็นต้องร่วมมือเป็นพันธมิตรกัน โดยมีเจ็ดตระกูลร่วมกันก่อตั้งสมาคมขึ้นมา จนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังนับว่าเป็นสมาคมที่มีขนาดใหญ่พอสมควร
ตอนที่สมาคมลับนี้ถูกก่อตั้งขึ้น ก็มีการตั้งกฎอันเคร่งครัดขึ้นหกประการ และกำหนดว่าสมาชิกแวมไพร์รุ่นหลังในสมาคมจะต้องเคารพกฎเหล่านี้ไปตลอดกาล
จุดประสงค์สูงสุดของกฎทั้งหมดนี้กำหนดว่า แวมไพร์จะต้องแฝงเร้นอยู่ในสังคมของมนุษย์ โดยห้ามเปิดเผยตัวตนโดยเด็ดขาด เพื่อหลีกเลี่ยงการนำไปสู่วิกฤตต่อการดำรงอยู่ของแวมไพร์ นี่จึงเป็นที่มาของข้อบังคับในการ ‘ปลีกตัวจากโลก’
แดร็กคูล่าก็เป็นหนึ่งในผู้ที่เข้าร่วมการประชุมสภาแห่งความมืดครั้งนั้น ด้วยเหตุนี้แม้ว่าเขาจะมีพลังอันแข็งแกร่งอยู่ แต่ที่ผ่านมาก็ไม่ได้เป็นที่รู้จักต่อสาธารณชนเลย เพียงปกครองอาณาจักรธุรกิจอันยิ่งใหญ่โดยเร้นกายชักใยอยู่เบื้องหลัง
คนแบบเดียวกับแดร็กคูล่านี้ ที่จริงแล้วก็ยังมีอีกหลายคน อย่างพวกลักลอบค้ายาเสพติดที่โคลัมเบียและเม็กซิโก ก็มีอยู่จำนวนมากที่คอยรับคำสั่งจากคนเหล่านี้ ส่วนพวกมนุษย์หมาป่าก็เป็นตัวแทนของโลกด้านมืดแถบยุโรปตะวันตก รวมถึงในโลกใต้ดินของรัสเซียอีกด้วย
แต่สิ่งที่ทำให้เคิร์ทตกตะลึงสุดขีดคือ มนุษย์หมาป่านั้นแม้จะแข็งแกร่ง มีกายเนื้อที่ทรงพลังสูสีกับแวมไพร์ แต่ถ้าอยากจะมีพลังต่อสู้ในระดับสูงพอๆ กับเยี่ยเทียน ก็จะต้องทำการแปลงร่างเสียก่อน ในฐานะที่อยู่ด้านมืดเหมือนๆ กัน เคิร์ทจึงรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นอย่างดี
ไม่เพียงเท่านี้ เยี่ยเทียนซึ่งกำลังหยุดยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นยังทำให้เคิร์ทรู้สึกถึงอันตรายร้ายแรงบางอย่าง จนเขาถึงขั้นไม่กล้าเข้าไปดูดเลือดของพวกคนที่เพิ่งตายไปนั่นเลย สำหรับเขาแล้ว เลือดที่ยังไม่สูญเสียพลังชีวิตไปเหล่านี้เรียกได้ว่าเป็นอาหารบำรุงอย่างดีเลยทีเดียว
“แล้วแกล่ะเป็นใคร?”
เยี่ยเทียนพูดเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันอย่างชัดเจน แต่ก็ยังไม่ได้ลงมือโจมตีชายชราที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ เพราะเขาสัมผัสได้ว่า บนร่างของชายคนนี้มีพลังงานพิสดารบางอย่างอยู่ ไม่ได้อ่อนแออย่างที่เห็นจากภายนอกเลย
“แกไม่รู้จักฉันเรอะ? ฉันชื่อเคิร์ท เป็นคนของท่านดยุกแดร็กคูล่า!”
เคิร์ทมีสีหน้าประหลาดใจ เขาติดตามท่านดยุกแดร็กคูล่ามาหนึ่งร้อยกว่าปีแล้ว กลุ่มผู้มีอิทธิพลด้านมืดในทวีปยุโรปแทบทั้งหมดต่างก็รู้จักเขากันทั้งนั้น แต่ดูจากสีหน้าของเยี่ยเทียนแล้วเห็นได้ชัดว่าไม่รู้จักเขาเลย และก็ดูไม่เหมือนกับเสแสร้งด้วย
“ดยุกแดร็กคูล่า? นี่แกนึกว่าตัวเองเล่นเป็นผีดูดเลือดอยู่รึไง?”
เยี่ยเทียนได้ยินคำตอบแล้วอึ้งไป จากนั้นก็เหยียดมุมปาก เขาจำได้ว่า ตัวเองเหมือนจะเคยได้ยินชื่อแบบนี้มาก่อนจากในหนังสยองขวัญเรื่องไหนสักเรื่อง โดยเฉพาะที่ชื่อแดร็กคูล่านั่น เหมือนจะเป็นผีดูดเลือดที่แข็งแกร่งมากเลยทีเดียว
“แวมไพร์ต่างหากล่ะ อย่าเรียกผีดูดเลือดสิ!”
พอได้ยินเยี่ยเทียนพูดอย่างนั้น สีหน้าของเคิร์ทก็ขรึมลง ท่าทางฝ่ายนั้นจะไม่ใช่คนของสภาแห่งความมืดจริงๆ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มีทางกล้าใช้คำพูดแบบนี้ต่อหน้าแวมไพร์ที่มีศักดิ์เป็นถึงท่านเคานต์แบบนี้เด็ดขาด เพราะนั่นถือว่าเป็นการท้าทายต่อแวมไพร์ทั้งเผ่าพันธุ์เลยทีเดียว
“ช่างมันเถอะน่ะ เห็นฉันเป็นเด็กสามขวบรึไง?” เยี่ยเทียนสีหน้าเย็นชา “ไม่ว่าแกจะเป็นใคร ก็จงทิ้งชีวิตไว้ที่นี่เสียเถอะ!”
แม้ว่าคนจีนจะชอบกล่าวกันอยู่บ่อยๆ ว่า ผู้ทรงศีลพึงมีความเมตตากรุณา แต่หลี่ซั่นหยวนผู้เป็นอาจารย์ของเยี่ยเทียนกลับสั่งสอนเขามาตั้งแต่เด็กว่า พวกที่ไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวกันกับเรานั้นย่อมมีจิตใจที่ผิดแผกแตกต่าง บรรพบุรุษของชาวต่างชาติพวกนั้น มันก็น่าฆ่าให้ตายกันหมดทุกคนนั่นแหละ ดังนั้นตอนที่เยี่ยเทียนเข่นฆ่าชาวรัสเซียที่ในอดีตเคยเข้าร่วมกองทัพพันธมิตรแปดชาติไปนั้น ในใจจึงไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย
ส่วนพวกชาวอังกฤษนั้นก็ไม่ได้เป็นคนดีอะไรเช่นกัน ตามที่ศิษย์พี่หนานได้กล่าวไว้ คัมภีร์ภาพดันหลังสองฉบับนั้นก็ถูกซ่อนอยู่ในพิพิธภัณฑ์บริติชนั่นเอง ดังนั้นแม้ว่าเคิร์ทผู้นี้จะเป็นชาวต่างชาติที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เยี่ยเทียนเคยพบเจอมา เขาก็ยังเกิดพลังจิตสังหารขึ้นมาอยู่ดี
เยี่ยเทียนตั้งจิตขึ้นมา มือขวาวาดเป็นเส้นโค้ง ตั้งค่ายกลรวมพิฆาต
หลังจากเข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว เยี่ยเทียนก็สามารถเชื่อมโยงกับปราณวิเศษแห่งฟ้าดินได้อย่างสมใจนึกมากขึ้น จึงสามารถวาดยันต์หรือวางค่ายกลกลางอากาศได้อย่างคล่องแคล่วชำนาญยิ่งกว่าเดิม เมื่อพบกับศัตรูที่ต่อกรได้ยาก จึงเลือกนำวิชาที่ตนเชี่ยวชาญที่สุดออกมาใช้โดยไม่รู้ตัว
ปราณวิเศษสายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศอย่างเลือนราง เกิดแรงดึงดูดอันมหาศาลขึ้น บนร่างของศพที่รายล้อมอยู่รอบด้านก็มีกระแสพลังพิฆาตสีเทากลุ่มหนึ่งลอยขึ้นมา แล้วลอยเข้าสู่ค่ายกลรวมพิฆาตทีละน้อยๆ
พวกที่ตายไปด้วยน้ำมือของเยี่ยเทียนนี้ ล้วนเป็นสมาชิกที่มีฝีมือระดับสูงที่สุดในค่ายมวยใต้ดิน แต่พวกเขายังไม่ทันได้แสดงฝีมือจากการฝึกหนักเหมือนปีศาจในนรกตลอดหลายปีบนสังเวียนมวยใต้ดิน ก็กลับมาถูกเยี่ยเทียนหักคอตายเสียก่อน ภายในใจจึงมีความคับแค้นอยู่อย่างเหลือล้น
ราชามวยใต้ดินในอนาคตเหล่านี้ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ต่างก็มีเลือดลมที่เปี่ยมพลัง แม้จะมีเพียงสิบสองคน แต่กลับเหมือนดั่งหมื่นภูตผีร่ำร้อง ทำให้อุณหภูมิโดยรอบลดฮวบลงไปในทันที สายลมเย็นเยียบพัดผ่านเป็นระลอก จนทำให้ที่นี่ดูราวกับเป็นแดนนรกก็ไม่ปาน
กระแสพลังพิฆาตที่ก่อขึ้นจากพลังปราณชีวิตเหล่านี้พุ่งกระแทกไปมาอยู่ในค่ายกล พยายามจะดิ้นรนหลุดออกจากพันธนาการ แต่เมื่อเยี่ยเทียนร่ายอาคมซ้ำลงไปอีก พลังเหล่านี้จึงถูกกักไว้ภายในอย่างแน่นหนา และเคลื่อนไหวอย่างคลุ้มคลั่งยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“ไป!”
เยี่ยเทียนตาเป็นประกายเย็นวาบ มือพลันขยับท่าเปลี่ยนตำแหน่ง กระแสพลังพิฆาตเหล่านั้นรวมตัวเข้าด้วยกันทันที แล้วก่อขึ้นเป็นรูปกะโหลกศีรษะขนาดยักษ์ ช่องปากใหญ่อันดำมืดนั้นมุ่งหน้าเข้าไปหาเคิร์ท
เมื่อประกอบกับเสียงร้องโหยหวนอันแสนจะสะเทือนขวัญในค่ายกลนั้นแล้ว เยี่ยเทียนเชื่อว่า ต่อให้เป็นศิษย์น้องของติงหงที่เคยเจอบนภูเขาฉางไป๋ซาน เขาก็คงจะสามารถต่อสู้ได้อย่างสูสีแล้ว
“วิชาอาคม? แกเป็นคนตะวันออกรึ?”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนร่ายอาคมตั้งค่ายกล เคิร์ทก็ตกตะลึงไปทันที จากนั้นดวงตาก็ฉายความรู้สึกบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้ออกมา นั่นเป็นสีหน้าของผู้ที่กำลังรู้สึกยินดีปรีดา แต่ก็แฝงไว้ด้วยความพรั่นพรึงเช่นกัน
ในอดีตเมื่อครั้งที่กองทัพพันธมิตรแปดชาติก่อหายนะขึ้นในประเทศจีน คนของโลกด้านมืดทางฝ่ายตะวันตกก็เคยปะปนอยู่ในกองทัพเหล่านั้นด้วยเช่นกัน เพียงแต่ว่าการเดินทางสู่ตะวันออกของคนเหล่านี้กลับไม่ได้ราบรื่นเหมือนอย่างประเทศของตน
ตอนนั้นมีคนของโลกด้านมืดทั้งหมดสองร้อยกว่าคนเดินทางมุ่งสู่ประเทศจีน แต่สุดท้ายจำนวนผู้ที่รอดชีวิตกลับมากลับเหลืออยู่เพียงสามสิบกว่าคน และสิ่งที่ทั้งสามสิบกว่าคนนี้ทำเป็นอย่างแรกหลังจากกลับมาก็คือ เตือนรุ่นลูกรุ่นหลานในตระกูลว่า อย่าได้เดินทางไปยังประเทศทางตะวันออกแห่งนั้นเป็นอันขาด
ในสมัยนั้นเคิร์ทยังมีศักดิ์เป็นเพียงไวเคานต์ จึงไม่มีคุณสมบัติพอที่จะติดตามแดร็กคูล่าผู้เป็นเจ้านายในปัจจุบัน หลังจากที่แดร็กคูล่ากลับอังกฤษไปแล้ว ก็ได้เลื่อนระดับศักดิ์จากชั้นมาร์ควิส กลายเป็นดยุกเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลแดร็กคูล่า
ในฐานะที่เป็นสาวกรับใช้ผู้ได้รับการประทานจุมพิตจากแดร็กคูล่า เคิร์ทจึงรู้ดีว่า สาเหตุที่เจ้านายสามารถเลื่อนระดับขึ้นจนเป็นดยุกได้นั้น เป็นเพราะได้ดูดเลือดของผู้บำเพ็ญพรตชาวตะวันออกผู้หนึ่ง และพลังวิเศษที่แฝงอยู่ในเลือดนั้นนั่นเอง ที่เป็นกุญแจสำคัญในการเลื่อนขั้นของแดร็กคูล่า
แต่เคิร์ทยังเข้าใจในความน่าสะพรึงกลัวของผู้บำเพ็ญพรตชาวตะวันออกยิ่งกว่านั้นอีก เพราะผู้อาวุโสท่านหนึ่งในตระกูลแดร็กคูล่าซึ่งกำลังจะได้เลื่อนขั้นเป็นดยุกอยู่แล้วนั้น กลับต้องเสียชีวิตไปในการเดินทางสู่ตะวันออกครั้งนี้ ผู้อาวุโสท่านนั้นเป็นถึงผู้ปกครองสูงสุดของโลกด้านมืดทางตะวันตก หลังจากท่านเสียชีวิตไป สภาแห่งความมืดจึงตกอยู่ท่ามกลางกลียุคเป็นเวลานาน
เคิร์ทรู้ขีดความสามารถของตัวเองอยู่ เขาจึงรู้ดีว่า แม้ว่าตอนนี้เขาจะมีศักดิ์ถึงระดับเคานต์แล้ว แต่หากไปอยู่ต่อหน้าอดีตผู้ปกครองท่านนั้น ก็คงจะเปรียบได้เพียงมดแมลงตัวหนึ่ง ดังนั้นตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ เขาจึงไม่กล้าก้าวเข้าสู่ประเทศแถบตะวันออกแห่งนั้นเลยแม้แต่ก้าวเดียว