ตอนที่ 767 ชักนำเภทภัย
“ที่นี่เองหรอกหรือ?”
เยี่ยเทียนยื่นมือไปหยิบแผนที่ฉบับหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเป้ หลังจากส่งจิตสัมผัสออกไปสำรวจบริเวณนั้นได้รอบหนึ่ง เขาก็กระจ่างขึ้นมาทันที สาเหตุที่เขารู้สึกคุ้นเคยกับที่นี่ก็เป็นเพราะว่า เขาเคยเห็นลักษณะที่ตั้งทางภูมิศาสตร์อันแปลกพิสดารของที่นี่ในแผนที่มาก่อนแล้ว
ฝั่งตรงข้ามของหุบเขาที่เยี่ยเทียนกำลังพักอยู่นี้ ยังมีหุบเขาลักษณะเดียวกันอยู่อีกแห่งหนึ่ง หุบเขาทั้งสองแห่งนี้เชื่อมต่อกันเป็นรูปเกือกม้า และหากแปลชื่อสถานที่ซึ่งระบุไว้บนแผนที่นั้นออกมา ก็จะได้ชื่อตามความหมายว่า หุบเขาเกือกม้า
ที่นี่ยังอยู่ไกลจากเหมืองทองที่เฉินสี่ฉวนต้องการจะไปขุดหาแร่อีกห้าสิบกว่ากิโลเมตร ที่นั่นอยู่ใกล้กับสาธารณรัฐซาฮาอย่างยิ่ง และยังตั้งอยู่ในส่วนลึกของเทือกเขาอีกด้วย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้ทุนในการทำเหมืองเป็นจำนวนมหาศาล
“ไม่รู้ติงหงจะอยู่ที่นั่นรึเปล่านะ?”
เยี่ยเทียนเงยหน้าขึ้น แล้วทอดสายตาออกไปยังทิศทางหนึ่ง พลังฝีมือของเขาเพิ่งจะเข้าสู่ระดับเซียนเทียน แม้ว่าดวงจิตจะแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนหลายร้อยเท่า แต่ก็ไม่สามารถสืบดูสถานการณ์ในสถานที่ที่อยู่ห่างไกลถึงห้าสิบกว่ากิโลเมตรได้
สืบเนื่องจากเมื่อครั้งที่เคยช่วยเหลือมังกรดำในการสังหารนักพรตรูปนั้น เยี่ยเทียนจึงรู้สึกยำเกรงต่อติงหงมาตลอด แต่เมื่อเห็นว่าติงหงให้ความสำคัญแก่เหมืองทองแห่งนั้นมาก เยี่ยเทียนจึงอดรู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาไม่ได้
“ภูมิประเทศที่นี่รกร้างห่างไกล ถ้าเจ้าติงหงนั่นเกิดมีเจตนาร้ายขึ้นมา เราก็คงหนีการตามฆ่าของมันไม่พ้นหรอก”
ตอนที่ได้พบกับติงหงครั้งแรกนั้น เยี่ยเทียนก็รู้สึกถึงความประสงค์ร้ายที่อยู่ในใจของอีกฝ่ายได้อย่างรางๆ แล้ว เพียงแต่ว่าตอนนั้นกำลังอยู่ต่อหน้าสาธารณชน ฝ่ายนั้นจึงไม่ได้ลงมือเคลื่อนไหวใดๆ
แต่ที่นี่อยู่ห่างไกลจากเขตการปกครอง อย่าว่าแต่แค่เยี่ยเทียนตายไปคนเดียวเลย ต่อให้โยนคนลงเหวไปสักพันคน ก็คงจะไม่เป็นข่าวอะไรขึ้นมาอยู่ดี พอศพเน่าเปื่ยย่อยสลายไปหมดแล้วก็จะไม่มีใครหาพบอีก
นอกจากนี้ยังมีเหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่ง ซึ่งก็คือความหวงสมบัตินั่นเอง ถ้าในเหมืองทองนั่นมีสมบัติอะไรอยู่จริงๆ ติงหงอาจจะกักเขาไว้ที่นั่นตลอดไปเลยก็ได้ เพื่อไม่ให้ข่าวแพร่ออกไปข้างนอก
ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงออกจะรู้สึกสับสนอยู่ เขาทั้งอยากรู้ว่า ในเหมืองทองนั่นมีสมบัติอะไรกันแน่ แต่ก็กลัวด้วยว่าติงหงจะมีอุบายอะไรอยู่ในใจ ขณะนั้นจึงเกิดความลังเลขึ้นมา
“จริงสิ ทำไมไม่เห็นมีทหารพวกนั้นสักคนเลยล่ะ?”
เยี่ยเทียนพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาได้ เขาอาจจะจัดการกับติงหงไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าฝ่ายกองทัพของรัสเซียจะทำไม่ได้ จรวดอันทรงอานุภาพเหล่านั้น แม้แต่เทพเซียนผู้วิเศษก็ยังต้องถอยหนีเลยนี่
เยี่ยเทียนไม่ได้หวังว่ากองทัพจะกำจัดติงหงได้ ขอเพียงสามารถบีบมันออกจากเหมืองทองได้ เท่านี้เขาก็จะได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์แล้ว จะว่าไปเหมืองทองนั่นก็มีเขาเป็นหุ้นส่วนอยู่ตั้งแต่แรกแล้วด้วย
เมื่อคิดได้ดังนั้น เยี่ยเทียนก็แผ่ไอหมอกสีขาวออกมาจากร่าง ไอหมอกนั้นปกคลุมและพาร่างของเขาเหาะทะยานขึ้นสู่ฟ้า ทิศทางที่มุ่งหน้าไปนั้น กลับกลายเป็นเส้นทางเดิมที่เขาเดินทางจากมา
……
“ผู้การครับ ทำไมถึงสั่งให้ทีมค้นหาในภูเขาทั้งหมดถอนกำลังออกมาล่ะครับ?” ในหน่วยบัญชาการชั่วคราวของค่ายฝึก วิคเตอร์กำลังมองไปที่กินเนสส์ด้วยสีหน้าไม่พอใจ
ตั้งแต่กินเนสส์มาถึง พวกวิคเตอร์ก็รู้สึกว่าคำสั่งแต่ละอย่างของเขาช่างไม่เข้าท่าเอาเสียเลย ทั้งที่เมื่อวานก็ค้นพบร่องรอยของศัตรูแล้วแท้ๆ แต่กินเนสส์กลับสั่งให้ทีมค้นหาทั้งหมดถอนกำลังไปเสียนี่!
“อีกสิบนาทีเครื่องบินสอดแนมไร้นักบินก็จะออกไปลาดตระเวนแล้ว และดาวเทียมทั้งหมดในเครือข่ายก็อยู่ในการควบคุมของผมแล้วด้วย ถ้าเจ้าคนนั้นมันโผล่หัวออกมาอีกเมื่อไร เราก็จะกำหนดตำแหน่งของมันได้ทันที”
กินเนสส์ถอนหายใจ แล้วพูดต่อไปว่า “ผมตัดสินใจว่าจะใช้อาวุธโจมตีระยะไกลในการจู่โจมมัน ทหารของเราบาดเจ็บล้มตายไปมากพอแล้ว!”
การสู้รบที่เกิดขึ้นในป่าทึบเมื่อคืนวานดำเนินไปเพียงราวๆ หนึ่งชั่วโมง แต่หน่วยพลร่มกลับมีผู้บาดเจ็บล้มตายมากถึงหกร้อยกว่าคน หรือถ้าจะกล่าวให้ชัดๆ ก็คือเสียชีวิตไปแล้วหกร้อยกว่าคน เพราะไม่มีคนไหนเลยที่รอดชีวิตหลังจากได้รับบาดเจ็บ
ทั้งหมดนี้รวมๆ แล้วเป็นกองกำลังจำนวนมากถึงสองกองพันเลยทีเดียว แม้แต่ในยุทธการอันโหดร้ายที่กรุง มอสโควสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ก็ยังมีน้อยนักที่จะเกิดเหตุการณ์ที่ทหารเสียชีวิตไปทั้งหน่วยแบบนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยุคปัจจุบันซึ่งเป็นยุคสมัยที่สงบสุขแล้ว
ดังนั้นหลังจากรายงานสถานการณ์ขึ้นไปแล้ว กินเนสส์จึงได้รับความกดดันอย่างมหาศาล การตำหนิจากประธานาธิบดีและรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมนั้น ทำให้เขาจำเป็นต้องเรียกหน่วยพลร่มกลับไป ไม่อย่างนั้นแล้ว เจ้าศัตรูปีศาจนั่นจะทำเรื่องบ้าคลั่งอะไรออกมาอีกบ้างก็ไม่รู้
การบาดเจ็บล้มตายของกองทัพนั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความกดดันที่กินเนสส์ได้รับ เรื่องที่ราชามวยใต้ดินในอนาคตที่เสียชีวิตไปเมื่อวานหมดทั้งสิบสองคนก็ทำให้กินเนสส์กลุ้มใจเหมือนกัน
นักมวยใต้ดินที่ประสบความสำเร็จแต่ละคน ต่างก็มีกลุ่มผลประโยชน์ที่มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลังกันทั้งนั้น ซึ่งในบรรดาคนเหล่านี้นอกจากจะมีเจ้าพ่อมาเฟีย อภิมหาเศรษฐีในแต่ละประเทศแล้ว ยังมีคนใหญ่คนโตของรัสเซียอีกมากมายหลายคนอีกด้วย
อย่างเจ้าพ่อน้ำมันที่ซื้อทีมฟุตบอลพรีเมียร์ลีกทีมหนึ่งไปนั้น ก็เป็นเถ้าแก่ที่คอยคุมอยู่เบื้องหลังค่ายมวยใต้ดินด้วยเช่นกัน เมื่อนักมวยแถวหน้าในสังกัดของเขาเสียชีวิตไปหมดทั้งสิบสองคน เขาจึงแสดงความไม่พอใจมาทางกินเนสส์ อย่างอ้อมๆ
ความกดดันต่างๆ นี้ทำให้กินเนสส์จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงยุทธศาสตร์ โดยอันดับแรกคือเรียกหน่วยพลร่มกลับมาก่อน เพื่อไม่ให้มีการบาดเจ็บล้มตายไปมากกว่านี้
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ากินเนสส์จะล้มเลิกการไล่ล่าเยี่ยเทียน หลังจากที่รายงานต่อประธานาธิบดีแล้ว เขาก็เปิดใช้ระบบควบคุมดาวเทียมสอดแนมของรัสเซียซึ่งยังไม่ค่อยประสบความสำเร็จในการพัฒนานัก
นอกจากนี้ กินเนสส์ได้ส่งเครื่องบินสอดแนมไร้นักบินออกไปอีกหลายร้อยลำ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดภายในรัศมีห้าสิบกิโลเมตรนี้จึงไม่มีทางรอดพ้นการสังเกตการณ์โดยเทคโนโลยีสมัยใหม่เหล่านี้ไปได้แน่ๆ
“ไม่รู้ว่าทำไมท่านประธานาธิบดีถึงยังไม่ยอมส่งกองกำลังมนุษย์หมาป่ามาอีกนะ?”
หลังจากส่งวิคเตอร์และนายพลคนอื่นๆ ออกไปแล้ว กินเนสส์ก็มานั่งครุ่นคิดอยู่หน้าแผนที่ ในฐานะที่เป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของประธานาธิบดีอดีตหน่วยข่าวกรองท่านนั้นโดยตรง กินเนสส์จึงรู้เรื่องบางอย่างมากกว่าคนทั่วไปมากมายนัก
กินเนสส์รู้ว่า รัสเซียมีกองกำลังลึกลับอยู่กลุ่มหนึ่ง เพียงแต่ว่ากองกำลังนั้นลึกลับเสียจนแม้แต่กินเนสส์เองก็ยังเคยได้ยินแต่ชื่อเท่านั้น โดยที่ไม่รู้เกี่ยวกับโครงสร้างและอานุภาพของกองกำลังนี้เลย
“ผู้การครับ พบร่องรอยของศัตรูแล้วครับ!”
ขณะที่ผู้การกำลังครุ่นคิด เจ้าหน้าที่กองทัพนายหนึ่งก็ตะโกนขึ้นมา บนจอของอุปกรณ์ที่ติดตั้งไว้ในห้องเป็นการชั่วคราวนั้น ปรากฏร่างของคนผู้หนึ่งขึ้น
กินเนสส์ไม่ขบคิดถึงเรื่องอื่นอีกแล้ว กระโดดลุกขึ้นมาจากเก้าอี้อย่างรวดเร็วราวกับเสือชีตาห์ คว้าวิทยุสื่อสารขึ้นมาตะโกนว่า “นี่คือคำสั่ง กองพลทหารปืนใหญ่จงรวบรวมอาวุธ แล้วไปเฝ้าประจำที่เขตพื้นที่หมายเลขสาม!”
“นี่มันเครื่องบินสอดแนมไร้นักบินนี่นา ฝ่ายนั้นเริ่มฉลาดขึ้นมาแล้วนี่!”
หลังจากเยี่ยเทียนเดินทางไปได้สิบกว่ากิโลเมตร เขาก็ปรากฏกายออกมา ขณะเดียวกันเขาก็พบว่า บนเครื่องบินขนาดเล็กที่อยู่บนท้องฟ้าแต่ละลำนั้นไม่ได้มีร่องรอยของนักบินเลย ที่แท้ก็เป็นเครื่องบินชนิดไร้คนขับนี่เอง
“แปลกจริง ฝ่ายนั้นไม่คิดจะส่งคนมาอีกแล้วรึไงนะ?!”
หลังจากเยี่ยเทียนส่งสัญญาณมือที่หมายถึงการด่าแม่ของฝ่ายตรงข้ามให้เครื่องบินสอดแนมเหล่านั้นแล้ว ทันใดนั้นเขากลับรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาตามแนวกระดูกสันหลัง และเหมือนจะได้ยินเสียงหวีดของลูกกระสุนปืนใหญ่ดังมาจากตำแหน่งที่ห่างไปสิบกว่ากิโลเมตร
“บัดซบ เล่นสกปรกนี่หว่า!”
เยี่ยเทียนไม่สนใจจะยั่วเย้าเครื่องบินสอดแนมไร้นักบินที่อยู่บนฟ้าอีกต่อไปแล้ว เท้าขวากระทืบลงพื้นอย่างแรง รองเท้าที่ทำจากหนังวัวของเขาปริขาดไปทันที ร่างกระโจนไปข้างหน้าราวกับกระสุนปืนใหญ่ และเห็นเป็นเงากลางอากาศ
หลังจากที่เยี่ยเทียนกระโจนร่างออกไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบินสอดแนมที่อยู่บนฟ้า หรือดาวเทียมสอดแนมที่อยู่นอกโลก ต่างก็ไม่อาจจับร่องรอยของเยี่ยเทียนได้อีก
แทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่ร่างของเยี่ยเทียนกระโจนออกไป กระสุนปืนใหญ่ที่พุ่งมาพร้อมเสียงหวีดหวิวก็ตกลงไปบนตำแหน่งที่เขาเพิ่งจะยืนอยู่เมื่อครู่ เสียงระเบิดดังกระหึ่ม ดินฟุ้งกระเด็น ต้นไม้หักโค่น ควันลอยขโมงขึ้นสู่ฟ้า
ปืนใหญ่กระหน่ำยิงอย่างต่อเนื่องไปห้านาทีกว่าๆ หลังจากเสียงระเบิดเงียบลง พื้นดินบริเวณนั้นก็ไม่เหลือส่วนไหนที่ยังสมบูรณ์อยู่อีก พื้นที่ในรัศมีสามกิโลเมตรนั้นถูกกระสุนปืนใหญ่ทำลายจนราบเรียบ
“ทีนี้มันคงจะตายแล้วสินะ?”
เมื่อเห็นภาพผ่านทางดาวเทียมสอดแนม กินเนสส์ก็เอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างโล่งอก การกระหน่ำโจมตีด้วยปืนใหญ่เมื่อครู่นี้ครอบคลุมทั่วพื้นที่ในรัศมีสามกิโลเมตรนั้น โดยยิงลงไปแทบจะพร้อมกันทุกจุด
กินเนสส์จึงมีเหตุผลที่จะเชื่อว่า ต่อให้เป็นนกตัวหนึ่ง ก็คงไม่สามารถหนีออกจากอาณาเขตนี้ภายในเวลาเพียงสิบกว่าวินาทีได้แน่ๆ เพราะนั่นเป็นเรื่องที่ไม่มีทางจะเป็นไปได้เลย
กินเนสส์โบกมืออย่างเหนื่อยล้า แล้วสั่งการว่า “ส่งกองกำลังออกไปดำเนินการค้นหาในบริเวณนั้น ต่อให้เหลือเศษเนื้ออยู่แค่ก้อนเดียว ก็ต้องนำมันกลับมาด้วย!”
คำสั่งของกินเนสส์เพิ่งจะประกาศลงไป เจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างหลังก็กลับพูดขึ้นเสียงสั่นระริก “ผู้…ผู้การครับ มัน…มันยังไม่ตาย!”
“ยังไม่ตายรึ?”
กินเนสส์มองไปตามเสียง เมื่อเห็นภาพบนจอนั้น เขาก็รู้สึกแน่นที่หน้าอกขึ้นมาทันที จนในปากได้รสหวาน เลือดกระอักขึ้นมาถึงคอหอย
บนจอภาพนั้น เยี่ยเทียนซึ่งมีรูปลักษณ์ ‘ละม้ายคล้ายคลึง’ กับรูดอล์ฟกำลังวาดนิ้วชี้สื่อสารบางอย่างขึ้นสู่ท้องฟ้า แม้จะมองไม่เห็นรูปปากของเขา แต่กินเนสส์เชื่อว่า เยี่ยเทียนคงจะกำลังส่งคำทักทายไปถึงญาติๆ เพศแม่ของตนอยู่แน่ๆ
ที่จริงเยี่ยเทียนก็อยากจะปลอมตัวเป็นเคิร์ทอยู่เหมือนกัน แต่เจ้าหมอนั่นรูปร่างเตี้ยเล็กเกินไป ถ้าจะใช้วิชาย่อกระดูก เยี่ยเทียนก็จะต้องเสียปราณแท้ไปปริมาณมาก ดังนั้นจึงได้แต่ให้รูดอล์ฟรับบทแพะรับบาปต่อไป
ในที่สุดกินเนสส์ก็ไม่อาจกลั้นเลือดไว้ในปากได้อีก เขาพ่นมันออกมาแล้วตวาดเสียงดัง “คอยรายงานตำแหน่ง ส่งเครื่องบินรบออกไป ต้องกำจัดมันให้ได้!”
กินเนสส์ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า จะมีคนที่เคลื่อนไหวได้รวดเร็วถึงขนาดหลบกระสุนปืนใหญ่ทัน แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ เพราะรัสเซียยังมีกองทัพอากาศที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกอยู่
“เวรละสิ ต้องหนีแล้วเรา!”
ขณะเดียวกับที่กินเนสส์สั่งการลงไป เยี่ยเทียนก็รู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาอย่างไม่อาจข่มกลั้น ยามนั้นจึงอำพรางร่างกาย แล้วเร่งรุดไปทางตำแหน่งที่ตั้งของเหมืองทองทันที ในใจเขารู้ดีว่า เมื่อชักนำเภทภัยไปทางอื่นแล้ว ตนก็จะรอดพ้นไปได้
ระยะทางห้าสิบกว่ากิโลเมตรสำหรับเยี่ยเทียนและเครื่องบินรบสิบกว่าลำนั้นแล้ว ถือว่าเป็นระยะทางที่ใกล้เพียงชั่วพริบตา แต่หลังจากที่ไปถึงเหมืองทองแห่งนั้น เงาร่างของเยี่ยเทียนก็กลับอันตรธานหายไป
“ท่านเซียนติง ท่านคิดเสียว่าไม่ได้เห็นผมก็แล้วกันนะ!”
ลึกลงไปสี่ห้าเมตรใต้ชั้นดินเยือกแข็งที่แข็งจนเหมือนก้อนหินนั้น การหายใจของเยี่ยเทียนได้หยุดลงแล้ว รอบกายของเขาตั้งค่ายกลซึ่งมีอานุภาพในการปกปิดพลังลมปราณของเขาไว้สามค่ายกลด้วยกัน
เยี่ยเทียนรู้สึกหวาดเกรงติงหงมากกว่าพวกทหารและเครื่องบินที่กำลังรุมกันไล่ล่าเขาอยู่นี้หลายเท่านัก เมื่อเข้าไปใกล้เหมืองทองในระยะสิบกว่ากิโลเมตรแล้ว เขาจึงลงไปใต้ดินและตั้งค่ายกลเช่นนั้นขึ้นทันทีที่รู้สึกได้ถึงพลังลมปราณของติงหง
แต่เยี่ยเทียนรู้ว่า ติงหงก็น่าจะพบแล้วว่าเขาอยู่ที่นี่ จึงได้แต่หวังว่า เครื่องบินบนท้องฟ้าจะสามารถเบี่ยงเบนความสนใจของติงหงไปจากเขาได้