“หนูน้อย เธอแน่ใจนะว่าจะไปกับฉัน?”
เมื่อได้ยินเด็กหญิงถามขึ้น เยี่ยเทียนก็หยุดฝีเท้า เขาเพิ่งจะรู้สึกถึงจิตประสงค์ร้ายที่เด็กหญิงมีต่อเขาได้อย่างชัดเจน ส่วนเขาเองก็ได้ส่งคำเตือนไปให้เด็กหญิงแล้วเช่นกัน แต่เยี่ยเทียนไม่นึกเลยว่า เด็กหญิงยังจะกล้ามาตอแยกับเขาอีก
เยี่ยเทียนไม่ได้เป็นศาสนิกชนผู้เปี่ยมศรัทธาอะไร เขาต่อสู้ฝ่าเนินศพทะเลเลือดมาจนถึงตอนนี้ จำนวนคนที่ตายไปด้วยน้ำมือของเขานั้น เทียบกับจำนวนเหยื่อของแม่ทัพใหญ่ผู้กรำศึกสมัยโบราณแล้วก็ไม่ได้น้อยไปกว่ากันเลย ถ้าเห็นว่าเด็กหญิงคิดจะเล่นตุกติกทำร้ายเขาอย่างโจ่งแจ้งเมื่อไรละก็ เยี่ยเทียนก็จะกำจัดเธอเสียเดี๋ยวนั้นเลย
“อื้ม หนูจะไปด้วยค่ะ”
แม้ว่าในดวงตาของเด็กหญิงจะเปี่ยมด้วยความหวาดหวั่น แต่น้ำเสียงกลับหนักแน่นอย่างยิ่ง เธอเงยหน้าขึ้นมาลอบชำเลืองมองเยี่ยเทียนแวบหนึ่ง แล้วพูดเสียงค่อยว่า “คุณเป็นคนที่ร้ายกาจที่สุดเท่าที่หนูเลยเจอมาเลย หนูจะต้องตามไปกับคุณให้ได้เลยค่ะ!”
ลึกๆ ในใจของเด็กหญิง มีเสียงหนึ่งเฝ้าร่ำร้องไม่หยุดว่า ให้เธอติดตามเยี่ยเทียนไป เจียงซานรู้ว่า สัญชาตญาณของเธอไม่เคยผิดพลาดมาก่อนเลย ในเมื่อจิตใจส่วนลึกของเธอมีความปรารถนาเช่นนั้น นั่นก็จะต้องเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดแล้วอย่างแน่นอน
“ถ้าตามฉันมาอาจจะมีคนตายนะ รวมถึงตัวเธอเองด้วยนั่นแหละ!”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า แล้วหันกายเดินไปยังเขตที่อยู่อาศัยของคนงานเหมือง แม้ว่าเด็กหญิงคนนี้จะมีความสามารถพิเศษเหนือมนุษย์บางอย่างอยู่ แต่เยี่ยเทียนก็ยังไม่เห็นเธออยู่ในสายตาอยู่ดี แม้กระทั่งความสนใจที่จะประมือกับเธอก็แทบไม่มีอยู่เลย
“คุณ…คุณดูถูกหนูหรือคะ? หนูน่ะร้ายกาจมากเลยนะ!”
เจียงซานนึกไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนจะสะบัดหน้าจากไปทั้งอย่างนั้น หลังจากยืนอึ้งอยู่ที่เดิมไปครู่หนึ่งแล้วก็รีบไล่ตามไป ถึงเธอจะรู้อยู่ว่า ในเหมืองแห่งนี้มีคนอย่างน้อยๆ ก็หลายสิบคนที่ต้องการชีวิตของเยี่ยเทียน แต่ไม่รู้เพราะอะไร เจียงซานจึงมีความรู้สึกว่า มีแต่ต้องตามอยู่ใกล้ๆ เยี่ยเทียนเท่านั้นถึงจะปลอดภัยที่สุด
“นี่หนู งั้นไหนลองบอกมาซิว่าเธอร้ายกาจตรงไหน?”
เมื่อเห็นเด็กหญิงไล่ตามมา เยี่ยเทียนก็เดินช้าลง เขาเกิดจิตสังหารกับเด็กผู้หญิงตัวกระจ้อยแบบนี้ไม่ได้จริงๆ และเยี่ยเทียนเองก็รู้สึกสนใจเกี่ยวกับพลังงานที่ค่อนข้างจะประหลาดในร่างกายของเธออยู่บ้างเหมือนกัน
“หนูบอกได้ว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่”
เจียงซานยืดอกซึ่งยังไม่ได้เติบโตอย่างสมบูรณ์ แล้วพูดต่อ “หนูมีวิชาอ่านใจ ก็เลยรู้ความคิดของคุณได้ นอกจากนี้หนูยังดูดวงเสี่ยงทายเป็นด้วยละ คุณแม่ของหนูเป็นชาวยิปซีเชียวนะ!”
“วิชาอ่านใจ? ดูดวงเสี่ยงทาย”
เยี่ยเทียนฟังแล้วอดรู้สึกขบขันไม่ได้ สิ่งที่ชาวยิปซีเรียกกันว่าศาสตร์การเสี่ยงทายนั้น ในสายตาของเขาก็เป็นเพียงเรื่องตลกขบขันเรื่องหนึ่งเท่านั้นเอง นำมาวิจารณ์เปรียบเทียบร่วมกับศาสตร์ปากว้าในคัมภีร์โจวอี้ของเหวินอ๋องแห่งประเทศจีนได้ที่ไหนกัน เยี่ยเทียนคิดดูแล้วพูดขึ้นว่า “อย่างนั้นไหนเธอลองดูซิว่า ตอนนี้ฉันกำลังคิดอะไรอยู่ ถ้าตอบถูกฉันก็จะให้เธอตามมาด้วย!”
ระหว่างที่ปากกำลังพูดกับเด็กหญิง สีหน้าของเยี่ยเทียนไม่ได้เปลี่ยนไปเลย แต่ในแววตากลับมีรังสีอำมหิตเพิ่มขึ้นมา เนื่องจากเขาพบว่า เมื่อเขาเดินห่างออกไปเรื่อยๆ คนยี่สิบกว่าคนก็ล้อมเข้ามาอย่างเงียบๆ แต่ละคนพกพาอาวุธกันครบทุกคน
“คุณกำลังคิดว่า…”
เจียงซานเงยหน้าขึ้นมา มองไปที่ดวงตาของเยี่ยเทียนตามปกติ ขณะเดียวกันสมองก็เริ่มเพ่งสมาธิ แต่แล้วสีหน้าของเธอก็กลับขาวซีดลงผิดปกติ ร่างถอยหลังไปติดๆ กัน ที่มุมปากถึงขั้นมีเลือดไหลออกมาเป็นทาง
“เอ๋ ก็พอมีวิชาอยู่เหมือนกันนี่?”
แม้ว่าร่างของเด็กหญิงจะซวนเซล้มไปข้างหลัง แต่เยี่ยเทียนกลับตาลุกวาวขึ้นมา เพราะเมื่อครู่นี้เขารู้สึกได้ว่า มีพลังงานที่แสนจะพิสดารกลุ่มหนึ่งพุ่งจู่โจมมาที่สมองของเขา ถ้าไม่ใช่เพราะมีกระแสจิตโคจรอยู่รอบกาย พลังงานนั้นก็คงจะรุกล้ำเข้าไปในสมองแล้ว
เยี่ยเทียนก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ขณะที่กำลังจะปล่อยกระแสจิตออกไปสำรวจร่างกายของเด็กหญิง ร่างของเขาก็กลับพลันชะงักนิ่งไป “หนู อยู่ตรงนั้นไปก่อนนะ เดี๋ยวฉันค่อยมาทะเลาะกับเธอต่อ!”
พูดยังไม่ทันสิ้นเสียง ทันใดนั้นก็มีเสียงปืนดังขึ้นระลอกหนึ่ง ลูกกระสุนหลายสิบนัดพุ่งแหวกอากาศมาทางเยี่ยเทียนจากทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ทุกนัดต่างเล็งไปที่จุดสำคัญบนร่างของเยี่ยเทียนทั้งนั้น
ขณะที่เสียงปืนดังขึ้น ร่างของเยี่ยเทียนก็พลันบิดเบี้ยว แล้วอันตรธานหายไปจากที่เดิม กระสุนเหล่านั้นจึงพลาดจากเป้าหมายไปหมด เมื่อมองดูอีกที ร่างของเยี่ยเทียนก็ปรากฏขึ้นห่างจากตำแหน่งเดิมไปเจ็ดแปดเมตรแล้ว
“อยู่ตรงนั้น เก็บมันซะ!”
ตำแหน่งของเยี่ยเทียนตรงกับทางเข้าเขตที่อยู่อาศัยของพวกคนงานเหมืองพอดี ไปข้างหน้าอีกหน่อยก็จะถึงเพิงเตี้ยๆ หลังหนึ่งแล้ว แต่ยามนี้ภายในเพิงเหล่านั้นกลับเต็มไปด้วยจิตสังหาร ปืนกลเจ็ดแปดกระบอกเล็งมาที่ร่างของเยี่ยเทียนพร้อมๆ กัน
“เจียงซาน สกัดมันไว้!” ขณะเดียวกันนั้นเอง คำสั่งของเจอร์รีก็ส่งมาถึงหูของเจียงซาน
“ใครใช้ให้แกมาดูถูกฉัน?” หลังจากได้ยินเสียงจากหูฟัง เธอก็ขบริมฝีปาก ถึงเธอจะหมดความหวังที่จะสังหารเยี่ยเทียนได้ไปนานแล้ว แต่เธอกลับรวบรวมพลังจิตทั้งหมดที่ตัวเองมี แล้วจู่โจมไปยังเยี่ยเทียนซึ่งอยู่ห่างจากเธอไปเจ็ดแปดเมตร
“เอ๊ะ? นี่มันพลังอะไรกันเนี่ย?”
หลังจากที่เจียงซานปล่อยพลังจิตของเธอออกมา เยี่ยเทียนก็รู้สึกเกร็งไปทั้งร่างทันที ราวกับจมลงไปในหล่มโคลนก็ไม่ปาน จึงอดขมวดคิ้วไม่ได้ และแค่นเสียงดังเฮอะ “คลาย!”
หลังจากเยี่ยเทียนตวาดออกมา อากาศรอบตัวเขาก็เกิดระลอกคลื่น พลังจิตอันน่าสมเพชของเจียงซานกลุ่มนั้นคงตัวอยู่ได้ไม่ถึงหนึ่งวินาทีด้วยซ้ำ ก็ถูกสะเทือนจนสลายไปหมดไม่มีเหลือ ส่วนเจียงซานซึ่งยืนอยู่ตรงนั้นก็ถูกเสียงตวาดของเยี่ยเทียนโจมตี ร่างเล็กๆ นั้นอ่อนยวบลงไปกับพื้น ราวกับสูญเสียวิญญาณไปแล้วก็ไม่ปาน
ตั้งแต่เจียงซานเริ่มลงมือไปจนถึงตอนที่เยี่ยเทียนสลายพลังออกไป เป็นเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาทีด้วยซ้ำ แต่บรรดามือสังหารที่รายล้อมเยี่ยเทียนจากทุกด้านนั้น ต่างก็เป็นพวกมือเก่าที่กรำศึกมานาน ชั่วขณะที่เยี่ยเทียนนิ่งงันไปเพียงเล็กน้อย อาวุธอัตโนมัติที่อยู่ในมือของพวกนั้นก็ถักสานกันเป็นตาข่ายเพลิง กวาดตรงไปทางเยี่ยเทียน
แตกต่างจากทหารธรรมดาที่ใช้อาวุธเหมือนๆ กันเป็นมาตรฐาน มือสังหารเหล่านี้มักจะดัดแปลงอาวุธของตนตามความถนัด แม้แต่เยี่ยเทียนก็ยังเริ่มรู้สึกถึงอันตรายขึ้นมา หากกระสุนเหล่านั้นยิงถูกร่าง แม้จะไม่ถึงตาย แต่ก็คงไม่ใช่รสชาติที่ดีแน่นอน
กระสุนพุ่งออกจากกระบอกปืนไปเพียงเสี้ยววินาทีก็ไปถึงเป้าหมายแล้ว แต่ในสายตาของเยี่ยเทียน ช่วงเวลานี้กลับเชื่องช้าอย่างยิ่ง วิถีของห่ากระสุนที่กระหน่ำลงมาเต็มฟ้าเหล่านั้นฉายชัดอยู่ในห้วงสมองของเขา
“สลาย!” เยี่ยเทียนตวาดออกมาหนึ่งคำ ขณะเดียวกันก็อ้าปากเล็กน้อย ประกายแสงสีแดงสว่างวาบขึ้น ปกคลุมร่างของเยี่ยเทียนไว้ทั้งหมด
เสียง “เคร้งๆๆ” ดังขึ้นไม่ขาดหู กระสุนเหล่านั้นถูกประกายแสงสีแดงสลายจนกระจุย ทุกอย่างกลายเป็นเศษโลหะ แล้วปลิวตกลงไปบนพื้น ราวกับพื้นดินมีรัศมีสีทองเคลือบไว้ชั้นหนึ่ง
“นี่…นี่มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ?”
“มัน…มันยังเป็นคนอยู่รึเปล่า? กระสุนก็ฆ่าไม่ตายเรอะ?”
“พระเจ้าช่วย นี่มันเป็นศัตรูแบบไหนกันเนี่ย ไอ้เจอร์รีบัดซบ มิน่าล่ะมันถึงไม่ได้ส่งคนมา”
เมื่อมือสังหารทั้งสามกลุ่มที่ล้อมเยี่ยเทียนอยู่เห็นเหตุการณ์นี้ แววตาของเกือบทุกคนก็หม่นลงไปทันที คนที่สามารถหลบกระสุนได้ทันนั้นพวกเขาอาจจะเคยเห็นมาก่อน แต่แบบที่ยืนนิ่งอยู่กับที่ ทว่ากลับไม่ได้รับอันตรายใดๆ เลยนั้น นับว่าอยู่เกินกว่าขอบเขตความเข้าใจของพวกเขาจริงๆ
“ยิง ๆ กำจัดมันซะ!”
ผู้ที่จะสามารถสร้างชื่อเสียงในวงการมือสังหารนานาชาติได้นั้น ย่อมต้องไม่ใช่คนชั้นธรรมดาๆ อยู่แล้ว จึงสามารถคาดเดาเจตนาของเจอร์รีได้ในทันที แต่เมื่อมาถึงตอนนี้ พวกเขาก็มีเพียงทางเดียวคือพยายามกำจัดศัตรูอันน่าสะพรึงกลัวที่อยู่ตรงหน้านี้ให้ได้
ความสามารถอันเหนือมนุษย์ที่เยี่ยเทียนแสดงให้เห็นนั้น ก็เพียงแต่ทำให้มือสังหารที่เคยผ่านการฝึกมาเหล่านี้นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นเสียงปืนก็ดังกระหึ่มขึ้นมาอีกระลอก คราวนี้ไม่มีใครออมมืออีกเลย สาดกระสุนทั้งหมดในกระบอกปืนไปทางเยี่ยเทียนจนหมด
แต่สิ่งที่พวกเขาไม่อยากจะเชื่อเลยก็คือ หลังจากที่เสียงปืนหยุดลง เงาร่างที่ดูเหมือนจะค่อนข้างผอมและอ่อนแอนั้น กลับยังคงยืนอยู่ที่เดิม ประกายแสงสีแดงที่วนล้อมอยู่รอบกายนั้นช่วยย้อมให้คนผู้นั้นยิ่งดูลึกลับน่าพิศวง
“ได้รับแล้วไม่ตอบแทนย่อมเป็นการไร้มารยาท จะให้พวกแกได้ประจักษ์ฝีมือของผู้แซ่เยี่ยสักหน่อยก็แล้วกัน!”
เยี่ยเทียนตวาดออกมาเสียงเย็นเยียบแล้วตั้งจิต ประกายแสงสีแดงที่ปกคลุมอยู่รอบกายนั้นพุ่งออกไป ตรงเข้าสู่เขตเพิงที่อยู่อาศัยที่อยู่เบื้องหน้า จากนั้นเสียงร้องอย่างน่าสยดสยองก็ดังขึ้นมา ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ รอบด้านก็เงียบสงบลงทันที
“ไม่เห็นจะเก่งอย่างที่คนเขาว่ากันเลย โดนแค่ทีเดียวก็ไม่รอดแล้ว!”
บนใบหน้าของเยี่ยเทียนปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยัน การจู่โจมปานสายฟ้าของมีดสั้นอู๋เหินเมื่อครู่นี้ ได้เด็ดหัวของมือสังหารทั้งสิบเก้าคนที่กำลังซุ่มโจมตีเขาจากทั้งข้างหน้าและข้างหลังไปหมดแล้ว
ภายในเพิงนั้น บนศีรษะที่ยังไม่ร่วงหล่นลงไปของแต่ละคนต่างก็ยังมีสีหน้าเหลือเชื่อฉายชัดอยู่ กระทั่งร่างก็ยังคงยืนอยู่ในลักษณะเดิม แต่สติสัมปชัญญะของคนเหล่านี้กลับค่อยๆ เลอะเลือนไปเรื่อยๆ
“พับผ่าสิ ช่างเป็นอาวุธมีคมที่ใช้ฆ่าคนได้ดีจริงๆ!”
แม้แต่เยี่ยเทียนเองเมื่อเห็นผลลัพธ์เช่นนี้แล้ว ก็ยังอดรู้สึกตกตะลึงไม่ได้เหมือนกัน มีดบินฆ่าคนนี้ไร้เงาไร้ร่องรอยอย่างแท้จริง ได้ผลดีกว่ากระสุนปืนตั้งไม่รู้กี่เท่า และยังสามารถทำได้ทั้งโจมตีและป้องกัน มิน่าเล่าติงหงคนเดียวกับหนึ่งมีดถึงได้กล้าต่อกรกับกองทัพนับหมื่นของรัสเซีย
ยังไม่ต้องเอ่ยถึง เซียนติง ผู้ถูกอัสนีสวรรค์ผ่าจนสิ้นชีพไปท่านนั้น อาศัยเพียงความแข็งแกร่งของกระแสจิตและปราณแท้ของเยี่ยเทียนในตอนนี้ ก็พอที่จะขับเคลื่อนมีดบินได้หลายชั่วยามแล้ว อย่าว่าแค่คนแค่สิบเก้าคนเลย ต่อให้บุกมากันเป็นกองทัพ เยี่ยเทียนก็ไม่เกรงกลัวเลยสักนิด
“มันจะจุดชนวนระเบิดรึเปล่านะ?”
หลังจากเก็บมีดสั้นอู๋เหินกลับเข้าสู่ร่างแล้ว บนใบหน้าของเยี่ยเทียนก็ปรากฏรอยยิ้มเหี้ยม เขาอยากจะรู้เหลือเกินว่า เจ้าคนที่ชื่อเจอร์รีนั่นจะมีสีหน้าอย่างไร หลังจากที่กดชนวนระเบิดไปแล้ว แต่วัตถุระเบิดกลับไม่ระเบิดขึ้นมา
………………
“พระเจ้าช่วย มันยังเป็นมนุษย์อยู่ไหมเนี่ย? ขนาดกระสุนยังฆ่ามันไม่ตายเลย!”
ในหุบเขาแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากเหมืองทองแห่งโจฮันเนสเบิร์กไปห้าสิบกิโลเมตร เคลวินซึ่งกำลังควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ก็ร้องอุทานออกมา แม้ว่าตอนนี้เจียงซานจะหมดสติไปแล้ว แต่เขาได้ติดตั้งกล้องไว้บนร่างของเธอสองตัว ทำให้สามารถส่งภาพในสถานที่เกิดเหตุกลับมาได้
“เคลวิน มือสังหารสองทีมนั้นตายหมดแล้วนะ!”
เจอร์รีมองดูจอคอมพิวเตอร์ด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ ตอนแรกในใจเขายังเหลือความเชื่ออยู่เล็กน้อยว่านี่เป็นเพียงความบังเอิญ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเยี่ยเทียนนั้น ก็เป็นสิ่งที่ช่วยอธิบายได้อย่างชัดเจนแล้วว่า นี่แหละคือผู้มีพลังวิเศษที่เขาต้องหวาดกลัวอย่างสุดซึ้ง
“เจอร์รี จะทำยังไงดี? ฉันไม่มั่นใจหรอกนะว่าจะกำจัดมันได้!”
แผลเป็นที่ดูเหมือนไส้เดือนบนหน้าของบรูกแมนผู้เป็นกำลังสูงสุดของกลุ่มมือสังหารแม่มายดำกำลังสั่นระริกไม่หยุด ชายหนุ่มในจอภาพซึ่งเห็นใบหน้าได้อย่างเลือนรางนั้น ทำให้ในใจเขาเกิดความรู้สึกอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงขึ้นมา
………………………….