“คนพวกนี้จะทำอะไรน่ะ?”
หวาจวินมองดูกลุ่มรถบรรทุกคันใหญ่ที่ทิ้งฝุ่นฟุ้งตลบไว้ข้างหลังอย่างอึ้งๆ ใบหน้าของคนที่ยืนอยู่บนรถก็เริ่มชัดเจนขึ้นแล้ว ขณะเดียวกัน เสียงปืนดังเสียดหูก็ดังมาจากบนรถบรรทุก
“เปรี้ยงๆ เปรี้ยงๆๆ!”
ปืนกลกราดยิงใส่รสบัสที่จอดอยู่หน้าทางเข้าเหมืองทองเหล่านั้นอย่างเป็นจังหวะ รสบัสเจ็ดแปดคันถูกจู่โจมพร้อมๆ กัน กระสุนยิงทะลุหน้าต่างเข้าไปในรถ ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนอย่างน่าสลด
ทั้งนักท่องเที่ยวและคนขับรถต่างก็ตะลึงไปทันที ไม่มีใครเข้าใจเลยว่ากำลังเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ จนกระทั่งถังน้ำมันของรสบัสคันหนึ่งถูกกระสุนยิงใส่จนระเบิดไฟลุกไปแล้ว ประตูรถถึงจะเปิดออก เหล่านักท่องเที่ยวที่กำลังตื่นตระหนกเสียขวัญกรูกันลงมาเหมือนฝูงผึ้ง
“ฆ่าพวกมันให้หมด อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว!”
อึนบันเกอดาที่ยืนอยู่ตรงส่วนหน้าของรถคันแรกฉีกยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม ชูปืนกลที่ถืออยู่ขึ้นมา แล้วเล็งยิงไปที่คนผิวขาวซึ่งกำลังวิ่งหนีคนหนึ่งจนสมองกระจุย จากนั้นก็มีเสียงกรีดร้องดังมาจากฝูงชนอีกเรื่อยๆ
เสียงเบรกรถดังขึ้น ทหารเด็กรูปร่างเตี้ยเล็กทยอยกันโดดลงมาจากรถบรรทุกอย่างคล่องแคล่ว พลางถืออาวุธกราดยิงใส่ฝูงชน เสียงร้องโหยหวนก่อนตายของพวกนักท่องเที่ยวยิ่งกระตุ้นให้พวกเขารู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นไปอีก
“พระเจ้า นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย?”
เทียบกับรสบัสคันใหญ่เหล่านั้นที่ตกเป็นเป้าหมายอย่างชัดเจนแล้ว ทหารเด็กเหล่านั้นจึงไม่ได้หันมาสนใจกลุ่มคนที่กำลังหลบแดดอยู่ใต้ต้นไม้ เมื่อเห็นเลือดสาดกระเซ็นท่ามกลางฝูงชนอย่างไม่ขาดสาย พวกเขาทุกคนจึงนิ่งอึ้งกันอยู่ตรงนั้น กระทั่งยังลืมแม้แต่จะหนี
“รีบหนีเร็ว!” ไม่ทราบเป็นเสียงใครตะโกนขึ้นมา ทำให้ทุกคนตื่นจากภวังค์ แล้วหนีอย่างกระจัดกระจายไปคนละทิศทาง หวาจวินเพิ่งจะวิ่งออกไปได้สองก้าว รถออฟโรดคันหนึ่งก็มาจอดลงข้างๆ
เขาเพิ่งจะเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถ กระสุนหลายนัดก็ยิงกระจกมองหลังแตกไปแล้ว หวาจวินรีบหดศีรษะลงไปใต้เก้าอี้ แล้วถามขึ้นอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ “พี่หลิว น…นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“ไม่รู้สิ หวาจวิน นั่งดีๆ ล่ะ!”
พี่หลิวซึ่งเป็นคนขับรถส่ายหน้า ถึงเขาจะเป็นทหารกองกำลังพิเศษจากจีน แต่ในยุคสมัยที่สงบสันติแบบนี้เขาก็ยังไม่เคยผ่านศึกมาก่อน เมื่อเห็นทหารเด็กผิวดำเหล่านั้นก่อการสังหารหมู่ราวกับสัตว์ป่า หลิวชิงก็มีสีหน้ากังวลขึ้นมา
แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้ที่เคยผ่านการฝึกอย่างมืออาชีพมาก่อน ตั้งแต่ตอนที่มีเสียงปืนดังขึ้นมาจากในเหมือง หลิวชิงก็เพิ่มความระแวดระวังขึ้นแล้ว เขาจอดรถออฟโรดไว้ท่ามกลางรสบัสเหล่านั้น พอทหารพวกนั้นเริ่มกราดยิงนักท่องเที่ยว เขาก็ขับออกมาจากจุดนั้นทันที
หลังจากที่รถออฟโรดขับฝ่าออกมาจากจุดที่มีกำลังทหารเบาบางแล้ว ทันใดนั้นหวาจวินก็นึกถึงเยี่ยเทียนขึ้นมาได้ จึงรีบร้องตะโกนขึ้นมาว่า “พี่หลิว แล้วคุณจ้าวจะเป็นยังไงล่ะ? เขายังอยู่ข้างในนะครับ”
“คงไม่มีปัญญาไปช่วยเขาแล้วละ ที่เราหนีออกมาได้นี่ก็ถือว่าดวงแข็งแล้วนะ!” หลิวชิงส่ายหน้า เขาขดร่างจนแทบจะเป็นก้อนกลม กระจกทั้งคันรถถูกยิงแตกไปหมดแล้ว และยังมีเสียงกระสุนดังมาจากข้างหลังรถเป็นครั้งคราว
“ไอ้พวกเวร อย่ามัวแต่ปล้นข้าวของสิ ฆ่าคนให้หมด ไม่ต้องเหลือไว้สักคน แล้วก็หาไอ้คนที่อยู่ในรูปถ่ายนั่นออกมาให้ได้ด้วยล่ะ!”
เมื่อเห็นว่ามีรถออฟโรดคันหนึ่งฝ่าออกไปได้ อึนบันเกอดาก็โมโหเดือดดาล หยิบปืนพกออกมายิงใส่ศีรษะของทหารเด็กที่กำลังฉีกเสื้อผ้าของหญิงสาวคนหนึ่งอยู่ข้างๆ ไปหนึ่งนัด
อึนบันเกอดาได้รับการว่าจ้างจากเหมียวจื่อหลง ถ้าสามารถสังหารเยี่ยเทียนได้ เขาก็จะได้เงินก้อนโตถึงยี่สิบล้านเหรียญสหรัฐ และเมื่อมีเงินจำนวนนี้ เขาก็จะสามารถขยายอาณาเขตของตัวเองให้ใหญ่ขึ้นได้อีกหนึ่งเท่าตัว ถึงตอนนั้นเขาก็จะตั้งตัวเป็นนายพลได้แล้ว
ดังนั้นการที่รถออฟโรดคันหนึ่งหนีออกไปได้เมื่อครู่นี้ จึงทำให้อึนบันเกอดาโกรธสุดขีด ยิงปืนปลิดชีพทหารเด็กที่มัวแต่รื้อค้นทรัพย์สินบนร่างของผู้ตายไปสามคน
ความอำมหิตของอึนบันเกอดาทำให้เหล่าทหารเด็กที่กำลังคลั่งไปกับชัยชนะได้สติกลับมา ปากเปล่งเสียงตะโกนที่ฟังไม่ได้ศัพท์ออกมา พลางยิงปืนใส่ผู้คนที่กำลังวิ่งหนีอย่างไม่หยุดยั้ง ผ่านไปครู่เดียว ในบริเวณหน้าทางเข้าเหมืองทองอันใหญ่โตนั้น นอกจากทหารเหล่านั้นแล้วก็แทบจะไม่เหลือใครยืนอยู่อีกเลย
ภายใต้คำสั่งของอึนบันเกอดา พวกทหารเด็กเริ่มยิงปืนย้ำใส่คนที่อยู่บนพื้นไปทีละคน พลางถือโอกาสล้วงข้าวของมีค่าบนร่างของคนเหล่านั้นมาจนหมด กระทั่งฟันทองในปากของนักท่องเที่ยวบางคนก็ยังไม่ละเว้น
ท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุจนแทบจะหายใจไม่ออก กลิ่นคาวเลือดเหม็นคละคลุ้ง ที่ซึ่งเคยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวนั้นแทบจะกลายเป็นดั่งนรก เลือดจากร่างของคนนับร้อยหลั่งไหลมาบรรจบกันเป็นลำธารสายเล็กๆ ศพกองระเกะระกะเต็มพื้น
เห็นได้ชัดว่า ทหารเด็กเหล่านี้ไม่ได้เพิ่งจะเคยก่อเรื่องปล้นฆ่าวางเพลิงแบบนี้เป็นครั้งแรก หลังจากผ่านไปเพียงห้านาที พวกเขาก็เก็บกวาดที่เกิดเหตุเสร็จแล้ว สายตาของแต่ละคนมองไปยังเหมืองทองแห่งโจฮันเนสเบิร์กที่ปิดประตูไปแล้วอย่างคลุ้มคลั่ง
ไม่ว่าจะเป็นเหมืองทองประเทศไหนๆ ก็มักจะมีลักษณะที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ โครงสร้างที่ง่ายในการป้องกัน ทว่ายากต่อการโจมตี ยิ่งเป็นเหมืองทองในแอฟริกาใต้ด้วยแล้ว สิ่งที่พวกนักลงทุนจะต้องพิจารณาก่อนเป็นอันดับแรกก็คือปัญหาเรื่องความปลอดภัยของเหมืองทอง
เหมืองทองแห่งโจฮันเนสเบิร์กนี้ก็เช่นกัน รั้วที่ล้อมอยู่รอบเหมืองนั้นมีความสูงถึงห้าเมตร แม้ว่าตาข่ายไฟฟ้าที่ขึงอยู่ข้างบนนั้นจะหมดประสิทธิภาพไปนานแล้ว แต่ด้วยระดับความสูงถึงห้าเมตรนี้ ก็พอที่จะสามารถต้านทานข้าศึกไว้ได้
ประตูทางเข้าเหมืองทองปิดลงตั้งแต่ตอนที่มีเสียงปืนดังขึ้นในเหมือง แต่พวกเขากลับตามล่าเยี่ยเทียนไม่พบ ซ้ำยังโจมตีผิดเป้าหมายไปอีก ทำให้เวลาที่ทหารคองโกเหล่านี้จะฝ่าเข้าไปในเหมืองทองกลับล่าช้าเข้าไปอีก
“ผู้พันครับ ไม่พบคนในรูปถ่ายเลยครับ!”
นายทหารผู้ช่วยของอึนบันเกอดาเดินเข้ามาหา แล้วพูดขึ้นอย่างกลัดกลุ้มกังวล “ผู้พันครับ พวกเราต้องไปกันได้แล้วละครับ ไม่อย่างนั้นถ้ากองทัพรัฐบาลแอฟริกาใต้มาล้อมเราไว้ละก็ เราคงออกไปไม่ได้อีกแล้ว”
แม้ว่ากลุ่มคนที่เดินทางมายังแอฟริกาใต้เหล่านี้จะเป็นพวกที่กล้าฆ่าคนเป็นผักปลา แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็อยู่ในถิ่นของคนอื่น และก็ไม่ได้พกพาอาวุธหนักมาด้วย ต่อให้กองทัพรัฐบาลแอฟริกาใต้ไร้น้ำยาแค่ไหน ก็คงไม่ทนยอมให้พวกเขามาอาละวาดบนแผ่นดินของตัวเองแน่
“ไม่ได้ ฆ่าคนในเหมืองทองให้หมดก่อนค่อยไป!”
อึนบันเกอดาส่ายหน้า มองไปยังประตูเหมืองที่ปิดสนิทด้วยสายตาเย็นเยียบ “ใช้จรวดระเบิดประตูออก แล้วหาไอ้คนจีนคนนั้นออกมาให้ได้ ฉันรับปากกับเหมียวไปแล้วว่า จะเอากะโหลกมันมาทำเป็นถ้วยเหล้า!”
อึนบันเกอดาไม่ใช่คนไร้สมอง เขามั่นใจว่าตัวเองต้องหนีรอดได้อยู่แล้ว ถึงได้กล้ามาอาละวาดก่อเรื่องในประเทศของคนอื่นแบบนี้ ตามที่เขาประเมินไว้ล่วงหน้า กว่ากองทัพรัฐบาลแอฟริกาใต้จะมีปฏิกิริยาและส่งคนมาถึงที่นี่ได้ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าหนึ่งชั่วโมง
แต่ในการสังหารหมู่กวาดล้างเหมืองทองร้างๆ แห่งนี้ อึนบันเกอดาต้องใช้เวลาอย่างมากก็ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น เพื่อเงินยี่สิบล้านเหรียญสหรัฐนั่นแล้ว เขาไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะต้องล่าถอยไปตอนนี้เลย
“พระเจ้าช่วย ทำไมจู่ๆ ถึงมีทหารมาถล่มพวกเราล่ะ?”
“สถานีตำรวจใช่ไหมครับ? มีทหารเป็นพันคนเลยมารุมถล่มเหมืองทองโจฮันเนสเบิร์ก ทำคนตายไปตั้งเจ็ดแปดร้อยคนแล้วครับ!”
ขณะนั้นภายในเหมืองทองแห่งโจฮันเนสเบิร์กก็กำลังโกลาหลอยู่เช่นกัน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยติดอาวุธเจ็ดแปดคนที่ยังอยู่ในนั้นต่างก็ขวัญหนีดีฝ่อไปหมดแล้วหลังจากที่เห็นการเข่นฆ่าอันคาวเลือดที่ข้างนอกเหมือง ที่จริงแล้วจำนวนผู้เสียชีวิตก็ไม่ได้มากขนาดนั้น เพราะนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ได้เข้าไปในเหมืองแล้ว ที่ข้างนอกจึงเหลืออยู่เพียงสามร้อยกว่าคน
แต่แม้กระนั้น อึนบันเกอดาก็ได้ก่อคดีนองเลือดอันสะเทือนฟ้าดินขึ้นมาแล้ว อีกไม่นานสายตาจากทั่วโลกก็คงจะเพ่งมารวมกันที่นี่เป็นแน่
“คนพวกนี้…จะมาล่าเรางั้นสิ?”
เยี่ยเทียนยืนอยู่บนกำแพงสูงแห่งหนึ่ง เมื่อได้กลิ่นคาวเลือดฉุนจมูกนั้นก็ขมวดคิ้วน้อยๆ เขาไม่นึกเลยว่า ซ่งเสี่ยวหลงจะคลุ้มคลั่งเสียสติถึงเพียงนี้ เพื่อที่จะกำจัดเขาแล้ว ถึงกับต้องว่าจ้างกองทหารมาก่อการสังหารหมู่สะเทือนขวัญแบบนี้เลยหรือ?
“นี่มันซอมบี้ฝูงหนึ่งชัดๆ สภาพจิตใจของคนพวกนี้บิดเบี้ยวหมดไปแล้วละ!”
เยี่ยเทียนมองดูเหล่าทหารเด็กที่ยังสูงไม่เท่าปืนเลยด้วยซ้ำ แล้วส่ายหน้า จากนั้นดวงตาก็มองไปที่อึนบันเกอดาซึ่งยืนอยู่ห่างจากประตูเข้าเหมืองทองไปสามสิบเมตร ถ้าเขาทายไม่ผิดละก็ เจ้าคนนี้แหละที่เป็นหัวหน้าของปฏิบัติการครั้งนี้
“หืม? ใครกำลังมองฉันอยู่น่ะ?”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังมองไปที่อึนบันเกอดา ทันใดนั้นอึนบันเกอดาก็เกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นมา พอเงยหน้ามองไปก็เห็นเงาร่างของเยี่ยเทียนพอดี หลังจากอึ้งไปครู่หนึ่ง อึนบันเกอดาก็ตะโกนขึ้นมาอย่างลิงโลด “คนนั้นนั่นแหละ เก็บมันซะ!”
เหมืองทองแห่งโจฮันเนสเบิร์กมีอาณาเขตกว้างขวางใหญ่โต ตอนแรกอึนบันเกอดาจึงยังกังวลอยู่ว่าตนจะหาเยี่ยเทียนไม่พบ แต่ตอนนี้เยี่ยเทียนกลับเป็นฝ่ายก้าวออกมาเอง ขณะเดียวกันกับที่ออกคำสั่งไป อึนบันเกอดาก็ยกปืนกลในมือขึ้นมาแล้วเล็งเป้าไปที่เยี่ยเทียน
“ไอ้พวกไม่รู้จักกลัวตาย!”
เยี่ยเทียนแค่นเสียงดังเฮอะอย่างเย็นชา ด้วยสภาพจิตของเขาในตอนนี้ แม้ว่าการเข่นฆ่าจะไม่สามารถทำให้อารมณ์ของเขาเกิดการแปรปรวนได้แล้ว แต่ผู้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์นั้นย่อมจะมีความหวงแหนในชีวิตของตน คนพวกนี้กลับทำตัวเหมือนเพชฌฆาตไล่ฆ่าผู้คน จึงไปยั่วโทสะของเยี่ยเทียนขึ้นมา
ขณะเดียวกันกับที่สายตาของทั้งสองฝ่ายสบประสานกัน เยี่ยเทียนก้าวเท้าขวาออกไปกลางอากาศ จากนั้นอากาศก็ดูคล้ายจะเกิดระลอกคลื่น ร่างของเยี่ยเทียนพลันบิดเบี้ยวไป ดูราวกับเป็นภาพลวงตา
“ยิง เก็บมันซะ!” อึนบันเกอดาไม่สนใจการเคลื่อนไหวของเยี่ยเทียน ระหว่างที่ปากออกคำสั่ง เขาก็ยิงกระสุนหมดไปหนึ่งตับแล้ว ด้วยระยะห่างไม่กี่สิบเมตรนั้น อึนบันเกอดามองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า กระสุนยิงถูกร่างของเยี่ยเทียนแล้ว
“อ้าว มันหายไปไหนแล้วล่ะ?”
ขณะที่อึนบันเกอดากำลังนึกว่า เงินยี่สิบล้านเหรียญสหรัฐนั่นจะได้มาอยู่ในมือตนแน่ๆ แล้ว เงาคนบนกำแพงรั้วก็กลับหายไปกะทันหัน หูก็ไม่ได้ยินเสียงร้องโหยหวนของคนสิ้นใจเลย นอกจากเสียงปืนที่ดังอยู่ประปรายแล้ว แม้แต่เสียงร่างคนตกลงมาจากรั้วก็ยังไม่มี
“ฉันก็อยู่นี่ไง!”
เยี่ยเทียนสะกิดไหล่อึนบันเกอดาเบาๆ คนที่เขาจู่โจมไปเมื่อครู่นี้เป็นเพียงเงาของเยี่ยเทียนที่หลงเหลืออยู่ตรงนั้นเท่านั้นเอง
“แกน่ะไปตายได้แล้ว!”
เยี่ยเทียนไม่ได้สนใจจะพูดไร้สาระกับอึนบันเกอดาเลย หลังจากฝืนบิดลำคอที่เกร็งแข็งนั้นให้หันมาได้แล้ว มือขวาของเยี่ยเทียนก็บีบแน่นจนเกิดเสียงดัง “กร๊อบ” ลูกกระเดือกของอึนบันเกอดาถูกเยี่ยเทียนบีบจนแหลกไปแล้ว
ตั้งแต่เยี่ยเทียนหายตัวไปจนปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง เป็นระยะเวลาเพียงสิบกว่าวินาทีเท่านั้น ดังนั้นเมื่อร่างของอึนบันเกอดาล้มยวบลงไปกับพื้นแล้ว ทหารผู้ช่วยและบรรดาทหารเด็กที่ล้อมอยู่รอบๆ จึงยังไม่มีใครมีปฏิกิริยากันสักคน
“เป็นคนแต่กลับใช้ชีวิตเยี่ยงเดรัจฉาน อย่างนั้นอยู่ไปก็ไม่มีความหมายอะไร”
ตั้งแต่ตอนที่ทหารเด็กเหล่านี้เริ่มเข่นฆ่ากวาดล้าง เยี่ยเทียนก็เกิดจิตสังหารขึ้นมาแล้ว หลังจากบีบลูกกระเดือกของอึนบันเกอดาจนแหลกไป เยี่ยเทียนก็อ้าปากพ่นใยสีแดงสายหนึ่งออกมาวนล้อมรอบกาย
…………………………