“เหลยหู่ ฉันกับแกไม่เคยมีเรื่องบาดหมางต่อกัน เรื่องที่แกหวังตำแหน่งประมุขสมาคมหงเหมิน แล้วยังวางแผนมุ่งร้ายในธุรกิจของแม่ฉัน ตามกฎของยุทธจักร ฉันสามารถฆ่าแกได้เลย แต่ฉันก็ยังไม่ทำ เท่ากับว่าฉันได้ไว้หน้าเหลยเจิ้นเทียนแล้วนะ”
เยี่ยเทียนมองเหลยหู่จนตาแทบลุกเป็นไฟพูดอีกว่า “แต่แกก็ยังเป็นพวกคนใจแคบ ไม่แยกแยะสิ่งที่ถูกกับสิ่งที่ผิด ยังมาร่วมมือกับซ่งเสี่ยวหลงเพื่อจัดการฉันที่แอฟริกาใต้นี่อีก ในฐานะสมาชิกของสมาคมหงเหมิน แกจะให้ฉันจัดการกับแกยังไงดี? ”
“ท่านเยี่ย เรื่องนี้ผมเหลยหู่ยอมรับผิด จะฆ่าจะแกงอย่างไร เชิญท่านตัดสินใจเลย ! ”
สมแล้วที่เคยเป็นเจ้าตำหนักอาญาแห่งสมาคมหงเหมิน ไม่ว่าจะเป็นกฏเกณฑ์ของสำนักหรือยุทธจักร เหลยหู่รู้ดีว่าตนเองหนีไม่พ้นแล้ว เขาจึงแสดงความเฉียบขาดพร้อมท่าทีน้อมรับบทลงโทษ ด้วยการโยนกระเป๋าเป้ออกไป และไขว้สองมือไว้ด้านหลัง
“ท่านเยี่ย ท่าน…ปล่อยลุงเหลยครั้งนี้เถอะค่ะ ”
เจียงซานที่ยืนอยู่ข้างเยี่ยเทียน รวบรวมความกล้าทั้งหมดและดึงแขนเสื้อของเยี่ยเทียนไว้ เธอรู้ว่าเยี่ยเทียนคงไม่ทำอะไรหล่อน เธอจึงได้ขอให้เยี่ยเทียนไว้ชีวิตเหลยหู่
“จะดีจะชั่ว สักวันจะต้องได้รับกรรม ไม่ใช่ว่าจะไม่แก้แค้น แต่มันยังไม่ใช่เวลา ! ”
เยี่ยเทียนส่ายหน้ามองไปที่เหลยหู่ พูดกับเขาว่า “เหลยหู่ ลำดับศักดิ์ของแกต่ำกว่าฉันเยอะมาก ข้อห้ามของสมาคมหงเหมินก็คือห้ามฆ่ากันเอง ความผิดสถานเดียวของแก มันก็มากพอที่จะทำให้ฉันลงโทษสามมีดหกรูกับแกได้ ในเมื่อแกรู้ตัวแล้วว่าผิด ฉันก็จะยังไม่ลงโทษแก แต่แกต้องไปพบเหลยเจิ้นเทียนกับฉัน ให้เขามาคุยกับฉันเอง ! ”
“ท่าน…ท่านจะไม่ฆ่าผม? ”
เหลยหู่เงยหน้าขึ้นมองเยี่ยเทียนและไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน ตอนที่เขาเดินออกมาจากห้องแล้วพบกับเยี่ยเทียน เขาก็ได้เตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่ตอนนี้เยี่ยเทียนกลับบอกว่าจะส่งตนไปให้พ่อของตัวเอง เขารู้สึกเย็นเฉียบไปทั้งตัว
เหลยเจิ้นเทียนแม้จะเป็นคนเก่าแก่ของสมาคม เป็นคนเคร่งครัดมากในเรื่องกฏเกณฑ์ แต่เขาก็เป็นคนที่ตามใจลูกชายคนเล็กมาก การลงโทษอาจจะหนีไม่พ้น แต่อย่างน้อย ชีวิตของเหลยหู่ก็รักษาเอาไว้ได้แล้ว
“เมื่อเป็นคนของสมาคมหงเหมินเหมือนกัน ฉันก็ไม่อยากให้มือเปื้อนเลือด” เยี่ยเทียนมองเหลยหู่อีกครั้งพูดอีกว่า “กรรมเกิดจากเหตุ มีเหตุจึงมีผลตามมา ซ่งเสี่ยวหลงพักอยู่ที่ไหนแกน่าจะรู้ใช่มั้ย? พาฉันไปหาผู้ก่อเหตุที ! ” ถึงแม้ตอนแรกจะพูดเหมือนเป็นคนมีจิตสำนึกแห่งความเป็นธรรม แต่ความจริงก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เยี่ยเทียนพูด ตามความตั้งใจเดิมของเยี่ยเทียนเขาคิดจะฆ่าเหลยหู่ให้ตายคามือ เพื่อไม่ให้มีอันตรายต่อตัวเองในภายหลังได้อีก
ก่อนจะเจอเหลยหู่ เยี่ยเทียนได้ทำนายไปแล้ว เขาพบว่าช่วงเวลาหนึ่งในอนาคตเขาจะพบเรื่องซับซ้อนสับสนมากมาย และเหลยหู่ก็เป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์อีกด้วย มันเลยทำให้เยี่ยเทียนตกใจมาก จนต้องรีบทำนายชะตาของเหลยหู่ด้วย
ผลการทำนายเห็นว่า เหลยหู่จะมีชีวิตได้อีกไม่นาน แต่ไม่ได้ตายด้วยมือของเยี่ยเทียน แต่สาเหตุการตายของเขานั้นเยี่ยเทียนไม่สามารถทำนายออกมาได้ เขารู้แค่ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาอยู่บ้างเท่านั้น
เมื่อออกมาจากสมาคมหงเหมิน เหลยหู่ก็ไม่ต่างจากเสือที่ใกล้ตาย เขี้ยวและกรงเล็บหลุดหมดแล้ว อย่างมากก็เป็นได้แค่คนที่โห่ร้องดีใจเวลามีคนมาทำร้ายเยี่ยเทียน ในเมื่อวันตายของเขาใกล้มาถึงแล้ว เยี่ยเทียนจึงปล่อยให้เป็นไปตามที่ฟ้ากำหนด ไม่ได้ลงมือฆ่าเขาในทันที
ถึงแม้ว่าเหลยหู่จะไม่กลัวการตาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาอยากตาย เหลยหู่คิดไม่ถึงเลยว่าตนจะหลุดพ้นเคราะห์กรรมนี้ออกมาได้ เขาไม่แม้แต่จะสนใจว่าชีวิตของซ่งเสี่ยวหลงจะเป็นยังไง เพราะทันทีที่ได้ยินคำถามของเยี่ยเทียน เขาก็รีบตอบว่า “ที่พักของซ่งเสี่ยวหลงอยู่ที่เคปทาวน์ ผมรู้จักดี เดี๋ยวผมจะพาท่านไป ! ”
“เขาพักอยู่ที่เคปทาวน์? ”
เยี่ยเทียนขมวดคิ้วกับคำตอบที่ได้ยิน เขาถอนหายใจและพูดว่า “ซ่งเสี่ยวหลงคงออกจากแอฟริกาใต้ไปตั้งแต่เช้าวันนี้ น่าจะไปอเมริกาเหนือแล้วล่ะ ถ้าไปเคปทาวน์ตอนนี้ก็ไม่เจอเขาหรอก ! ”
เพราะต้องรับมือกับทหารกลุ่มมากประสบการณ์กับทหารที่มาจากคองโก เส้นประสาทของเยี่ยเทียนตึงเครียดมาตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ เขาไม่มีเวลานั่งคิดเรื่องของซ่งเสี่ยวหลงด้วยซ้ำ จนถึงตอนนี้เขาก็เพิ่งจะรู้ว่าจอมเจ้าเล่ห์นั่น หนีไปตั้งแต่เช้าแล้ว
เหลยหู่มีสีหน้าแย่ลงทันทีที่ได้ยินเยี่ยเทียนพูดแบบนั้น ซ่งเสี่ยวหลงหนีไปแล้ว เขากลัวว่าวันใดวันหนึ่งเยี่ยเทียนจะโมโหแล้วมาลงที่ตัวเองอีก เขาจึงพูดด้วยความระมัดระวังไปว่า “แล้ว…จะทำยังไงดีครับท่านเยี่ย ? ”
เยี่ยเทียนมองเหลยหู่ตอบว่า “แกโทรไปหาเหลยเจิ้นเทียน แล้วไปเคปทาวน์กับฉัน จากนั้นก็ไปฮ่องกงต่อ ! ”
“แล้ว…ฉันล่ะ ? ” เด็กสาวถามด้วยเสียงแผ่วเบา เธอเป็นคนที่เห็นเหตุการณ์แสงเพชรฆาตสีแดงของเยี่ยเทียนที่จัดการทหารพวกนั้น ความกลัวของเธอที่มีต่อเยี่ยเทียนจึงมากกว่าเหลยหู่เป็นร้อยเท่า
“เธอ? ”
เยี่ยเทียนขมวดคิ้ว จากนั้นก็หยิบหนังสือออกมาจากกระเป๋ายื่นให้กับเจียงซาน และพูดว่า “เธอกลับฮ่องกงกับฉัน ระหว่างนี้เธอก็ศึกษาวิชาทำนายแปดทิศจากคัมภีร์โจวอี้ให้ดี ถ้าเธอเข้าใจ ฉันจะมอบโอกาสให้เธอ ! ”
หนังสืออธิบายหกสิบสี่กว้าที่เยี่ยเทียนยื่นให้เจียงซานเป็นหนังสือเก่าในปลายสมัยของราชวงศ์ชิง เยี่ยเทียนซื้อหนังสือเล่มนี้มาจากตลาดในเมืองเล็กที่เดินทางผ่านเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
ถึงแม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นแค่หนังสือเกี่ยวกับพื้นฐานของการทำนาย แต่มันก็เป็นหนังสือโบราณเล่มหนึ่ง การได้เจอหนังสือแบบนี้ที่ต่างบ้านต่างเมืองถือว่าเป็นความโชคดีอย่างหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนั้น เยี่ยเทียนจึงตัดสินใจซื้อมันมา และไม่คิดว่าจะได้นำมาใช้จริง
“ให้ฉันทำไม? ”
เจียงซานพลิกหนังสือเล่มเก่าเล่มนั้นดูด้วยความแปลใจ ถึงแม้ว่าเธอจะมีความรู้เกี่ยวกับวิชาทำนายแบบแปดทิศจากคัมภีร์โจวอี้อยู่บ้าง แต่เธอเติบโตมากับแม่บุญธรรมชาวยิปซี ให้เธอทำนายจากไพ่ทาโรต์ยังจะง่ายกว่า
“ถ้าเธออ่านไม่เข้าใจ เธอก็โยนมันทิ้งจากเครื่องบินไปได้เลย ! ”
เยี่ยเทียนจ้องเด็กสาวจนเธอรู้สึกกลัวไปหมด เพราะไม่ว่าจะดิ้นรนทั่วยุทธจักรในประเทศ หรืออยู่ในสังคมของต่างประเทศ สายตาเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก เจียงซานไม่มีทางหาเรื่องใส่ตัวแน่นอน เธอจึงเก็บหนังสือเข้ากระเป๋าอย่างระมัดระวัง
“อืม รู้จักอดทนยอมอ่อนข้อ เป็นคนที่สามารถนำมาบ่มเพาะความสามารถได้อีก แต่ไม่รู้ว่าหล่อนจะมีพรสวรรค์ด้านการทำนายหรือเปล่า? ”
เยี่ยเทียนพยักหน้าให้กับท่าทีของเจียงซาน ปัจจุบันศิษย์ของสำนักเสื้อป่านลดลงเรื่อยๆ เยี่ยเทียนเองมีแผนจะรับหล่อนเข้าสำนักตั้งแต่ได้ยินว่าหล่อนสามารถทำนายเหตุการณ์ผ่านความฝันแล้ว
การสืบทอดของเยี่ยเทียน เดิมทีก็ได้มาอย่างไม่ชัดเจนอยู่แล้ว ถ้าเจียงซานมีพรสวรรค์แบบเขาจริง ก็เท่ากับเขาได้หาสมบัติล้ำค่าให้กับสำนัก ตนเป็นเจ้าสำนักผู้ไม่เคยสนใจอะไรเลยมาหลายปี ก็ถือว่าได้อุทิศสิ่งเล็กสิ่งน้อยให้กับสำนักก็แล้วกัน
หลังจากพาเหลยหู่กับเจียงซานออกมาจากโรงแรม เขาหยุดชะงักและถามเหลยหู่ว่า “แกเดินทางมาที่โจฮันเนสเบิร์กยังไง? ”
เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ รัฐบาลของแอฟริกาใต้จะต้องทำการตรวจสอบผู้รอดชีวิตในโจฮันเนสเบิร์กเป็นแน่ เยี่ยเทียนไม่ต้องการมีปัญหาอีก เอกสารที่ใช้เดินทางจะยุ่งยากพอสมควรเมื่อต้องนั่งเครื่องบินในต่างประเทศ ก็คงต้องใช้วืธีนั่งรถไปเมืองเคปทาวน์แทน
“ผมกับเหมียวจื่อหลงนั่งเครื่องบินมา”
เหลยหู่แอบดูสีหน้าของเยี่ยเทียนก่อน และพูดอีกว่า “แต่ซ่งเสี่ยวหลงทิ้งรถไว้คันหนึ่งที่โจฮันเนสเบิร์ก รถจอดอยู่ที่โรงแรม ถ้าท่านเยี่ยอยากไปไหน ผมสามารถขับรถพาไปก็ได้”
ที่แอฟริกาใต้ เมืองเคปทาวน์กับโจฮันเนสเบิร์กมีความรุ่งเรืองที่สุด ซ่งเสี่ยวหลงมีทั้งทรัพย์สินและรถสปอร์ตในทั้งสองเมืองนี้ วันที่เหลยหู่มาถึงโจฮันเนสเบิร์กวันแรก เหมียวจื่อหลงยกรถสปอร์ตรุ่นลิมิเต็ด อิดิชั่นคันหนึ่งซึ่งเป็นของซ่งเสี่ยวหลงมอบให้เหลยหู่ขับ
“อ๋อ งั้นก็ดีเลย พวกเรากลับไปที่เคปทาวน์กัน” เยี่ยเทียนพยักหน้า และพูดต่อว่า “แกไปเอารถมา เดี๋ยวฉันกับเจียงซานจะรออยู่ที่หน้าประตูใหญ่”
“ครับท่านเยี่ย ผมจะรีบมาครับ”
แววตาของเหลยหู่แสดงความดีใจออกมาหลังจากได้ยินเยี่ยเทียนพูดแบบนั้น แต่เขาเก็บความดีใจกลับไปอย่างรวดเร็ว เพราะเขารู้ว่า สาเหตุที่เยี่ยเทียนกล้าปล่อยให้ตนไปเอารถด้วยตัวเองแบบนี้ ก็เพราะไม่กลัวว่าตนจะแอบหลบหนีไป
การเผชิญหน้ากับเยี่ยเทียน เหลยหู่ไม่กล้าตุกติกอีก กองทหารรับจ้างที่เก่งเป็นอันดับหกของโลกผนึกกำลังกันเข้าปิดล้อมเพื่อฆ่าเขา ยังถูกเยี่ยเทียนสังหารหมดไม่เหลือ คนแบบนี้ไม่ใช่คนที่เขากล้าตุกติกด้วยเป็นแน่ และเวลานี้เหลยหู่ไม่มีความคิดจะแก้แค้นเยี่ยเทียนอีกแล้ว
เมื่อเห็นว่าเหลยหู่เดินลงไปชั้นใต้ดินแล้ว เยี่ยเทียนก็หยิบมือถือขึ้นมาโทรหาหวาจิน เขารู้ว่าหวาจินกับคนขับรถหนีออกจากเหมืองทองคำได้ ตอนนี้น่าจะกลับมาถึงโจฮันเนสเบิร์กแล้ว
“พี่จ้าว? คุณไม่เป็นอะไรใช่มั้ย? ผมโทรหาคุณตั้งนาน!”
ทันทีที่เสียงในสายดังขึ้น หวาจินแทบจะลุกไม่ขึ้น เพราะหลังจากเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเหมืองทองคำโจฮัน เนสเบิร์กให้กับผู้จัดการบริษัททัวร์ฟัง เพียงสามนาทีต่อมา ผู้จัดการที่ปฏิบัติต่อตนเป็นอย่างดีมาโดยตลอด จู่ๆ ก็ขอให้ตนกลับไปที่เกิดเหตุอีกและให้พาเยี่ยเทียนกลับมาให้ได้
แน่นอนว่าสิ่งที่ผู้จัดการขอนั้นไม่ได้ขอส่งเดช ขอแค่หวาจินสามารถพาเยี่ยเทียนกลับมาโดยที่ยังมีชีวิตอยู่ ทางบริษัทจะมอบเงินรางวัลให้หวาจินและคนขับรถคนละหนึ่งแสนดอลล่าร์สหรัฐฯ ด้วยเงื่อนไขนี้เอง ที่ทำให้หวาจินลังเลตัดสินใจไม่ได้ และถกเถียงกับคนขับรถแซ่หลิวเป็นเวลานาน
“ผมไม่เป็นอะไร ผมหลบหนีออกมาตอนที่กำลังวุ่นวาย หวาจิน ผมไม่อยากเจอกับตำรวจต่างชาติ ก็เลยจะกลับเคปทาวน์ก่อน คุณก็ถือซะว่าผมไม่เคยไปที่เหมืองทองคำนั่นก็แล้วกัน”
การระบุตัวตนของเยี่ยเทียนไม่สามารถให้ตรวจสอบได้ ประกอบกับแอฟริกาใต้เป็นกองกำลังดั้งเดิมของประเทศที่มีอำนาจเช่นอังกฤษและสหรัฐอเมริกา เยี่ยเทียนไม่ต้องการให้เกิดเรื่องซ้ำแบบที่เกิดในรัสเซียอีก อย่างนั้นก็จะถูกตรวจสอบอีกหลายประเทศแล้ว
“ตกลง แต่ว่า ผมขอร้องคุณเรื่องหนึ่ง” หวาจินพูดด้วยเสียงอ้ำอึ้งว่า “พี่จ้าว ถ้าทางบริษัทโทรศัพท์หาคุณ คุณช่วยบอกเขาได้มั้ยว่าเป็นผมกับพี่หลิวที่หาคุณเจอ? ”
เงินเดือนในแอฟริกาใต้ไม่สูงเท่าไหร่ เงินแสนสำหรับหวาจินเป็นจำนวนที่ไม่น้อยทีเดียว เขาจึงไม่อยากพลาดโอกาสนี้ไป
“ไม่มีปัญหา ผมจะพูดแบบนั้นให้นะ! ” เพราะเป็นเรื่องเล็กน้อย เยี่ยเทียนจึงรับปากไป
…………………..