คุณเยี่ย พวกเราต้องแวะเติมน้ำมันที่กาตาร์ บินจากเคปทาวน์ถึงฮ่องกงใช้เวลาประมาณ 20 ชั่วโมง และเราจะนำเครื่องขึ้นในอีกครึ่งชั่วโมงครับ ! ”
กัปตันเดินออกมาจากห้องคนขับพร้อมกับพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินอีกสามคน หลังจากชี้แจงเส้นทางและเวลาเสร็จ กัปตันพูดว่า
“ถ้าคุณเยี่ย ต้องการสิ่งใดเพิ่มเติม เรียกพวกเธอได้เสมอครับ ผมขอตัวก่อน”
“ขอบคุณครับคุณหวง รบกวนด้วยครับ ! ”
เยี่ยเทียนพูดกับกัปตันอายุสี่สิบท่านนี้อย่างสุภาพ เพราะเขาทราบดีว่า เครื่องบินลำนี้เป็นเครื่องบินส่วนตัวของมหาเศรษฐีหลี่เชาเหรินแห่งฮ่องกง เป็นเครื่องบินที่ผลิตโดยบริษัทผลิตเจ็ทส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก ใช้เวลาในการผลิตถึงสองปี ประสิทธิภาพของเครื่องบินไม่ได้แย่ไปกว่าเครื่องบินลำใหญ่เลย
เดิมทีด้วยอำนาจของถังเหวินหย่วนก็ใช่ว่าจะสามารถยืมมาได้ แต่แค่หลี่เชาเหรินได้ข่าวว่าคนที่ยืมคือเยี่ยเทียน เขาตอบตกลงและทำการส่งเครื่องบินมาที่เคปทาวน์ทันทีในวันถัดไป
“รู้สึกไม่ค่อยดีเลย หรือว่ามีบางอย่างจะเกิดขึ้น? ”
เมื่อกัปตันเดินออกไป เยี่ยเทียนมองแอร์โฮสเตสครู่นึง จากนั้นก็รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะใบหน้าของแอร์โฮสเตสทุกคนค่อนข้างมืดมัว ตรงหว่างคิ้วมีสีดำจางๆ
“หืม? เกิดอะไรขึ้นเนี่ย หรือเราตาลาย? ”
ตอนที่เยี่ยเทียนตั้งใจมองแอร์โฮสเตสอยู่ จู่ๆ ความมืดมัวบนใบหน้าของพวกหล่อนก็หายไป ลอยดำตรงหว่างคิ้วก็หายไปด้วยเช่นกัน สิ่งที่เกิดขึ้นยิ่งทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกแปลกใจ เพราะเขาไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน
“คุณเยี่ย ไม่ทราบว่ามีอะไรให้รับใช้มั้ยคะ? ”
แอร์โฮสเตสที่ถูกเยี่ยเทียนจ้องมองโค้งตัวลงมาจนเห็นร่องอกลึก น้ำหอมยี่ห้อซีเค เป็นกลิ่นที่เต็มไปด้วยความเย้ายวน และตอนนี้กลิ่นมันฟุ้งเต็มจมูกของเยี่ยเทียนไปหมด
เครื่องบินส่วนตัวลำนี้ หลี่เชาเหรินนอกจากอนุญาตให้ลูกชายคนโตใช้แล้ว ก็ไม่มีใครได้ใช้เลย แม้แต่ลูกชายคนรอง การให้คนนอกยืมยิ่งไม่ต้องพูดถึง ถ้าได้สร้างความสัมพันธ์บางอย่างที่มากกว่าเพื่อนละก็ แอร์โฮสเตสเหล่านี้ก็จะได้เข้าสู่สังคมชนชั้นกลางไปโดยปริยาย
แอร์โฮสเตสไม่เพียงแต่กำลังส่งสัญญาณผ่านร่างกาย แม้แต่เสียงที่เปล่งออกมาก็เต็มไปด้วยความเย้ายวน อยากจะคลอเคลียบนร่างกายของเยี่ยเทียนเต็มทน เหลยหู่ที่นั่งอยู่ด้านข้างก็ยังมองจนไม่อาจละสายตา
“แค่ก ๆ ขอน้ำแร่ให้ผมก็แล้วกันครับ ! ”
ท่าทางอันเย้ายวนของแอร์โฮสเตสทำให้เยี่ยเทียนที่กำลังจะตั้งสมาธิทำนาย หน้าแดงระรื่อไปหมด แล้วด้านหลังของเขาก็เป็นเบาะนั่งพิง เขาอยากจะหลบก็หลบไม่ได้ จึงทำได้เพียงมองตรงไปยังคลื่นที่อยู่ตรงหน้าแทน
“บ้าเอ้ย คนสมัยก่อน ก่อนจะเริ่มทำนายจะต้องชำระล้างร่างกายและกินเจ หรือมันจะมีพิธีกรรมนี้จริง ๆ ? ”
เมื่อสายตาเย้ายวนของแอร์โฮสเตสหายไปพร้อมกับการก้มลงไปหยิบน้ำให้เยี่ยเทียน เยี่ยเทียนรีบหันไปมองหญิงสาวอีกสองคน และพบว่าบนใบหน้าของพวกหล่อนไม่มีอะไรแล้วเช่นกัน
“ไม่น่าจะเกิดอะไรขึ้นหรอกมั้ง? ”
เยี่ยเทียนพูดพึมพำและมองแสงแดดที่สาดส่องอยู่ด้านนอก อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดจนต้องขอลงจากเครื่อง เพราะเครื่องบินลำนี้รอตนมาหลายวันแล้ว อีกอย่างการทำนายก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้มีอันตรายถึงชีวิต
“คุณเยี่ย น้ำค่ะ! ”
แอร์โฮสเตสวางน้ำลงตรงหน้าเยี่ยเทียน เมื่อเธอเห็นว่าเยี่ยเทียนไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง เธอรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยและขอตัวออกไป เธอเดินไปยืนอยู่ตรงสุดทางของฝั่งตรงข้ามกับเยี่ยเทียน พวกหล่อนเป็นแอร์โฮสเตสที่ได้รับการฝึกมาอย่างเคร่งครัด พวกหล่อนจึงไม่มีทางยั่วยวนแขกในที่สาธารณะ
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป เสียงเครื่องบินดังขึ้น เยี่ยเทียนที่กำลังเหม่อลอยได้สติกลับมา เมื่อมองไปรอบๆ พบว่าเหลยหู่หลับตาพักผ่อนไปเรียบร้อย เป็นเพราะเขาขับรถจากโจฮันเนสเบิร์กมาถึงเคปทาวน์คนเดียว
ส่วนเจียงซาน หล่อนกำลังตั้งใจดูหนังสือคำอธิบายหกสิบสี่กว้า เล่มนั้นอยู่
“เจียงซาน เป็นยังไงบ้าง? ”
ทันทีที่เยี่ยเทียนยื่นมือออกไป หนังสือเล่มนั้นถูกมือที่มองไม่เห็นดึงและลอยมาหาเยี่ยเทียน “หืม ดูถึงหกสิบกว้าแล้วเหรอ เจียงซาน เธอเข้าใจกว้าที่เขียนในหนังสือเล่มนี้หรือเปล่า? ”
แปดทิศเซียนเทียนของโจวอี้ ถึงแม้จะเป็นสมบัติอันล้ำค่าที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้ แต่ด้วยการพัฒนาของเทคโนโลยี ทำให้มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถเข้าใจความรู้อันคลุมเครือเหล่านี้ได้อย่างแท้จริง หากไม่มีอาจารย์อธิบาย คนธรรมดาก็จะไม่มีวันเข้าใจสิ่งที่อธิบายไว้ในหนังสืออย่างแน่นอน
“หนัง…หนังสือมันบินได้ยังไง ? ”
เจียงซานที่ตั้งใจอ่านหนังสือคำอธิบายหกสิบสี่กว้าอยู่ ตกใจมากกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ความตกใจของเธอก็คลายลงทันทีเมื่อเห็นว่าคนที่ทำคือเยี่ยเทียน เธอรู้ตั้งแต่ตอนที่เยี่ยเทียนพาเธอหนีออกมาจากเหมืองทองคำที่โจฮันเนสเบิร์กแล้ว
เยี่ยเทียนมองไปที่ตาของเด็กสาว เขาชูหนังสือขึ้นถามว่า “หนังสือเล่มนี้ เธออ่านเข้าใจมั้ย? ”
“เข้าใจ กว้าต่างๆ มีการรวมกันหลายแบบ ฉันสามารถจำได้หมดเหลือแค่วิธีการทำนาย ต้องทำยังไงเหรอ ”
เมื่อได้ยินเสียงของเยี่ยเทียน เจียงซานรู้สึกตื่นเต้นมาก ก็ไม่รู้ว่าทำไม เธอรู้สึกชอบเนื้อหาหนังสือมาก ถ้าเป็นคนทั่วไป อาจจะเข้าใจเนื้อหาแบบคลุมเครือ แต่สำหรับเธอแล้ว เธอสามารถเข้าใจได้หมดเลย
“อืม จำได้จริงเหรอ? ” เยี่ยเทียนขมวดคิ้วและถามต่อ “สัญลักษณ์ต้าสอดคล้องกับอะไร? ”
เจียงซานครุ่นคิดไปครู่หนึ่งตอบว่า “ต้าข่านกว้าบนคือตุ้ย ล่างคือซวิ่น ต้ากั้วกว้าระวังคำพูดคน สองหยินเหยาชื่อเสียง ความมั่นคงเสียหาย การดำรงตำแหน่งสั่นคลอน ต้าข่านกว้าดูจากคำทำนายแล้วล้วนเป็นภัยมหันต์”
“อืม แล้วสัญลักษณ์แอ่งน้ำเหนือขุนเขาล่ะ? ” เยี่ยเทียนอึ้งเล็กน้อยถามต่อ
“กว้านี้บนคือข่าน ล่างคือเกิ้น เจี้ยนกว้าเขาสูงน้ำไหล ข่านอยู่หน้า เกิ้นอยู่ท้าย อันตรายอยู่ตรงหน้า ภัยพิบัติ การเดินทางมีสิ่งกีดขวาง ข้ามเขาข้ามทะเล ข้ามแม่น้ำข้ามมหาสมุทร ท่านเยี่ย กว้านี้ไม่ใช่กว้ามงคลเหมือนกัน”
เวลาที่เยี่ยเทียนถามสัญลักษณ์ของกว้า ในสมองของเจียงซานจะมีชื่อกว้าที่สอดคล้องกันปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ตัวอักษรที่อยู่ในหนังสือ เธอสามารถจำได้อย่างแม่นยำ และแทบจะไม่ต้องคิดก็สามารถพูดออกมาได้ทันที
“เธอไม่ต้องเรียกฉันว่าท่านเยี่ย เรียกชื่อฉันก็พอ ! ” เยี่ยเทียนตะลึงเข้าไปอีก และถามต่ออีกว่า “เธอลองอธิบายสัญลักษณ์แอ่งน้ำแทรกซึมใต้ปฐพีซิ ! ”
ความรู้สึกของเยี่ยเทียนในตอนนี้ คงใช้คำว่าตะลึงต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ตัวเขาเองก็มีพรสวรรค์ด้านคัมภีร์โจวอี้มาก แต่ตอนที่ยังไม่ได้รับการสืบทอดความรู้จากบรรพจารย์ เขาต้องอ่านหนังสืออย่างหนักตั้งแต่ห้าขวบ จากนั้นถึงจะเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของกว้าต่างๆ ได้
แต่เจียงซานใช้เวลาดูกว้าไปไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น เธอสามารถตอบคำถามได้อย่างฉะฉาน ซึ่งพรสวรรค์ระดับนี้ แม้แต่เยี่ยเทียนเองก็ยังต้องนับถือ แต่เขาก็ยังแอบไม่เชื่อจึงได้ถามต่อ
เจียงซานแอบมองเยี่ยเทียน และพูดออกไปด้วยเสียงแผ่วเบาว่า
“ถ้า…ฉันไม่เรียกชื่อคุณ แล้วฉันจะเรียกคุณว่าอะไรได้อีก ? ”
เจียงซานรู้สึกกดดันมากเวลาเผชิญหน้ากับเยี่ยเทียน มันไม่ต่างจากสัตว์ป่าที่อ่อนแอกว่าแต่เกิดไปเจอกับราชาแห่งขุนเขา ถ้าเมื่อครู่ไม่ได้จมอยู่กับหนังสือ แม้แต่หายใจก็ยังไม่กล้าหายใจแรง เพราะกลัวจะไปรบกวนเยี่ยเทียน
“เรียกพี่…..หรือไม่ ก็เรียกอาเยี่ยก็แล้วกัน”
ตอนแรกเยี่ยเทียนอยากให้เจียงซานเรียกว่าพี่ แต่ก็เปลี่ยนใจ คนมีพรสวรรค์ระดับนี้ ถ้าไม่รับเข้าสำนัก แล้วอาจารย์หลี่ซั่นหยวนมารู้ทีหลังจะต้องปีนออกมาจากหลุมศพและมาจัดการตนอย่างแน่นอน
“อา…เยี่ย ? ” เจียงซานมองหน้าเยี่ยเทียน รู้สึกแปลกที่ต้องเรียกแบบนี้ แต่ความหวังดีที่เยี่ยเทียนแสดงออกมา ทำให้ความกลัวของหญิงสาวลดลงไปเยอะทีเดียว
“เด็กโง่เอ้ย เรียกฉันว่าอาจารย์ก็ได้”
เหลยหู่ที่หลับตานั่งพักอยู่แถวหน้าสุด ได้ยินทุกคำพูดในการสนทนาของสองคนนั้น และรู้จักหลี่ซั่นหยวนผู้มีลำดับศักดิ์สูงจนน่าเกรงขาม เพราะเป็นบรรพจารย์ของสำนักเสื้อป่านนั่นเอง ฉะนั้นตำแหน่งของเยี่ยเทียนจึงไม่ต้องพูดถึงเลย
คำถามของเยี่ยเทียนเมื่อครู่ แม้แต่เหลยหู่เองก็ฟังออกว่าเขาต้องการรับศิษย์เข้าสำนัก แต่ว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กแก่แดดโตเกินวัย เติบโตที่ต่างประเทศ และไม่รู้จักความสัมพันธ์ระหว่างลูกศิษย์กับอาจารย์ของประเทศจีน
“อาจารย์ ? ” เจียงซานมองหน้าเยี่ยเทียนด้วยความงุนงง แม้เธอจะเข้าใจภาษาจีน แต่เธอไม่เข้าใจความหมายของคำนี้เลย
เยี่ยเทียนโบกมือพูดว่า “เธอเติบโตที่ต่างประเทศ อาจะไม่ชินกับประเพณีของประเทศจีน ลองใช้ชีวิตอยู่ที่ฮ่องกงสักระยะหนึ่งก่อน จะรับเธอเข้าสำนักหรือไม่เดี๋ยวค่อยว่ากันใหม่ ! ”
ความรู้ที่สำนักเสื้อป่านสืบทอดต่อกันมา เป็นอารยธรรมเก่าแก่อันหนึ่งของประเทศจีน ความรู้ที่จะต้องเรียนมีมากมาย เยี่ยเทียนอยากให้เด็กผู้หญิงเข้ามาใช้ชีวิตในนี้ก่อน จากนั้นค่อยสอดแทรกความรู้เข้าไปให้เธอ สุดท้ายค่อยนำเธอเข้ามาอยู่ใต้สำนักเดียวกัน
“ค่ะ” เจียงซานกลัวเยี่ยเทียนเหมือนกลัวเสือ เมื่อเยี่ยเทียนพูดเช่นนี้ เธอจึงขานตอบกลับไปอย่างเชื่อฟัง
“เดี๋ยวฉันจะสอนวิชาทำนายจากเหรียญแบบง่ายให้ก่อน”
เยี่ยเทียนรู้สึกเบื่อจึงได้หยิบเหรียญทองแดงออกมาและพูดว่า “วิธีการทำนายมีหลายแบบ แบบที่ใช้บ่อยก็คือวิธีทำนายโดยใช้เหรียญทองแดง เธอต้องจำคำนี้ไว้ให้ดี ไม่จริงจังอย่าทำนาย ไม่จริงใจอย่าทำนาย อย่าทำนายซ้ำ”
สีหน้าของเยี่ยเทียนจริงจังมากขึ้น เขาวางเหรียญไว้ตรงฝ่ามือและพูดต่อว่า มือซ้ายอยู่บน มือขวาอยู่ล่าง รวมจิตเอาไว้ ขยับนับครั้ง ทิ้งลงที่พื้น ด้านหลังจำนวนคี่เป็นหยิน ด้านหน้าจำนวนคี่เป็นหยาง หลังหนึ่งหน้าสองคือหยินอ่อน กว้าเปลี่ยนเป็นหยาง หลังทั้งสามเหรียญเป็นหยินแก่ กว้าไม่เปลี่ยน…”
เยี่ยเทียนตั้งใจสอนเจียงซานและไม่คิดจะบิดปังแอร์โฮสเตสกับเหลยหู่ ส่วนการตอบสนองของเจียงซานเป็นที่พึงพอใจสำหรับเขามาก เพราะใช้เวลาไปเพียงหนึ่งชั่วโมงกว่า เจียงซานก็สามารถจำจุดสำคัญของการทำนายจากเหรียญทองแดงได้จนขึ้นใจแล้ว
………………………