หญิงสาวเอียงศีรษะพลางคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดเสียงดังฟังชัดว่า “ฉันชื่อเจียงซาน เป็น…เป็นศัตรูกับลุงเยี่ย!”
เจียงซานก็ไม่รู้ว่าตัวเองกับเยี่ยเทียนเป็นอะไรกันแน่ ถึงแม้เยี่ยเทียนจะสอนวิชาการทำนายโชคชะตาให้เธอ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าจะรับเธอเป็นศิษย์โดยตรง ถ้าดูจากเรื่องที่เกิดเรื่องที่โจฮันเนสเบิร์กแล้ว ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนก็คือศัตรูกันจริงๆ
“ศัตรู? เธอเป็นศัตรูกับเขาได้เหรอ?!”
หลังจากได้ฟังคำพูดของหญิงสาวแล้ว ทุกคนที่อยู่ในท้องเรือจึงกลั้นหัวเราะไม่อยู่ อย่าว่าแต่โก่วซินเจียและคนอื่น ที่ไม่เชื่อ แค่พวกลูกเรือสองสามคนนี้ก็ยังส่ายหน้าไม่หยุด การปกป้องของเยี่ยเทียนที่มีต่อเจียงซานนั้น ทุกคนก็ประจักษ์แก่สายตา แล้วจะเป็นศัตรูได้อย่างไรเล่า?
เมื่อเห็นคนอื่นต่างขำขันตัวเอง เจียงซานจึงอดกำหมัดแน่นไม่ได้ แล้วพูดว่า “จริงๆ นะ ลุงเหลยหู่ให้ฉันมาช่วยสู้กับเยี่ยเทียน แต่ว่า…แต่ว่าลุงเยี่ยเทียนเก่งมาก ฉันจึงสู้เขาไม่ไหว!”
“เหลยหู่? ไอ้เด็กไม่รู้จักสำนึกผิดคนนี้”
เมื่อได้ยินชื่อของเหลยหู่ ถังเหวินหย่วนจึงสบถด่าอย่างไม่พอใจ แล้วจึงหันหน้าไปพูดกับลูกเรือสองสามคนว่า “ตรงนี้ไม่มีธุระของพวกคุณแล้ว กลับไปพักผ่อนเถอะ เรื่องของเครื่องบินฉันได้คุยกับหลี่เซิงแล้ว จะไม่มีการโทษพวกคุณอย่างแน่นอน!”
หลังจากที่ได้รับข่าวว่าเครื่องบินตกนั้น ถังเหวินหย่วนก็รีบต่อสายถึงหลี่เชาเหรินทันที เดิมทีเขาอยากจะขอชดเชยค่าเสียหายเครื่องบินทั้งลำให้อีกฝ่าย แต่หลี่เชาเหรินกลับพูดว่าเป็นเพราะเขาที่ไม่ตรวจสอบความปลอดภัยให้เรียบร้อย ไม่ว่าจะพูดอย่างไรเขาก็ไม่ต้องการค่าชดเชยจากถังเหวินหย่วน
“ขอบคุณคุณถังครับ อย่างนั้นพวกเราขอลงไปก่อนนะครับ!”
คำพูดของถังเหวินหย่วนทำให้หวงหมิงเต๋อและคนอื่นๆ ถอนหายใจโล่งอก และเหมือนกับที่หลี่เชาเหรินได้พูดไว้ การที่ไม่สามารถตรวจพบระเบิดที่อยู่บนเครื่องบินนั้นเป็นความผิดพลาดของพวกเขาจริงๆ และสองสามวันที่ผ่านมาพวกเขาต่างก็พากันอกสั่นขวัญแขวนตลอด จนกระทั่งวินาทีนี้ถึงได้โล่งใจ
หลังจากรอให้หวงหมิงเต๋อและคนอื่นออกไปแล้ว โก่วซินเจียจึงมองไปที่หญิงสาวแล้วพูดว่า “แม่หนู ลองพูดมาสิว่าเกิดอะไรขึ้น?”
“คืออย่างนี้ค่ะ ลุงเหลย…”
เจียงซานอยู่กับแม่บุญธรรมชาวยิปซีมาตั้งแต่เด็ก เดินทางไปหลายสถานที่ ดังนั้นการสังเกตลักษณะสีหน้าท่าทางของคนจึงไม่ต้องพูดถึง เธอมองโก่วซินเจียและคนอื่นก็รู้แล้วว่าล้วนเป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดาทั้งนั้น จากนั้นเธอจึงเล่าเรื่องที่ตัวเองประสบพบเจอรวมทั้งการรู้จักเยี่ยเทียนให้ฟังอีกรอบ
“สามารถอ่านใจคนได้ แถมยังควบคุมการเคลื่อนไหวของคนได้?”
เจียงซานพูดสิ่งเหล่านี้ออกมา โก่วซินเจียและคนอื่นๆ จึงอดมองหน้ากันไม่ได้ ถ้าหากไม่ใช่เพราะหญิงสาวคนนี้ทำสีหน้าจริงจังล่ะก็ พวกเขาคงจะคิดว่าเด็กผู้หญิงคนนี้กำลังล้อเล่นกับตัวเองอยู่เป็นแน่
“น้องสาว อย่างนั้นเธอรู้ไหมว่าตอนนี้ฉันคิดอะไรอยู่?” คนที่อยู่ท้องเรือนอกจากโจวเซี่ยวเทียนแล้ว ล้วนแต่เป็นชายชราอายุเจ็ดสิบแปดสิบปี จึงไม่มีใครอยากถือสาหญิงสาวคนนี้ ดังนั้นจึงมีแต่โจวเซี่ยวเทียนเท่านั้นที่ถามออกมา
“นาย?” เจียงซานมองโจวเซี่ยวเทียนหนึ่งที แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นขาวซีดอย่างฉับพลันพลางพูดว่า “ฉันมองนายไม่ออก นายกับลุงเยี่ยเหมือนกัน เหมือนภายในร่างกายจะมีม่านพลังบางอย่าง ที่สามารถปิดกั้นพลังจิตของฉันได้!”
เมื่อครู่เจียงซานปล่อยพลังจิตของตัวเองไปที่โจวเซี่ยวเทียน แต่กลับถูกพลังชี่กลุ่มหนึ่งตีกลับมา เนื่องจากพลังยุทธของโจวเซี่ยวเทียนกับเยี่ยเทียนนั้นห่างกันไม่มากนัก เขาจึงไม่อาจควบคุมการโจมตีกลับของตัวเองได้อย่างสิ้นเชิง ทำให้เจียงซานต้องเสียพลังอยู่บ้าง
พอหยุดไปสักพัก จู่ๆ เจียงซานจึงชี้ไปที่ถังเหวินหย่วนแล้วพูดว่า “คุณปู่ท่านนี้กำลังคิดว่าเยี่ยเทียนฆ่าคนเยอะเกินไปหรือเปล่า ถึงได้ถูกสายฟ้าฟาดเช่นนี้?”
เจียงซานพูดคำเหล่านี้ออกไปอย่างไม่ต้องกังวล ทันใดนั้นความสนใจของคนที่อยู่ในชั้นนี้ก็มองไปที่ถังเหวินหย่วน โดยเฉพาะโจวเซี่ยวเทียนที่มองตาแก่คนนี้ด้วยสีหน้าที่ไม่เป็นมิตร ถ้าหากไม่ใช่เพราะถังเหวินหย่วนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเยี่ยเทียนมาตลอด เขาอาจจะมีความอยากจะซัดตาแก่คนนี้ก็เป็นได้
“เห้ย เธอ…อย่าพูดมั่วสิ!”
ถังเหวินหย่วนหน้าแดงก่ำเพราะคำพูดของเจียงซาน แล้วจึงรีบโบกมือเป็นพัลวันพลางพูด “ทุกคนก็รู้ความสัม พันธ์ของฉันกับเยี่ยเทียน ฉันไม่ได้สาปแช่งเขา แต่เรื่องนี้…มันก็น่าแปลกจริงๆ ตอนที่คนมากมายกระโดดลงมาจากเครื่องบิน แต่ทำไมสายฟ้าที่ถึงฟาดลงไปที่เยี่ยเทียนคนเดียว?”
“ที่น้องถังพูดก็ถูก แต่ฉันเชื่อว่าศิษย์น้องเยี่ยต้องไม่เป็นไร” โก่วซินเจียพยักหน้า พร้อมกับสีหน้าที่เคร่งขรึมขึ้นมาเล็กน้อย เขาเคยได้ยินเยี่ยเทียนพูดถึงเรื่องที่ติงหงถูกลงทัณฑ์จากสวรรค์ตอนที่อยู่ไซบีเรีย ไม่แน่ถังเหวินหย่วนอาจจะทายถูกก็ได้
“เอ๋ เธอทายแม่นจริงๆ ใช่ไหม?” ถังเหวินหย่วนได้สติกลับมา แล้วจึงมองไปที่เจียงซานด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“เธอไม่ได้เดา บางทีอาจจะมีพลังงานบางอย่างกระมัง?”
เมื่อเห็นความสามารถที่ผิดแผกไม่เหมือนใครของเยี่ยเทียนจนชิน โก่วซินเจียจึงรู้ว่า บนโลกใบนี้ยังมีเรื่องที่มหัศ จรรย์อีกมาก ถึงแม้เจียงซานจะอายุน้อย แต่ไม่แน่เธออาจจะมีดวงชะตาอะไรบางอย่างก็เป็นได้
“ไหนลองเล่ามา เธอรู้ได้ยังไงว่าศิษย์น้องเยี่ยไม่เป็นอะไร?”
จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อ โก่วซินเจียจึงมองไปที่เจียงซานอีกครั้ง ความสามารถในการอ่านใจคนของเธอเมื่อครู่ ทำให้ทุกคนเชื่อมั่นในคำพูดของเธอมากขึ้น
“ฉันพอจะทำนายเรื่องบางอย่างได้ ถึงแม้จะหาลุงเยี่ยไม่เจอ แต่เขาไม่น่าจะเป็นอะไรค่ะ…”
เจียงซานคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดถึงความสามารถในการทำนายอนาคตจากความฝันของตัวเองออกมา เมื่อวานเธอฝันเห็นเยี่ยเทียนรับเธอเป็นศิษย์ ดังนั้นจึงเชื่อมั่นว่าเยี่ยเทียนยังไม่ตายอย่างแน่นอน
“มีเรื่องแบบนี้ด้วย?” โจวเซี่ยวเทียนได้ยินจนอึ้งอ้าปากค้าง แล้วพูดพึมพำว่า “นี่…นี่เชื่อถือได้ใช่ไหม?”
โก่วซินเจียส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ฉันเชื่อที่เธอพูด ศิษย์น้องเล็กไม่น่าจะเป็นอะไร บางทีอาจจะถูกคลื่นซัดไปก็ได้?”
ผู้สืบทอดของสำนักเสื้อป่าน นอกจากเยี่ยเทีนแล้ว ก็นับว่าพลังยุทธของโก่วซินเจียนั้นบริสุทธิ์ที่สุดแล้ว แม้แต่หนานไหวจิ่นก็ยังด้อยกว่าเขาเล็กน้อย ถ้าหากไม่ใช่เพราะไม่มีพลอยวิเศษที่เหมาะสมในการฝึกวรยุทธของเขา เกรงว่าโก่วซินเจียคงจะบรรลุระดับเซียนเทียนไปนานแล้ว
ตอนที่เจียงซานพูดนั้น โก่วซินเจียได้ปล่อยกระแสพลังชี่ไปในร่างกายของหญิงสาว แล้วจึงพบพลังงานลึกลับบางอย่างกำลังเคลื่อนไหว หลอมรวมกับคำพูดของเจียงซาน ทำให้โก่วซินเจียเข้าใจอย่างฉับพลัน การที่เยี่ยเทียนพาผู้หญิงคนนี้กลับมาฮ่องกง คงอยากจะรับเธอไว้เป็นลูกศิษย์กระมัง
“อาจารย์ลุง คำพูดพวกนี้ท่านก็เชื่อ?” ด้วยความเป็นเด็กของโจวเซี่ยวเทียนและยังคิดถึงอาจารย์เป็นอย่างมาก พอได้ยินแล้วจึงพูดออกมาทันควัน
“แกนี่ วันๆ เอาแต่ฝึกกำลังถือแต่ทวน เคล็ดวิชาลับของอาจารย์ไม่รู้จักเรียนเลยสักนิด…” สายตาของโก่วซินเจียนั้นเฉียบแหลม สิ่งที่เยี่ยเทียนมองออก เขาก็ต้องมองออกเป็นธรรมดา แล้วจึงพูดอย่างทอดถอนใจว่า “ต่อไปวิชาของศิษย์น้องเล็ก ไม่แน่อาจจะตกอยู่ที่ตัวของเจียงซานก็เป็นได้”
“อาจารย์ลุง ท่านหมายความว่า อาจารย์จะรับเธอเป็นศิษย์เหรอ?” โจวเซี่ยวเทียนก็ไม่ได้โง่ จึงรีบตอบสนองกลับทันที พลางมองไปที่หญิงสาวด้วยใบหน้าที่เหลือเชื่อ
ถึงแม้เจียงซานจะมีอายุสิบห้าสิบหกปี แต่หน้าตาและรูปร่างผอมแห้ง ดูแล้วไม่ต่างจากเด็กอายุสิบสองสิบสามปี ยกเว้นแววตาที่ดูฉลาดหลักแหลมแล้ว ก็มองไม่เห็นถึงความแตกต่างจากคนอื่น
“เรื่องของศิษย์น้องเล็กคงต้องรอไปก่อน แม่หนู เธอยินดีที่จะอยู่กับพวกเราไหม?”
ผู้สืบทอดสำนักเสื้อป่านมีน้อย เมื่อได้เจอต้นกล้าที่ดี หากไม่ได้กลัวว่าเยี่ยเทียนคิดจะทำอย่างอื่นล่ะก็ โก่วซินเจียก็เกิดความคิดอยากจะรับเธอเป็นลูกศิษย์เช่นกัน
“ฉันยินดีค่ะ!” เจียงซานพยักหน้าอย่างแรง แม่บุญธรรมชาวยิปซีคนนั้นของเธอปีนี้ก็อายุสี่สิบกว่าแล้ว ช่วงนี้เธอเจอผู้ชายคนหนึ่งในฝรั่งเศส ทั้งสองคนต่างรักกันอย่างดูดดื่ม เจียงซานจึงไม่อยากเป็นก้างขวางคอของพวกเขา
“โอเค งั้นพวกเราก็รอเยี่ยเทียนอยู่ที่นี่อีกหนึ่งเดือน ถ้ายังไม่มีข่าวคราวของเขาอีก ก็ค่อยกลับฮ่องกง!” ตั้งแต่มาถึงที่นี่ ใบหน้าของโก่วซินเจียเพิ่งจะเผยรอยยิ้มเป็นครั้งแรก
“อาจารย์ลุง ถ้าหากหนึ่งเดือนแล้วยังหาอาจารย์ไม่เจอล่ะครับ?” โจวเซี่ยวเทียนร้อนใจมาก แม้ว่าจะไม่พูดถึงความรู้สึกที่เขามีต่ออาจารย์ แต่ถ้าหากตามหาเยี่ยเทียนไม่พบ เขาเองก็ยังไม่รู้ว่าจะกลับไปบอกกับคนที่บ้านอย่างไร
โก่วซินเจียเข้าใจอารมณ์ของโจวเซี่ยวเทียน เขาจึงโบกมือแล้วพูดว่า “ฉันจะไปพูดกับทางนั้นเอง ชีวิตและความตายถูกกำหนดโดยโชคชะตา และฉันเชื่อว่าศิษย์น้องเล็กจะต้องไม่เป็นไรแน่นอน!”
ดูเหมือนโก่วซินเจียจะปล่อยวางแล้ว เนื่องจากโหง่วเฮ้งของเยี่ยเทียนไม่ใช่คนอายุสั้น ยิ่งมีวรยุทธลึกล้ำก็ยิ่งทำให้ธาตุทั้งห้าแห่งฟ้าดินยิ่งโดดเด่น ดวงชะตาของเขาไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองจะมองได้อย่างแจ่มชัด ดังนั้นตัวเขาเองและคนอื่นๆ จึงพยายามช่วยกันตามหา ถ้าหากตามหาไม่เจอจริงๆ อย่างนั้นก็ต้องรอให้เยี่ยเทียนโผล่หน้าออกมาเอง
พอพูดกันรู้เรื่องแล้ว โก่วซินเจียจึงเป็นฝ่ายโทรหาซ่งเวยหลันกับเยี่ยตงผิง บอกว่าเยี่ยเทียนจะไม่มีเวลาติดต่อพวกเขาระยะหนึ่ง ทว่าซ่งเวยหลันรวมทั้งอวี๋ชิงหย่า ต่างก็เคยชินแล้ว ถึงแม้จะหงุดหงิดใจไปบ้าง แต่ก็ทำได้เพียงเท่านี้
วันเวลาผ่านไปทุกวัน สุดท้ายก็ไม่มีใครตามหาร่องรอยของเยี่ยเทียนกับเหลยหู่เจอ แม้แต่ร่มชูชีพกับเก้าอี้ดีดตัวก็หายไป เหมือนดังที่เจียงซานพูดไว้ก่อนหน้า ถึงแม้ทุกคนจะร้อนใจ แต่ก็ไม่ได้เป็นห่วงอะไรมาก
…
ย้อนกลับไปวันที่เครื่องบินตก จู่ๆ ร่างกายท่อนล่างก็ปรากฏช่องว่างแยกออกมา ทำให้เยี่ยเทียนตอบสนองไม่ทัน แล้วจึงเผลอเอาตัวเหลยหู่ติดเข้าไปด้วย
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น? หืม? ทะ..ทำไมที่นี่ถึงอัดแน่นไปด้วยปราณวิเศษขนาดนี้?”
เมื่อครู่ตอนที่ถูกสายฟ้าฟาดจนเปิดทางนั้น เยี่ยเทียนเกือบสูญเสียปราณแท้ที่อยู่ภายในร่างกายไปทั้งหมด แต่หลังจากที่เขาหลุดเข้ามาอยู่ในอากาศ พลังเข้มข้นอันแข็งแกร่งเกือบจะเหมือนกับการดูดซับพลังปราณจากพลอยวิเศษเข้าไปโดยตรงนั้น ได้แทรกซึมเข้าไปในรูขุมขนนับหมื่นทั่วร่างของเขา ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกสบายจนอดร้องครวญครางออกมาโดยไม่รู้ตัว
ทว่าระยะเวลาสั้นๆ เพียงชั่วพริบตาเดียว ปราณวิเศษที่หมดไปเมื่อครู่ได้รับการเติมเต็มกลับมาแล้ว กระทั่งจุดตันเถียนของเยี่ยเทียนรู้สึกเหมือนจะพองโต ทำให้ตันเถียนหยินหยางกำลังเคลื่อนไหวอย่างบ้าคลั่ง แปลงพลังปราณที่อยู่ภายในร่างกายให้เป็นปราณแท้
“เอ๊ะ เหลยหู่เป็นอะไร?”
เมื่อรู้สึกว่าร่างกายยังคงหล่นลงไปข้างล่างเรื่อยๆ เยี่ยเทียนจึงมองไปรอบๆ ตอนที่มองเห็นด้านล่างของร่างกาย เขาจึงอดตกตะลึงไม่ได้ เพราะข้างล่างนั้นคือใบหน้าที่แดงก่ำของเหลยหู่ ดูเหมือนร่างกายของเขาจะยืดขยายออกมา จากคนที่สูงหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรกว่าๆ ตอนนี้เหมือนจะสูงถึงสองเมตรแล้ว
“โอ้โหนี่คือร่างกายยังดูดซับอาหารไม่พอใช่ไหม?!”
เยี่ยเทียนจึงรู้สึกได้ทันที ปราณวิเศษของที่นี่ สำหรับเขาแล้วคือการบำรุงขั้นสูง แต่สำหรับเหลยหู่ที่มีพลังยุทธระดับพลังแฝงนั้น คือยาพิษที่เร่งให้ตายเร็ว หากเป็นอย่างนี้ต่อไป ไม่ถึงสามนาที เหลยหู่จะต้องถูกปราณวิเศษพวกนี้อัดแน่นจนตัวระเบิดตายได้
จากนั้นเยี่ยเทียนจึงยื่นมือไปคว้าร่างที่สูงใหญ่ของเหลยหู่มาอยู่ตรงหน้า ปล่อยเกราะพลังของปราณแท้ออกมากลุ่มหนึ่งเพื่อห่อหุ้มทั่วร่างของเหลยหู่เอาไว้ ขณะเดียวกักระแสของปราณวิเศษก็ล้นออกมาจากตัวของเหลยหู่ มุดเข้าไปอยู่ในเกราะพลังเช่นกัน
…………………………..