ที่ที่อยู่ใกล้หาดทรายนั้น มีปราณวิเศษค่อนข้างเบาบาง เสียงของไม้พายที่กระทบกับน้ำ ทำให้แพชูชีพค่อยๆ ลอยห่างออกไป เหนือน้ำทะเลมีชั้นหมอกและไอน้ำระเหยขึ้นมา
“ท่านเยี่ย ที่นี่คือที่ไหนกันแน่ครับ?”
หลังจากพายเรือออกไปได้สองร้อยกว่าเมตร ทั้งสองคนจึงออกห่างจากหาดทรายแล้ว ทั่วทั้งแพชูชีพถูกม่านหมอกสีขาวที่ก่อตัวจากปราณวิเศษห้อมล้อมเอาไว้ทั้งหมด จึงไม่สามารถมองเห็นทางข้างหน้าว่ายังห่างอีกเท่าไรถึงจะพ้นจากเขตของหมอกสีขาวนี้โดยสิ้นเชิง กระทั่งทางกลับก็มองไม่ชัดแล้ว
“ฉันจะรู้ได้ยังไง?”
เยี่ยเทียนหันหลังกลับไปมองครั้งหนึ่ง หลังจากที่มั่นใจว่าชายหาดยังไม่พ้นสายตาของเขา แล้วจึงพูดว่า
“เหลยหู่ เกี่ยวกับตำนานโบราณของประเทศจีนของพวกเรานั้น แกเชื่อบ้างไหม?”
“ตำนานเทพนิยาย? คุณหมายถึง ‘ไซอิ๋ว’ พวกนั้นเหรอครับ?”
เหลยหู่ได้ยินแล้วจึงนิ่งไปครู่หนึ่ง พร้อมกับมีสีหน้าที่ไม่เห็นด้วย พูดว่า
“ท่านเยี่ย นิทานพวกนั้นจะไปเชื่อได้ยังไง? ถ้าบนโลกนี้ยังมีคนเหาะได้ พลิกภูเขาคว่ำแม่น้ำได้จริง แล้วประเทศจีนจะเผชิญกับเหตุการณ์พันธมิตรแปดชาติกับการรุกรานของญี่ปุ่นได้ยังไงเล่า?”
ถึงแม้เหลยหู่จะเติบโตที่ต่างประเทศ แต่การซึมซับบรรยากาศของวัฒนธรรมประเพณีโบราณแบบนั้นที่ไชนาทาวน์ ยังมีมากกว่าภายในประเทศเสียอีก นิยายผีสางเทวดาอย่าง “ไซอิ๋ว” นั้น ไม่รู้ว่าเขาฟังมากี่รอบแล้ว
ขณะเดียวกับที่รับการสืบสานประเพณีของประเทศจีน เหลยหู่ก็ได้รับผลกระทบจากวัฒนธรรมตะวันตกเช่นเดียวกัน ดังนั้นเขาจึงไม่เชื่อเรื่องเทวดาภูตผีปีศาจอยู่แล้ว เรื่องพวกนี้ยังสู้ตำนานผีดูดเลือดของชาติตะวันตกไม่ได้เลย
“เอ๋? ไม่ใช่สิ ท่านเยี่ยท่าน…ท่านก็เหาะกลางอากาศได้ไม่ใช่หรือ?”
เหลยหู่ที่ปากไว จู่ๆ ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ แล้วจึงใช้สายตามองไปที่เยี่ยเทียนทันที ก่อนที่ตัวเองจะสลบไปนั้น เมฆหมอกได้ลอยอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเยี่ยเทียน เช่นนั้นก็คือการเหาะเหินเดินอากาศในตำนานไม่ใช่หรือ?
“พลิกภูเขาคว่ำแม่น้ำก็ดูจะมากเกินไป แต่การเหาะเหินอยู่บนก้อนเมฆนั้น ไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียวที่ทำได้”
เยี่ยเทียนส่ายหน้าเล็กน้อย เพราะวานรขาวที่อาศัยอยู่ในภูเขาลึกของเสินหนงเจี้ยก็ยังใช้วิชาตัวเบาได้ ถึงแม้ตัวเองจะอยู่ระดับเซียนเทียนขั้นกลางแล้ว เมื่อต้องเจอกับวานรขาวตนนั้นแล้ว ใช่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายได้ และยิ่งไม่ต้องพูดถึงติงหงที่มาจากเขตแดนแห่งทวยเทพ
ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้น เหตุใดยอดฝีมือพวกนั้นถึงไม่ยอมลงมือ นี่ก็คือคำตอบที่เยี่ยเทียนกำลังตามหาอยู่ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถตอบคำถามเหลยหู่ได้
“งั้นผมก็คือกบในกะลาครอบ!”
เหลยหู่ก้มหน้าลงอย่างเศร้าใจ พฤติกรรมที่ตัวเองแก่งแย่งช่วงชิงอำนาจในสมาคมหงเหมินนั้น เมื่ออยู่ในสายตาของเยี่ยเทียนแล้ว จะเป็นเรื่องที่น่าขำมากเพียงใด?
“ไม่ได้การแล้ว ถ้าหากยังพายเรือไปอีกล่ะก็ กลัวว่าพวกเราจะหลงทาง!”
ทันใดนั้นเยี่ยเทียนจึงหยุดพาย มองไปข้างหน้าด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม เวลานี้เขาได้พายเรือออกมาไกลสี่ห้าร้อยเมตรแล้ว แต่หมอกที่อยู่บนผิวน้ำกลับยิ่งหนามากขึ้น ส่วนเกาะที่อยู่ข้างหลังนั่นก็ยิ่งเลือนราง ความสามารถในการมองเห็นอย่างเยี่ยเทียน ก็สามารถมองเห็นลักษณะคร่าวๆ ได้เพียงเท่านั้น
“ท่านเยี่ย อย่างนั้นจะทำยังไงดีครับ?
เหลยหู่หันไปมองด้านหลัง ด้วยความสามารถในการมองเห็นของเขา จึงไม่สามารถมองเห็นเกาะนั่นได้อีก เบื้องหน้าขาวโพลนสุดลูกหูลูกตา สีหน้าของเหลยหู่จึงเปลี่ยนไปในบัดดล พวกเขามีอาหารและน้ำดื่มพอประทังชีวิตได้สามสี่วัน ถ้าหากหลงทางอยู่ในทะเลล่ะก็ อย่างนั้นคงมีจุดจบที่น่าเวทนาเป็นอย่างมาก
เยี่ยเทียนครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดว่า “พวกเราพายไปตามแนวขวางกันเถอะ ดูว่าเกาะนี้มันใหญ่แค่ไหนกันแน่”
สำหรับอาหารและน้ำดื่มนั้น เยี่ยเทียนไม่ได้มีความต้องการสูงเท่าไร เนื่องจากวรยุทธของเขาในตอนนี้ แม้ว่าจะไม่ทานอาหารและน้ำดื่มเป็นเวลาสามสี่เดือนกระทั่งนานกว่านั้นก็ไม่เป็นไร เพียงแค่อาศัยพลังแห่งฟ้าดินของที่นี่ก็พอที่จะเติมเต็มพลังงานทั้งหมดของเขาที่สูญเสียไปได้
แต่เยี่ยเทียนก็ไม่กล้าเสี่ยงพายเรือไปข้างหน้าอีก เพราะบนเกาะแห่งนี้มีสัตว์ดุร้ายจำนวนมาก ใครจะรู้ว่าในทะเลที่กว้างใหญ่แบบนี้จะมีด้วยหรือเปล่า ถ้าหากมีตัวที่เก่งระดับมังกรดำโผล่ออกมา ใช่ว่าเยี่ยเทียนจะต้านทานได้ ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงไม่กล้าออกห่างจากชายหาดมากนัก
เยี่ยเทียนมองเหลยหู่ จึงรู้ว่าเขาเกือบจะประคองตัวเองไม่ไหวแล้ว จึงรีบพูดทันทีว่า “แกนอนหลับสักตื่นเถอะ หากมีอะไรฉันจะปลุกแกเอง ”
“ได้ครับ ท่านเยี่ย ผมเชื่อคุณครับ!”
เหลยหู่พยักหน้าทำตัวไม่ถูก ถึงแม้แขนขาดจะเสียเลือดไม่มาก แต่ก็เป็นอาการบาดเจ็บที่ร้ายแรงสำหรับเขามากเช่นกัน บวกกับความตึงเครียดที่สูง ทำให้จิตใจเหลยหู่แทบจะพังทลาย
น้ำทะเลบริเวณแถบนี้เงียบสงบเป็นอย่างมาก เกือบจะไม่มีคลื่นใดๆ เลยสักนิด ไม่ใช่ทะเลมรณะเสียทีเดียว เพราะยังพอมีฝูงปลาที่กระโดดไปมาบนผิวน้ำอยู่บ่อยครั้ง คอยดูดกลืนพลังแห่งฟ้าดินที่อยู่ในนั้น
เยี่ยเทียนเองก็ได้ปล่อยพลังจิตไปในทะเลเช่นกัน เพียงแต่ถูกจำกัดด้วยค่ายกล ทำให้พลังจิตของเขาปล่อยไปไกลสุดได้เพียงหนึ่งร้อยเมตรเท่านั้น จึงไม่สามารถตรวจสอบจุดสิ้นสุดของบริเวณหมอกสีขาวได้เลย ทว่าสิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนรู้ สึกสบายใจก็คือ น้ำทะเลที่อยู่ด้านล่างของเยี่ยเทียนนั้น ไม่มีสัตว์น้ำที่น่ากลัวอะไร อย่างน้อยก็ยังรับประกันความปลอดภัยจากสัตว์น้ำได้ชั่วคราว
การพายเรืออยู่บนทะเลที่ไร้ลมไร้คลื่นแบบนี้ สำหรับเยี่ยเทียนแล้วไม่ได้มีความยากเย็นอะไร และด้วยพลังของเขา แม้ว่าจะต้องพายสิบวันสิบคืนติดต่อกันก็ไม่มีปัญหา นอกจากนี้เยี่ยเทียนได้ปล่อยปราณแท้ออกมาเล็กน้อยหลังจากที่ใช้ไม้พายลงน้ำทุกครั้ง เพื่อทำให้แพชูชีพพุ่งไปข้างหน้าเร็วเหมือนลูกศรที่แหลมคม
น้ำทะเลเงียบสงัด เหลยหู่นอนหลับไปนานแล้ว เสียงโห่ร้องกึกก้องราวกับฟ้าลั่นกับเสียงไม้พายที่ต่อเนื่องกันเป็นระลอก เยี่ยเทียนโบกไม้พายซ้ำๆ กันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จากนั้นเพ่งพลังจิตโดยให้แพชูชีพเป็นจุดศูนย์กลางปกคลุมบริเวณที่อยู่ในระยะสี่ห้าสิบเมตรทั้งหมดเอาไว้
หลังจากผ่านไปสองชั่วโมงกว่า พระอาทิตย์ที่อยู่บนท้องฟ้าก็ตกลงไปอีกฟากหนึ่งของเกาะ พระจันทร์โผล่ขึ้นมา แสงจันทร์ที่สุกสกาวส่องสะท้อนไปบนผิวน้ำทะเล เกิดแสงสีสาดส่องเป็นชั้นๆ ขึ้นมา หมุนเป็นเกลียวขึ้นไปอย่างเลือนลาง ทำให้เกาะที่อยู่ห่างไกลราวกับเป็นภูเขาเซียนก็ไม่ปาน
เวลาผ่านไปห้าชั่วโมง พระจันทร์เต็มดวงก็ลอยอยู่ด้านบนของแพชูชีพ จากระยะห่างของเกาะกว่าหนึ่งร้อยเมตร เสียงเห่าหอนดังออกมาเป็นระยะ เยี่ยเทียนพบว่า มีปราณบริสุทธิ์ออกมาจากพระจันทร์ล้นทะลักไปที่เกาะแห่งนั้น
ค่ำคืนนี้ช่างไม่สงบเสียจริง เสียงคำรามของสัตว์ป่าชนิดต่างๆ ดังขึ้นมาจากในเกาะอยู่บ่อยครั้ง และดูเหมือนจะมีสัตว์ดุร้ายบางส่วนที่ต่อสู้กัน ฝ่ายชนะก็จะโห่ร้องคำรามฝ่ายที่แพ้ก็จะร้องครวญครางจวนใกล้ตาย เห็นได้ชัดว่า ณ ที่ตรงนั้นมีการต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย
“สรุปแล้วที่นี่มันคือที่ไหนกันแน่?”
พอผ่านไปอีกสี่ห้าชั่วโมง ดาวประกายพรึกก็เริ่มส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้า แสงพระจันทร์ค่อยๆ ลดหายไป ถึงแม้แสงแดดที่ร้อนแรงจะไม่สามารถส่องผ่านชั้นหมอกสีขาวได้ แต่ก็ยังให้แสงสว่างไปทั่วพื้นที่แห่งนี้ ในเกาะก็กลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง
สุดท้ายเยี่ยเทียนก็ไม่สามารถทำให้เกาะนั่นอยู่พ้นสายตาของตัวเอง นอกจากนี้เขายังหาจุดพิกัดที่เป็นต้นไม้ใหญ่ที่มีลักษณะพิเศษต้นหนึ่ง ขณะที่เขาออกมาจากที่นั่นในตอนแรกไม่เจอแล้ว
แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงมากกว่าก็คือ เขาไม่หลับไม่นอนมากว่าสิบชั่วโมง แถมยังใช้ปราณแท้ขับเคลื่อนแพชูชีพให้ลอยไปข้างหน้าตลอด อย่างน้อยก็ต้องลอยออกไปไกลมากกว่าแปดสิบกิโลเมตรขึ้นไป แต่สุดท้ายเยี่ยเทียนก็ไม่สามารถมองเห็นจุดเริ่มต้นที่ออกมาได้อยู่ดี ความใหญ่ของเกาะแห่งนี้ เกินความคาดหมายที่เยี่ยเทียนคิดไว้เสียอีก
ปลาทะเลความยาวประมาณครึ่งเมตรตัวหนึ่งกระโดดขึ้นมาบนผิวน้ำ เยี่ยเทียนดีดนิ้วชี้มือขวาเกิดเสียงดัง “พลุก!” แล้วดวงตาของปลาทะเลตัวนั้นก็ถูกเจาะเป็นรู เขายื่นมือออกไป ปลาทะเลนั่นก็ตกไปอยู่ข้างลำตัวของเหลยหู่ที่ยังนอนหลับสนิท
เหลยหู่เองก็เหนื่อยล้าสุดขีด ความเคลื่อนไหวเสียงดังขนาดนี้ เขาทำเพียงแค่ลืมตา แล้วมองไปที่เยี่ยเทียนอย่างงุนงง พลางเอ่ยถามอย่างสะลึมสะลือว่า
“มีอะไร? เกิดอะไรขึ้นครับ?”
“ตื่นได้แล้ว ที่นี่เต็มไปด้วยปราณวิเศษ ถ้าไม่นั่งฝึกวรยุทธก็น่าเสียดายแย่!”
เยี่ยเทียนโบกมือซ้าย แล้วไม้พายก็ตวัดน้ำทะเลขึ้นมา สาดลงไปบนใบหน้าของเหลยหู่
“แกกินปลาตัวนี้ซะ เพิ่งจะเข้าขั้นพลังสับเปลี่ยน จำเป็นต้องบำรุงกำลังด้วยอาหารเสียหน่อย สิ่งมีชีวิตที่อยู่ที่นี่ได้รับการหล่อเลี้ยงของปราณวิเศษเป็นระยะเวลานาน จึงเป็นของบำรุงชั้นดี ถ้าอยู่ข้างนอก ต่อให้มีเงินก็ซื้อไม่ได้”
ถึงแม้ในทะเลจะไม่มีสัตว์ประหลาดอย่างฉงฉีอาศัยอยู่ แต่ปลาพวกนี้ก็ดูดกลืนพลังแห่งฟ้าดินของที่นี่เป็นอาหารอยู่ทุกวัน โครงสร้างที่อยู่ภายในร่างกายจึงเปลี่ยนแปลงไปนานแล้ว เลือดเนื้อทุกตารางนิ้วต่างก็แฝงไปด้วยพลังปราณอันบริสุทธิ์ อีกทั้งไม่ต้องผ่านการปรุงเป็นยาก็สามารถดูดซับเข้าไปภายในร่างกายได้โดยตรง
ถ้าหากปลาพวกนี้อยู่ที่โลกภายนอกล่ะก็ นำไปตุ๋นเป็นน้ำแกงให้คนได้กิน เกรงว่าสรรพคุณของมันยังจะดีกว่าลูกท้อที่เยี่ยเทียนได้มาจากภูเขาฉางไป๋ซานเสียอีก โดยเฉพาะผู้สูงวัย มีสรรพคุณสามารถเพิ่มอายุขัยลดความเสื่อมชราของร่างกายอย่างรวดเร็วได้อีก
“เฮ้อ ตอนนี้ผมเป็นคนพิการแล้ว!”
เมื่อถูกน้ำทะเลเย็นๆ สาดใส่หน้า เหลยหู่จึงตื่นขึ้นมาทันที ใช้แขนขวายันตัวให้ลุกขึ้นด้วยความเคยชิน แต่กลับตัวเอียง แล้วจึงนึกได้ว่าแขนขวาของตัวเองขาดไปแล้ว ทำให้ใบหน้าของเขามีสีหน้าหม่นหมองออกมาอย่างช่วยไม่ได้
เยี่ยเทียนส่ายหน้าแล้วพูดว่า
“อย่าดูถูกตัวเองแบบนี้ หากมองในมุมมองของคนธรรมดาแล้ว ถือว่าแกอยู่จุดสูงสุดของพวกเขาแล้ว ลูกกระสุนปืนทั่วไปก็ทำอะไรแกไม่ได้”
การเสียแขนไปข้างหนึ่ง สำหรับคนธรรมดาทั่วไป เป็นเรื่องที่ยอมรับยากจริงๆ แต่เหลยหู่ที่เข้าสู่ขั้นพลังสับเปลี่ยนนั้น อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องพลังความสามารถอย่างอื่น เพียงแค่อายุขัยก็ยังเพิ่มขึ้นอีกนับสิบปี ใช่ว่าแขนข้างเดียวจะสามารถแลกได้?
“ขอบคุณท่านเยี่ยที่ชี้แนะครับ!”
เมื่อเยี่ยเทียนพูดแบบนี้ เหลยหู่จึงเข้าใจทันที ดังสำนวนที่ว่ามีทุกข์ก็มีสุขได้ มีสุขก็มีทุกข์ได้เช่นกัน ถือว่าเขาควรได้เวลาฟาดเคราะห์สักครั้งก็แล้วกัน
“เนื้อปลานี้ หวานสดจริงๆ !”
เหลยหู่ใช้ขาข้างหนึ่งเหยียบไปที่ปลาตัวใหญ่ แล้วกางเล็บมือทั้งห้า ฉีกออกมาให้เป็นแผ่นเนื้อปลาขนาดใหญ่ เขาเองก็ไม่รังเกียจกลิ่นเหม็นคาวอะไร ยัดเข้าปากเคี้ยวมันขึ้นมา เนื้อปลาที่สดใหม่พอเข้าปากก็ละลายทันที เหลยหู่จึงกินอย่างเอร็ดอร่อยเสียงดังจ๊อบแจ๊บ
ผ่านไปสักพักหนึ่ง ปลาตัวใหญ่น้ำหนักประมาณยี่สิบกว่าชั่งก็ลงไปอยู่ในท้องของเหลยหู่หมด หลังจากโยนก้างปลาทิ้งลงในทะเลแล้ว เหลยหู่จึงมองเยี่ยเทียนและถามว่า
“ท่านเยี่ยครับ พวกเราถึงไหนกันแล้วครับ?”
“ฉันกำลังพายไปรอบๆ เกาะ ความใหญ่ของเกาะแห่งนี้ เกรงว่าจะไกลเกินกว่าที่แกกับฉันจินตานาการไว้แน่ๆ…”
เยี่ยเทียนถอนหายใจ เขามีความรู้สึกบางอย่าง ถ้าหากตัวเองอยากจะหาพิกัดที่ตัวเองทิ้งเอาไว้ในหัว วิธีที่ดีที่สุดคือพายวนกลับไป และถ้าคิดอยากจะวนไปรอบๆ เกาะ เกรงว่าถ้าใช้เวลาไม่ถึงสามถึงห้าเดือนก็คงทำไม่ได้
“ใหญ่ขนาดนั้นเชียว?”
หลังจากได้ยินการคาดเดาของเยี่ยเทียนแล้ว เหลยหู่จึงตกใจอ้าปากค้าง เพราะเมื่อก่อนการล้อมแนวชายฝั่งของญี่ปุ่นทั้งประเทศ ก็ใช้เวลาไม่ถึงสามถึงห้าเดือน ความใหญ่ของเกาะแห่งนี้ ยังจะใหญ่กว่าประเทศหนึ่งเชียวหรือ?
เยี่ยเทียนโบกมือแล้วพูดว่า
“นี่เป็นเพียงการคาดเดาของฉัน แกไปนั่งฝึกวรยุทธเถอะ!”
“ครับ ท่านเยี่ย”
เหลยหู่รู้ว่าตัวเองก็ช่วยอะไรไม่ได้ จึงรีบนั่งขัดสมาธิบนแพชูชีพทันที ทว่าใบหน้าของเขากลับเผยสีหน้ากระอักกระอ่วนออกมา แล้วเอ่ยพูดว่า
“ท่านเยี่ย ผม…ผมไม่รู้ว่าต้องฝึกยังไงครับ?”
…………………………..