“ไม่ว่าจะพูดยังไง ที่นี่น่าจะเคยมีคนมาหรือเคยอาศัยอยู่ก่อน!”
เนื่องจากกระท่อมไม้สร้างอยู่ติดริมชายหาด จึงไม่ต้องกลัวการลอบโจมตีของสัตว์ประหลาดบนเกาะที่มาอย่างกะทันหัน เยี่ยเทียนส่ายหน้าจากนั้นจึงขจัดความผิดหวังที่อยู่ในใจออกไปพาเหลยหู่เดินเข้าไปที่กระท่อมไม้
หรือบางทีเพื่อป้องกันน้ำขึ้นน้ำลง พื้นด้านล่างของกระท่อมหลังนี้จึงว่างโล่ง เสาไม้นับสิบหนาเท่าเอวปักลงไปบนดินอย่างลึกมาก เพื่อดันส่วนอื่นให้ทรงตัวขึ้นมา
ด้านขวาของกระท่อมไม้ มีเนินเขาเล็กๆ โผล่ขึ้นมา ทั้งสองข้างสูงประมาณเจ็ดแปดเมตร มีถนนเส้นเล็กคดเคี้ยวทอดตรงขึ้นไป ซ่อนตัวอยู่ในต้นไม้เขียวชอุ่มที่อยู่บนภูเขา
บนเนินเขามีพืชต่างๆ ขึ้นเต็มไปหมด ต้นไม้ใบหญ้าเขียวสดมีชีวิตชีวา หมู่นกกาขับเสียงเพลงอยู่บนต้นไม้ เมื่อเทียบกับหาดทรายที่เต็มไปด้วยพลังอาฆาตยามที่เยี่ยเทียนขึ้นฝั่งมาตอนแรกแล้ว ที่นี่ราวกับเป็นดินแดนสวรรค์อย่างไม่ต้องสงสัย
ถึงแม้กระท่อมไม้จะสร้างอย่างหยาบๆ กระทั่งไม่ได้ลอกเปลือกไม้ออก แต่กลับมีความเป็นศิลปะบางอย่างที่พูดออกมาไม่ถูก ให้คนรู้สึกเหมือนหลอมรวมเข้าไปอยู่กับธรรมชาติ เถาวัลย์เขียวห่อหุ้มไปทั่วกระท่อม ไอหมอกโอบล้อมไปทั่วบริเวณ ราวกับอยู่ในแดนสุขาวดีก็ไม่ปาน
“อาจารย์ พวกเราจะเข้าไปไหมครับ?”
หลังจากเสียแขนขวาไปแล้ว นิสัยของเหลยหู่จึงนิ่งมากขึ้น เขารู้ว่าเกาะสวรรค์ที่เรียกว่า “เผิงไหล” นั้น ความจริงแล้วเต็มไปด้วยอันตรายทุกย่างก้าว หากเดินพลาดเพียงนิดเดียว สิ่งที่ต้องแลกทั้งหมดก็คือชีวิตของตัวเอง
เยี่ยเทียนพยักหน้า แล้วพูดว่า
“ลองเข้าไปก็ได้ เพราะข้างในไม่มีคน และที่นี่ก็อยู่ใกล้กับค่ายกลของชายหาด จึงไม่มีสัตว์ดุร้ายกล้าเข้ามาที่นี่!”
ช่วงสี่ห้าวันที่ผ่านมานี้ เยี่ยเทียนพายเรือไปตามแนวชายเกาะในระยะห่างเกือบหนึ่งพันไมล์ จึงสามารถมองเห็นว่าบนแนวชายฝั่งเกือบทั้งหมด ล้วนแต่มีโครงกระดูกของบรรดาสัตว์ดุร้าย นี่จึงเป็นการพิสูจน์ว่าชายหาดคือเขตหวงห้ามของสัตว์ดุร้ายพวกนั้น
“เหลยหู่ ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกพลังยุทธหรือนักพรตที่แสวงหาความสงบ ล้วนต้องมีจิตใจที่หาญกล้าไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด ถ้าหากแกมองจุดนี้ไม่ขาด ทั้งชีวิตของแกก็คงอยู่ได้แค่นี้”
เมื่อมองเหลยหู่ที่แสดงสีหน้าหวาดกลัว เยี่ยเทียนจึงเหยียบเท้าข้างหนึ่งขึ้นบนบันไดไม้ที่อยู่หน้ากระท่อม และไม่รู้ว่าบันไดไม้นี้ทำจากวัสดุไม้อะไร ถึงมีความแข็งแรงทนทานผิดปกติ เยี่ยเทียนเหยียบขึ้นไปก็มีน้ำหนักเกือบแปดสิบกิโลกรัมแล้ว แต่ก็ไม่เกิดเสียงดังใดๆ ออกมา
“แกร๊ก!”
ใช้มือผลักประตูที่ทำจากไม้ทั้งบานฝุ่นก็ลอยมาปะทะหน้าทันที เยี่ยเทียนจึงใช้พลังจิต เกิดเป็นระลอกคลื่นทั้งร่างกาย ฝุ่นพวกนั้นที่เหมือนจะลอยอยู่บนตัวของเยี่ยเทียน ความจริงแล้วมันถูกเยี่ยเทียนใช้ปราณแท้ปกป้องร่างกายและกั้นไว้ให้อยู่ข้างนอก
“เหลยหู่ แกอย่าเพิ่งขึ้นมา!”
สาเหตุที่เยี่ยเทียนไม่ได้ใช้ปราณแท้ปัดให้ฝุ่นเหล่านั้นกระจายตัวออกไป ก็เพราะกลัวว่าจะทำลายสิ่งของชิ้นอื่นที่อยู่ในกระท่อม สถานที่ที่ถูกปิดร้างไม่มีอากาศถ่ายเทเป็นเวลานานหลายปี จู่ๆ เมื่อสัมผัสกับอากาศ จะทำให้วัตถุที่อยู่ภายในเกิดการเสื่อมสลายในชั่วพริบตา และนี่ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงสำหรับการขุดค้นทางโบราณคดี
กระท่อมไม้มีทางเข้าหน้าหลังสองทาง ในห้องที่เยี่ยเทียนกำลังยืนอยู่ มีโต๊ะไม้หนึ่งตัวกับเก้าอี้ไม้หนึ่งตัววางอยู่ และตรงมุมหนึ่ง ก็มีมู่เจี่ยน (ตำราบันทึกทำจากไม้) ที่วางเรียงเป็นระเบียบสูงกว่าหนึ่งเมตร
นี่จึงเป็นสาเหตุหลักที่เยี่ยเทียนไม่กระทำการใดอย่างผลีผาม เพราะบนโลกใบนี้ สิ่งที่บุบสลายได้ง่ายที่สุดนอกจากกระดาษแล้ว ก็คือพวกวัสดุไม้ และช่วงนี้เฟอร์นิเจอร์สมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงก็ถูกสร้างกระแสทำให้ราคาแพงลิบลิ่ว นอกจากวัสดุไม้มีชื่อเสียงและราคาแพงแล้ว ส่วนใหญ่ก็ยากที่จะรักษาสภาพเดิมไว้ได้
“หืม? หรือว่าฉันคิดมากไป!”
เมื่อประตูเงียบเสียงได้พักหนึ่ง หลังจากที่รอให้อากาศที่อยู่ในกระท่อมถ่ายเทสะดวกแล้ว ทันใดนั้นเยี่ยเทียนจึงพบว่า ทุกอย่างในห้องยังคงเหมือนเดิม เขาจึงอดกลั้นหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
การสร้างกระท่อมหลังนี้มีความหยาบเป็นอย่างมาก ช่องรอยต่อระหว่างไม้ไม่ติดกันสนิท ยากที่จะเทียบกับสุสานโบราณเหล่านั้นได้จริงๆ แม้ว่าเยี่ยเทียนจะไม่ได้เปิดประตูห้อง อากาศภายในก็ยังถ่ายเทสะดวกเหมือนเดิม การกระทำก่อนหน้าของเขานั้นถือว่าไม่มีความจำเป็นเลย
เนื่องจากเยี่ยเทียนยืนบังอยู่หน้าประตู เหลยหู่จึงไม่รู้สถานการณ์ที่อยู่ภายในกระท่อม หลังจากที่เห็นเยี่ยเทียนยืนอยู่นานแล้วแต่ก็ไม่เดินเข้าไปในกระท่อมเสียที เขาจึงอดเอ่ยปากถามไม่ได้
“อาจารย์ ข้างในมีอะไรเหรอครับ? ทำไมถึงไม่เข้าไปล่ะ?”
“ไม่มีอะไร แกขึ้นมาสิ อย่าลืมนะ ห้ามแตะต้องวัตถุใดๆ ที่อยู่ในกระท่อม!”
เยี่ยเทียนหันไปมองครั้งหนึ่ง แล้วจึงยกเท้าเดินเข้าไปในกระท่อมไม้ ไม่รู้ว่าที่นี่เป็นเพราะได้รับการหล่อเลี้ยงจากปราณวิเศษนานแรมปีหรือเปล่า และวัสดุที่ใช้สร้างกระท่อมไม้หลังนี้ก็ไม่รู้ว่าสร้างขึ้นมาจากปีไหน ถึงได้มั่นคงแข็งแรงขนาดนี้ ไม่มีการผุพังบุบสลายใดๆ เลย
“กองเศษไม้พวกนี้มากมายทำไมนักหนา?” หลังจากเดินตามเยี่ยเทียนเข้าไปแล้ว เหลยหู่จึงหมดความสนใจทันที เพราะโต๊ะท่อนยาวกับของที่วางทั้งหมดนั้น ล้วนเป็นมู่เจี่ยน (ตำราบันทึกทำจากไม้) ซึ่งเหลยหู่ไม่รู้ว่านี่คือหนังสือโบราณของคนสมัยก่อน จึงรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก
“พวกไม่เล่าเรียนหนังสือ แกอย่าแตะของในนี้นะ!”
เยี่ยเทียนขึงตาใส่เหลยหู่อย่างไม่สบอารมณ์ แล้วจึงเดินไปที่ด้านหน้าของโต๊ะไม้ ยื่นมือไปหยิบมู่เจี่ยนที่มีความยาวประมาณสามสิบเซนติเมตร กว้างประมาณแปดเซนติเมตร ซึ่งสลักตัวหนังสืออยู่บนนั้นเต็มไปหมดขึ้นมาอย่างระมัดระวัง
“นักบวชลัทธิเต๋า ตั้งชื่อตามฟ้า ตามพื้นดิน เหมือนมนุษย์ และสิ่งมีชีวิตต่างๆ เกิดกลไกการขับเคลื่อนของ หยิน หยาง ก่อกำเนิดความมหัศจรรย์ ตั้งชื่ออู๋จี๋ เกิดไท่จี๋ อู๋จี๋นั้นไร้ชื่อ ไร้นาม เป็นต้นกำเนิดของสวรรค์และโลก ไท่จี๋มีชื่อ มีนาม เป็นมารดาของสรรพสิ่ง”
พออ่านตัวหนังสือที่อยู่ในมู่เจี่ยนพวกนี้แล้ว ใบหน้าของเยี่ยเทียนจึงเปลี่ยนเป็นความแปลกประหลาดทันที
“นี่…นี่มันคือ ‘ทฤษฎีเต๋า’ ที่เขียนไว้เป็นตำราของลัทธิเต๋าไม่ใช่หรือ? แต่…แต่ทำไมมันถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ?”
“อาจารย์ อะไรคือ ‘ทฤษฎีเต๋า’ ครับ?”
เหลยหู่ชะโงกศีรษะเข้าไปมองมู่เจี่ยน แต่กลับพบว่าในนั้นไม่มีตัวหนังสือที่เขาอ่านออกสักตัว
“พูดไปแกก็ไม่เข้าใจ ดูเองก็แล้วกัน อย่ารบกวนฉัน”
เยี่ยเทียนโบกมือ ตอนนี้เขากำลังสงสัยว่าตัวเองคิดผิดหรือเปล่าที่รับเหลยหู่เป็นลูกศิษย์? เพราะคนที่ไม่เล่าเรียนหนังสือคนนี้ ไม่รู้ว่านอกจากฐานะที่เขาเป็นลูกชายของเหลยเจิ้นเทียนแล้ว เขาขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าของสมาคมหงเหมินได้อย่างไร?
“เพราะไร้ชื่อจึงมีชื่อ เมื่อฟ้าเกิด ดินเกิด คนเกิด สิ่งมีชีวิตก็เกิดเช่นกัน จึงเป็นที่กล่าวขานของคนสืบมา…”
หลังจากไล่เหลยหู่ออกไปแล้ว เยี่ยเทียนจึงหยิบมู่เจี่ยนที่อยู่ข้างตัวขึ้นมาอีกครั้ง แล้วจึงมีสีหน้าของความตกตะลึงสุดขีด พลางพูดพึมพำว่า “ใช่แล้ว เหมือนกับตำรา ‘ทฤษฎีเต๋า’ ที่ฉันเคยอ่านไม่ผิดแน่ หรือว่าจะมีคนเคยมาที่นี่จริงๆ?”
ทันใดนั้นเยี่ยเทียนส่ายหน้าอีกครั้ง “แต่…เป็นไปไม่ได้ เพราะคนนั้นเมื่อเทียบกับตอนนี้ก็มีอายุสองสามร้อยปี และตามตำนานก็บอกว่าได้ดับขันธ์สลายเป็นเซียนไปแล้ว อย่างนั้นเขาจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงเล่า?”
“เฮ้ย?!! อาจารย์ ที่…ที่นี่มีคน!”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังสับสนกับตัวหนังสือที่อยู่บนมู่เจี่ยนนั้น จู่ๆ ก็มีเสียงร้องแหลมดังขึ้นมาข้างหู เดิมทีเหลยหู่จะมีเสียงที่ทุ้มแหบมาก แต่ตอนนี้กลับทำเสียงสูงเหมือนเสียงผู้หญิง
“มีคน? เป็นไปไม่ได้!”
เยี่ยเทียนไม่ได้ตำหนิเหลยหู่ เพราะการตอบสนองอย่างแรกของเขาคือเป็นไปไม่ได้
เนื่องจากก่อนที่จะเข้าไปในกระท่อมไม้ เยี่ยเทียนได้ใช้พลังปราณชีวิตสัมผัสสถานการณ์ที่อยู่ภายในหลายครั้งแล้ว หลังจากที่เข้าสู่ระดับเซียนเทียนขั้นกลาง เยี่ยเทียนมีความมั่นใจมาก แม้แต่ติงหงที่ขาดอีกขั้นเดียวก็จะบรรลุจินตันสำเร็จมหามรรคนั้น ก็ไม่สามารถซ่อนเร้นลมหายใจของตัวเองได้ทั้งหมด
ในหัวจึงเกิดการคิดทบทวนหลายครั้ง แล้วเยี่ยเทียนจึงขยับใต้เท้าอย่างรวดเร็ว ดึงเหลยหู่ที่ยืนบังหน้าประตูไปอยู่ด้านข้าง พลางมองเข้าไปข้างใน จากนั้นเขาเองก็ตกตะลึงงันทันที
ถึงแม้จะมีเถาวัลย์ปกคลุมอยู่เต็มหลังคา แต่แสงแดดที่ทอดยาวไม่ขาดสายก็ยังเล็ดรอดผ่านตามช่องว่างของต้นพืช ทำให้ภายในกระท่อมมีแสงสว่างเป็นอย่างมาก เยี่ยเทียนสามารถมองเห็นได้ชัดเจน ว่าภายในกระท่อมไม้ที่มีขนาดเจ็ดแปดตารางเมตร มี “คน” หนึ่งคนนั่งอยู่ในนั้นจริงๆ!
และรูปร่างของคนนี้ก็สูงใหญ่มาก แม้ว่าจะนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น ก็ยังสูงเท่าเอวของเยี่ยเทียน ผมยาวประไหล่ ปิดบังใบหน้าไปเกือบครึ่ง สวมชุดนักพรตเต๋า ที่มีรอยปะเต็มไปหมด เท้าที่สอดอยู่ระหว่างหัวเข่าทั้งสองนั้น ได้สวมรองเท้าฟางขาดๆ คู่หนึ่งที่โผล่ให้เห็นนิ้วหัวแม่เท้า
“เป็นคน แต่ดับขันธ์เป็นเซียนไปนานแล้ว!” หลังจากความตกตะลึงผ่านไป เยี่ยเทียนจึงทำใจให้สงบ ด้วยระยะที่ใกล้ขนาดนี้ ไม่ช้าเขาจึงรู้สึกถึงความผิดปกติ
นักพรตที่นั่งอยู่บนพื้นคนนี้ ถึงแม้ผิวหนังจะไม่ต่างจากคนภายนอก แต่เยี่ยเทียนก็สามารถสัมผัสได้ว่า บนตัวเขานั้นไม่มีลมหายใจแม้แต่นิดเดียว กระทั่งไม่ปรากฏการณ์การไหลเวียนของเลือดเลยสักนิด เหมือนกับสิ่งไม่มีชีวิตที่กลาย เป็นหินก็ไม่ปาน
“ดับขันธ์ แปลว่าอะไรครับ?”
เหลยหู่ไม่เข้าใจจึงถามขึ้นมา
“ก็คือตายแล้ว บัดซบเอ้ย ฉันว่าแกหุบปากให้ฉันหน่อยได้ไหม?” กว่าจะได้เจอนักพรตสักคนก็ไม่ง่าย แต่กลับเป็นคนที่ตายแล้ว เยี่ยเทียนจึงอดปล่อยอารมณ์ใส่เหลยหู่ไม่ได้
“ครับ อาจารย์ ผมหุบปาก ผมหุบปาก!”
เหลยหู่ขดตัวด้วยใบหน้าเหยเก แต่ก็ยังอดชะโงกศีรษะเข้าไปมองในกระท่อมไม่ได้ แล้วปากก็บ่นพึมพำว่า
“คนตายไปแล้วยังจะนั่งได้อีก? ไม่แน่อาจจะเป็นหุ่นขี้ผึ้งก็ได้?”
ความจริงนิสัยของเหลยหู่นั้นเป็นคนนิ่ง และยังมีเล่ห์เหลี่ยมค่อนข้างมาก แม้จะมีสิ่งที่ไม่เข้าใจ เขาก็จะไม่เอ่ยปากถามก่อน
แต่ไม่รู้ทำไม หลังจากที่เข้าสู่ขั้นพลังสับเปลี่ยนแล้ว อารมณ์มืดหม่นเหล่านั้นที่อยู่ในใจของเหลยหู่กลับหายไปจนหมดเกลี้ยง ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เวลาที่พูดอะไรออกมามักจะทำให้คนรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกอยู่บ่อย ครั้ง
“นี่…นี่มันเกิดเรื่องอะไรกันแน่?”
เยี่ยเทียนก็ขี้เกียจสนใจคนโง่เขลาเบาปัญญาคนนี้ จึงเดินเข้าไปหาคนนั้น ตอนที่เขาเดินอ้อมไปอยู่ด้านหลังคนผู้นี้ สีหน้าพลันเปลี่ยนไปทันที แล้วจึงร้องตะโกนออกมา ซี่งเป็นเสียงที่ไม่ต่างจากเหลยหู่ในตอนแรก?
“อาจารย์ เป็นอะไรครับ?”
หลังจากรู้จักเยี่ยเทียนแล้ว เหลยหู่ก็ไม่เคยเห็นเยี่ยเทียนหวาดหวั่นแบบนี้มาก่อน แล้วจึงรีบเข้าไปหาทันที แต่หลังจากที่เขามองร่างที่อยู่ข้างหลังอย่างชัดเจนแล้ว ทั้งตัวของเขากลับเดินถอยหลัง “ตึกๆๆ” สามก้าวติดต่อกัน แล้วร่างกายก็กระแทกไปกับกำแพงไม้ที่ไม่ค่อยจะมั่นคงอย่างแรง
“อย่าขยับ!”
หลังจากเสียง “กรึก” ดังมาจากด้านหลัง เยี่ยเทียนจึงได้สติขึ้นมาทันที เหลยหู่ที่รูปร่างสูงใหญ่ประมาณหนึ่งร้อยเก้าสิบเซ็นติเมตร หากสูงกว่านี้อีกหนึ่งเซ็นติเมตร ก็สามารถทำให้กระท่อมไม้ทั้งหลังนี้พังทลายลงมาได้
“ผม…ผมไม่ขยับครับ”
เหลยหู่ยืนตัวตรงนิ่งอยู่ตรงนั้น พร้อมกับปากที่ยังพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้นว่า
“อาจารย์ นี่…นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? คนผู้นี้เป็นคนหรือผีกันแน่ครับ?”
…………………….