คำโบราณกล่าวไว้การฝึกจิตต้องฝึกจากทางโลก แต่เยี่ยเทียนเพิ่งจะมีชีวิตเพียงยี่สิบกว่าปี ลูกหลานก็ยังไม่มี นอกจากนี้ยังต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ ถ้าหากชีวิตนี้ออกไปจากที่นี่ไม่ได้ เขายังต้องรู้สึกผิดกับแต่ภรรยาด้วย ตัวเขาเองไม่ได้ใจกว้างเหมือนกับจางซันเฟิง
ดังนั้นหลังจากที่อ่านบันทึกของจางซันเฟิงจบแล้ว เยี่ยเทียนจึงนิ่งทื่อเหมือนหุ่น ไม่สนใจแม้แต่เคล็ดวิชาในการฝึกวรยุทธทั้งชีวิตของจางซันเฟิงที่เหลือไว้ให้
ไม่รู้ว่าเยี่ยเทียนยืนนิ่งราวกับซากศพอยู่กลางห้องนานเท่าใด เขาพยายามนำขาที่หนักอึ้งเดินออกไปข้างนอก งงงวยสับสนทำตัวไม่ถูก จนกระทั่งลมเย็นๆ พัดมาปะทะใบหน้า เยี่ยเทียนถึงได้สติขึ้นมา
“อาจารย์ เป็นอะไรครับ? ข้างใน…สรุปแล้วนักพรตที่อยู่ข้างในนั้นเป็นใครกันแน่?”
หลังจากเห็นสีหน้าที่นิ่งเหม่อของเยี่ยเทียนแล้ว เหลยหู่จึงรีบวางเศษไม้ที่อยู่ในมือแล้วเดินไปหาเขา
ตอนที่เยี่ยเทียนดูมู่เจี่ยนเหล่านั้นอยู่ เหลยหู่ก็ลงไปจับปลาในทะเลมาได้สองสามตัว แล้วก่อกองไฟย่างปลาอยู่บนหาดทราย ถึงแม้ปราณวิเศษจะแฝงอยู่ในเนื้อปลาที่สดใหม่เหล่านี้อย่างเต็มเปี่ยม แต่สำหรับคนที่ใช้ชีวิตในยุคปัจจุบันก็ยังไม่ค่อยชินอยู่ดี
“นักพรตคนนั้นคือจางซันเฟิง ไม่รู้ว่าแกเคยได้ยินมาก่อนไหม?”
หลังจากได้ยินคำพูดของเหลยหู่แล้ว เยี่ยเทียนจึงตั้งสติขึ้นมาได้ อย่างน้อยก็ไม่ใช่เขาคนเดียวที่ตกอยู่บนเกาะแห่งนี้ ไม่อย่างนั้นแค่พูดถึงความเหงาก็มากพอให้คนปกติเป็นบ้าได้ และเยี่ยเทียนเองก็ไม่อยากเป็นโรบินสันในยุคปัจจุบัน
“จางซันเฟิง? ผมเคยได้ยินครับ!”
พอได้ยินชื่อนี้ เหลยหู่จึงพบว่าในที่สุดตัวเองก็สามารถพูดภาษาเดียวกันกับเยี่ยเทียนได้แล้ว จากนั้นเขาจึงพูดขึ้นด้วยความตื่นเต้นว่า
“ชื่อเดิมของจางซันเฟิงคือจางจวินเป่าใช่ไหมครับ? เดิมทีเขาเป็นเณรน้อยคนหนึ่งอยู่ในวัดเส้าหลิน ต่อมาภายหลังเนื่องจากเขาแอบเรียนวิชาของอาจารย์จึงถูกไล่ออกจากวัด แล้วมาก่อตั้งสำนักบู๊ตึ้งด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นอีกชื่อหนึ่งของวัดเส้าหลิน…”
ในแวดวงของชาวจีนโพ้นทะเล มีอยู่สองสามคนที่มีอิทธิพลมากกว่าผู้นำประเทศเสียอีก อย่างหลี่เสี่ยวหลงหรือ บรูซ ลีที่ใช้กังฟูมาผสมผสานกับภาพยนตร์ จนได้ประกาศให้คนทั้งโลกได้รู้จักว่าอะไรคือกังฟู และเป็นที่รักของชาวจีนอย่างล้นหลาม
ในเรื่องของวัฒนธรรมนั้น นวนิยายของกิมย้งก็เป็นแบบนี้เช่นกัน เกือบทุกสถานที่ที่มีคนจีนอยู่ ก็จะสามารถเห็นนิยายของกิมย้งได้ แม้แต่เจ้าตำหนักอาญาอย่างท่านเหลยก็ไม่มีข้อยกเว้น เขาเคยศึกษาอย่างหนักกับนิยายศิลปะการต่อสู้ของกิมย้งและประวัติศาสตร์ของสมาคมหงเหมินในสมัยราชวงศ์ชิงอีกด้วย
หลังจากที่เยี่ยเทียนพูดชื่อของจางซันเฟิงขึ้นมา เหลยหู่จึงรีบเชื่อมโยงกับเขาในนิยายทันที เขาชอบตัวละครที่ต่อสู้มีชื่อเสียงและฐานะขึ้นมาได้ด้วยมือเปล่ามากที่สุด จึงอ่านบทที่บรรยายถึงจางซันเฟิงอยู่หลายครั้ง
“การคาดเดาของนิยาย เป็นสิ่งที่ทำร้ายคนรุ่นหลังจริงๆ…”
เยี่ยเทียนใช้สายตาเหมือนมองคนปัญญาอ่อน กวาดมองไปบนใบหน้าของเหลยหู่อยู่นาน แล้วจึงถอนหายใจพูดว่า
“จางซันเฟิงเกิดในยุคปราชญ์ร้อยสำนัก เป็นคนยุคเดียวกับขงจื้อ เมิ่งจื้อ เขาเป็นผู้ก่อตั้งสำนักบู๊ตึ้ง แต่กับเส้าหลินนั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลยสักนิด”
“ไม่ใช่ครับ อาจารย์ กิมย้งเอาไปเขียนในหนังสือแล้ว ว่าจางซันเฟิงถูกขับไล่ออกจากวัดเส้าหลินชัดๆ”
เหลยหู่เถียงคำพูดของเยี่ยเทียนจนคอเป็นเอ็น ตอนนั้นเขาก็อ่านบทนิยายนี้เหมือนกัน แถมยังด่าว่าวัดเส้าหลินมีตาแต่หามีแววไม่
“ไปย่างปลาของแกตรงโน้นเถอะ อย่างแกจะรู้อะไรเล่า?”
เยี่ยเทียนมีความคิดมากมาย แต่คำพูดของเหลยหู่ทำให้เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ประวัติศาสตร์ที่บันทึกเป็นตัวหนังสือนั้น ไม่มีอันไหนที่เชื่อถือได้จริงๆ เหลยหู่กับกิมย้งใช้ชีวิตอยู่ในยุคเดียวกัน จึงได้รับอิทธิพลเป็นอย่างมาก หากรอให้ผ่านไปอีกสองสามยุค บางทีนิทานที่อยู่ในนิยายเหล่านั้น ก็จะกลายเป็นประวัติศาสตร์ที่แท้จริงก็เป็นได้
“ในหนังสือก็พูดแล้ว ยังจะเป็นเรื่องโกหกได้อีกหรือ?”
เมื่อได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันสองสามวัน เหลยหู่ก็รู้จักนิสัยของอาจารย์หนุ่มของตัวเองแล้ว ถึงแม้จะเย็นชาไร้ความปราณีต่อศัตรู แต่ปกติกลับเป็นคนที่เข้าหาง่าย ดังนั้นเขาจึงเริ่มที่จะกล้าพูดคุยกับเยี่ยเทียนมากขึ้น
“อาจารย์ ท่านไม่ได้กินอะไรมาสองสามวันแล้ว ปลานี่ให้ท่าน เพิ่งย่างเสร็จพอดี จะว่าไป ปลาทะเลที่นี่หวานสดดีจริงๆ นะครับ ทั้งชีวิตนี้ของผมยังไม่เคยได้กินของที่อร่อยขนาดนี้มาก่อน!”
ฝีมือในการย่างปลาของเหลยหู่นั้นไม่เลว บวกกับในถุงยังชีพก็มีเกลือปรุงอาหารและเครื่องปรุงประเภทต่างๆ หลังจากถูกเขาปรุงขึ้นมาแล้ว กลิ่นหอมกรุ่นนั้นก็ทำให้คนแทบน้ำลายไหล หลังจากยื่นปลาให้เยี่ยเทียนแล้ว เหลยหู่จึงถามว่า
“อาจารย์ คนที่อยู่ในนั้น คือจางซันเฟิงจริงๆ หรือครับ?”
“ถูกแล้ว คือจางซันเฟิง”
เดิมทีเยี่ยเทียนที่มีความอยากอาหารอยู่นิดหน่อย พอถูกเหลยหู่ถามแบบนี้จึงไม่อยากทานขึ้นมาแล้ว หลังจากวางไม้ที่เสียบปลาทะเลลงบนง่ามไม้แล้วจึงพูดว่า
“จางซันเฟิงก็ตกมาอยู่ที่นี่โดยบังเอิญเหมือนกัน เขาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่สองร้อยกว่าปีก็ยังออกไปไม่ได้ สุดท้ายจึงสลายร่างกลายเป็นเซียนไป!”
“มีชีวิตอยู่สองร้อยกว่าปี? ที่แท้ก็เป็นเซียนจริงๆ !”
เหลยหู่มีสีหน้าที่อิจฉาออกมา แต่จากนั้นก็เกิดการตอบสนองกลับ แล้วพูดอย่างตกใจว่า
“อาจารย์ ท่าน…ท่านพูดว่าไม่สามารถออกไปจากเกาะนี้ได้? อย่างนั้น…อย่างนั้นพวกเราก็ออกไปไม่ได้เหมือนกัน?”
ปีนี้เหลยหู่เพิ่งจะอายุสี่สิบต้นๆ กำลังวังชาและจิตใจกำลังอยู่ในช่วงสูงสุดของชีวิต และไม่มีความคิดที่จะสืบทอดอำนาจจากสมาคมหงเหมินอีก แต่ก็ไม่อยากอาศัยอยู่ในเกาะที่มีอันตรายทุกย่างก้าวแบบนี้ไปตลอดชีวิตเด็ดขาด หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้ว ผลกระทบที่เขาได้รับนั้นยังรุนแรงมากกว่าเยี่ยเทียนเสียอีก
เยี่ยเทียนก็พูดอย่างไม่ค่อยแน่ใจ
“บางทีหากบรรลุระดับหยวนอิง ก็อาจจะหนีออกไปจากกรงขังแห่งนี้ได้?”
วิธีการพูดของเยี่ยเทียนนั้นมาจากแนวคิดของจางซันเฟิง หากทำตามที่จางซันเฟิงได้กล่าวไว้ บนเกาะแห่งนี้มีปีศาจมากมายที่บำเพ็ญตบะเท่ากับระดับจินตันขั้นปลาย แต่กลับไม่มีตนไหนสามารถบรรลุระดับหยวนอิงได้เลย
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร บนเกาะแห่งนี้ไม่เคยมีการลงทัณฑ์สวรรค์ของระดับหยวนอิงเลย ช่วงสองร้อยกว่าปีนี้ จางซันเฟิงเคยเห็นปีศาจที่มีอายุขัยมากพยายามบุกฝ่าค่ายกลที่อยู่ขอบทะเล แต่กลับถูกค่ายกลโจมตีจนจิตสลาย ซึ่งไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ทั้งสิ้น
จากการคาดเดาของจางซันเฟิง ถ้าหากสามารถเข้าสู่ระดับหยวนอิง บางทีด้วยพลังแบบนั้นอาจจะสามารถบุกฝ่าเขตต้องห้ามของที่นี่ได้ แล้วหนีออกจากสถานที่ที่ถูกคนใช้วิชากักไว้ก็เป็นได้ เพียงแต่จางซันเฟิงกลับไม่มีโอกาสแล้ว
“ระดับหยวนอิง? นั่นคือระดับอะไร? อาจารย์ ท่านน่าจะบรรลุแล้วใช่ไหมครับ?”
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว เหลยหู่จึงโล่งอก
เพราะว่าหากยึดตามการบรรยายของจางซันเฟิงที่พูดถึงในนิยายกำลังภายในแล้ว วรยุทธของนักพรตท่านนั้นน่าจะอยู่ห่างจากเยี่ยเทียนมาก ถึงอย่างไรเหลยหู่ก็เคยเห็นเยี่ยเทียนเหยียบเมฆเหาะเหินกลางอากาศมาแล้ว ซึ่งเหมือนกับเป็นวิธีแห่งเซียนอย่างแท้จริง ส่วนเรื่องที่จางซันเฟิงมีอายุสองร้อยกว่าปีนั้น เหลยหู่กลับข้ามการพิจารณาไปโดยอัตโนมัติ
“ระดับหยวนอิง? แกก็ชมฉันเกินไปแล้ว!”
เยี่ยเทียนฝืนยิ้มออกมา
“ตอนนี้ฉันอยู่แค่ระดับเซียนเทียนขั้นกลางเท่านั้น ข้างบนยังมีระดับเซียนเทียนขั้นปลายและระดับจินตันสำเร็จมหามรรค ดังนั้นทั้งชีวิตนี้ของฉัน ก็ยังไม่รู้ว่าจะมีโอกาสบรรลุระดับหยวนอิงหรือเปล่า?”
หลังจากอ่านบันทึกของจางซันเฟิงแล้ว เยี่ยเทียนรู้สึกเหมือนสิ้นหวังจริงๆ ถึงแม้เขาจะโชคดีโดยบังเอิญหลายครั้ง แต่ก็เป็นนักพรตน้อยที่มีวรยุทธระดับเซียนเทียนขั้นกลางเท่านั้น แม้ว่าจะสามารถเข้าสู่ระดับหยวนอิงได้ เกรงว่าคงเป็นเรื่องอีกร้อยปีพันปีกระมัง จึงทำให้เยี่ยเทียนยากที่จะรับได้จริงๆ
“อย่างนั้นพวกเราก็…ก็ออกไปไม่ได้ตลอดชีวิต?”
ในที่สุดเหลยหู่จึงตระหนักถึงความรุนแรง จึงหย่อนก้นลงไปกับพื้น ปลาย่างร้อนๆ ที่อยู่ในมือก็ตกลงไปบนหน้าอกของตัวเอง ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลย
“ตื่นขึ้นมา!”
เยี่ยเทียนคำรามเสียงดังด้วยเสียงที่แฝงไปด้วยปราณแท้ ราวกับสิงโตคำราม สะเทือนจนเหลยหู่สะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ
“จางซันเฟิงออกไปไม่ได้ ใช่ว่าพวกเราจะออกไปไม่ได้เสียหน่อย!”
ดวงตาของเยี่ยเทียนแสดงถึงความแน่วแน่ออกมา พูดว่า
“เหลยหู่ นับจากวันนี้ไป แกกับฉันต้องรีบฝึกวรยุทธเราต้องมีพลังในการปกป้องตัวเองจากที่นี่เสียก่อน ไม่อย่างนั้นอย่าว่าแต่หาทางออกเลย เกรงว่าคงจะกลายเป็นอาหารอยู่ในท้องของสัตว์ดุร้ายที่อยู่บนเกาะแห่งนี้ก่อนแล้ว!”
จากบันทึกของจางซันเฟิง มีสัตว์ร้ายมากมายที่มีตบะเท่ากับระดับจินตัน พวกมันมีความแข็งแกร่งที่จะพุ่งชนค่ายกล และขอเพียงพวกมันหลบหนีได้ ต่อให้มีกำแพงฟ้าผ่าก็ไม่อาจทำให้พวกมันบาดเจ็บ นอกจากการใช้ชีวิตอยู่กลางทะเลแล้ว ถึงจะเป็นที่นี่ก็ไม่ใช่สถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด
“ครับ อาจารย์ ศิษย์จะตั้งใจฝึกอย่างจริงจัง!”
คำพูดของเยี่ยเทียนทำให้เหลยหู่มีเหงื่อเย็นไหลไปทั้งตัว การที่จะออกไปได้หรือไม่นั้น เป็นเรื่องหลังจากนี้ แต่คำขู่ที่มีสัตว์ดุร้ายอยู่บนเกาะนี้คือเรื่องจริง แขนขวาของตัวเองที่เสียไปก็คือตัวพิสูจน์ที่ดีที่สุด
เยี่ยเทียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดว่า
“จางซันเฟิงเคยท่องเที่ยวรอบเกาะแห่งนี้ เขาจะต้องเคยต่อสู้กับสัตว์ยักษ์พวกนั้นอย่างแน่นอน ระยะห่างหลายพันเมตรที่อยู่รอบกระท่อมไม้หลังนี้ก็ไม่มีซากกระดูกของสัตว์ร้ายอยู่ ถือว่าน่าจะเป็นสถานที่ปลอดภัยชั่วคราว เหลยหู่ แกก็ไปฝึกวรยุทธอยู่ในกระท่อมไม้เถอะ!”
“ไม่ครับ อาจารย์ ผมนั่งฝึกอยู่ริมชายหาดดีกว่า ที่นั่นมันอึดอัดเกินไป…”
เหลยหู่โบกมือเป็นพัลวัน เขาอยู่ในสมาคมหงเหมินก็ถือว่าเป็นคนโหดคนหนึ่ง เพียงแต่คนตายที่อยู่ในกระท่อมไม้นั้นแปลกประหลาดเกินไป ยังมีรอยแยกออกมาข้างหลัง ใครจะไปรู้ว่าวิญญาณของจางซันเฟิงนั้นยังวนเวียนอยู่แถวนี้หรือเปล่า กลัวว่าจะมาเคาะประตูคอยหลอกหลอนยามดึกดื่น?
“เสียแรงที่แต่ก่อนแกเคยเป็นถึงเจ้าตำหนักอาญา มีความกล้าเพียงแค่นี้?”
เยี่ยเทียนรู้สึกพูดไม่ออกกับคำพูดของเหลยหู่ จึงเดินไปที่กระท่อมไม้ ปากพูดไปว่า
“แกมานี่ คนโบราณว่าไว้คนตายแล้วจะต้องฝังถึงจะไปสู่สุคติภพ พวกเราช่วยขนเนื้อหนังของนักพรตท่านนี้ไปฝังกันเถอะ”
“ได้ครับ!”
คำพูดของอาจารย์จะไม่ฟังก็ไม่ได้ เหลยหู่จึงเดินตามไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจ
เยี่ยเทียนก็ไม่ได้ทำให้เหลยหู่ลำบากใจ เขาสั่งให้เหลยหู่ขุดหลุมบนเนินเขาเล็กๆ ที่อยู่ด้านหลังกระท่อม แล้วตัวเองก็อุ้มร่างที่สูงประมาณเกือบสองเมตรของจางซันเฟิงขึ้นมา
“เอ๋? นั่นคืออะไร?”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังอุ้มเนื้อหนังที่เหม็นเน่า ในเวลาเดียวกัน ก็รู้สึกว่าร่างกายท่อนล่างศพของจางซันเฟิงนั้น ราวกับมีชีวิตชีวาขึ้นมา เพียงแต่มืออุ้มจางซันเฟิงอยู่ ทำให้เยี่ยเทียนไม่มีเวลาที่ตรวจดู
“อาจารย์ นี่…คนผู้นี้ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ครับ?”
ตอนที่เยี่ยเทียนอุ้มศพของจางซันเฟิงมาถึงเนินเขา เหลยหู่ที่เพิ่งขุดหลุมลึกเสร็จ ก็ถอยกรูดไปข้างหลังติดต่อกัน พร้อมกับมีใบหน้าที่แสดงถึงความตกใจกลัว
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วจึงวางศพลงบนพื้น กลับพบว่า เดิมทีศพที่ไม่ต่างจากคนทั่วไปนั้น ได้กลายเป็นสีดำไปทั้งตัวแล้ว เนื้อหนังที่โผล่ออกมาถึงเสื้อผ้าด้านนอกนั้น ได้เน่าเปื่อยย่อยสลายอย่างรวดเร็วมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
“หรือว่าจะเกี่ยวกับความรู้สึกมีชีวิตชีวาที่รู้สึกเมื่อครู่?”
ในใจของเยี่ยเทียนผุดความคิดนี้ขึ้นมา
…………………………