“ชักช้าจริง ฉันพาแกไปดีกว่า!”
มองเห็นเยี่ยเทียนที่ออกแรงไม่คิดชีวิตแล้วก็ยังตามตัวเองไม่ทัน ภูติภูเขาจึงหยุดฝีเท้า ยื่นฝ่ามือใหญ่มาจับตัวเยี่ยเทียนไป
“ขอบคุณ!” สัมผัสได้ถึงเจตนาดีของภูติภูเขา เยี่ยเทียนจึงไม่หลบหลีก ยอมให้ภูติภูเขาประคองตัวขึ้นไปอยู่บนหัวไหล่ของมัน
หลังจากเอาตัวเยี่ยเทียนขึ้นไปแล้ว ภูติภูเขาก็เพิ่มความเร็วขึ้นอีกหลายระดับ สายลมที่ปะทะเข้ามาเกือบทำให้เยี่ยเทียนโดนพัดหล่นลงไป เลยรีบปลดปล่อยปราณแท้คุ้มกันร่างกาย ถึงสามารถยืนอยู่บนไหล่ของภูติภูเขาได้
เพราะมีเยี่ยเทียนมาด้วย ภูติภูเขาจึงไม่สามารถมุดลงใต้ดิน ทำได้แค่ห้อตะบึงไปตลอดทาง ระหว่างทางเข้าลึกไปยังใจกลางเนินเขาที่ทอดยาวติดต่อกัน ปราณวิเศษธาตุดินก็ค่อยๆ เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
ความรวดเร็วในการก้าวเท้าของภูติภูเขา ยังไวกว่าเยี่ยเทียนเหาะเหินสุดแรงเกิดหลายเท่า ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น พอหมดวัน สิ่งที่เข้าสู่สายตายังคงเป็นเทือกเขาทั่วทุกหนแห่ง นอกจากกลุ่มหญ้าเตี้ยๆ แล้ว ก็มองไม่เห็นสิ่งมีชีวิตอื่นใดอีกเลย
นอกจากธาตุไม้แล้ว ธาตุอื่นๆ ที่เหลือเมื่อถึงระดับสูงสุดล้วนถูกปิดกั้น ภายในโลกแห่งดินนี้ สิ่งที่อยู่ในสายตานอกจากก้อนหินและภูเขา ก็มีเพียงปราณวิเศษที่แผ่กระจายไปทั่วทุกทิศของแผ่นดินสีดำ
“มิน่าล่ะในอดีตจางซันเฟิงถึงใช้เวลาสิบกว่าปี กว่าจะเดินบนเกาะ “เผิงไหล” ทั่ว ถ้าหากเป็นเราล่ะก็ น่ากลัวว่าต่อให้ใช้เวลาสักร้อยปีคงยังไม่พอ!”
เยี่ยเทียนซึมซับปราณวิเศษธาตุดินบริสุทธิ์จากฟ้าดิน โดยปราศจากคำพูดใดๆ
ด้วยวิทยายุทธ์ของจางซันเฟิง ใช้เวลาสิบปีท่องเที่ยวทั่วประเทศจีนยังนับว่าเหลือเฟือ แต่บนเกาะโดดเดี่ยวกลางท้องทะเลเช่นนี้ เขากลับต้องใช้เวลายาวนาน จวบจนเวลานี้ เยี่ยเทียนถึงได้ตระหนักในความกว้างใหญ่แห่งเกาะ “เผิงไหล”
“ลงมาเถอะ ถึงแล้ว!”
หลังจากวิ่งตะบึงโดยไม่หยุดพักผ่อนมาตลอดทั้งวัน ภูติภูเขาก็หยุดฝีเท้าลง เดิมทีเขาก็ถือกำเนิดจากธาตุแห่งดิน หากว่าตามคำโบราณ ตราบใดที่ได้รับพลังจากผืนดิน เขาจะไม่มีวันสัมผัสถึงความเหน็ดเหนื่อย
“ที่นี่คือที่ไหน?”
เยี่ยเทียนก้าวลงมาจากไหล่ของภูติภูเขา รวบรวมลมปราณแล้วก้อนเมฆก็ปรากฎขึ้นใต้เท้า หอบร่างของเขาค่อยๆ ลอยสู่ลงบนผืนดิน
ต่อหน้าสายตาของเยี่ยเทียนคือยอดเขาสูงเกือบร้อยเมตร ทั้งหมดล้วนอยู่ในใจกลางทิวเขาที่ทอดยาวติดต่อกันอันพบพานได้ยากยิ่ง ยอดเขาทั้งมวลอบอวลไปด้วยปราณวิเศษแห่งธาตุดิน จนเมฆหมอกโดยรอบสี่ทิศล่องลอยขึ้น ราวกับ “เผิงไหล” ขนาดเล็กแห่งหนึ่ง
“ฉันถือกำเนิดในที่แห่งนี้เองแหละ”
ในดวงตาของภูติภูเขาฉายแววระลึกถึงอดีต ก้มหน้ามองเยี่ยเทียน กล่าวว่า
“คนผู้นั้นในอดีตก็เคยมาที่นี่เช่นกัน แต่ว่าเขาไม่เคยบอกว่าต้องการพลอยวิเศษอะไรนั่น!”
ภูติภูเขาแม้จะใสซื่อ แต่ก็ไม่โง่เง่า หลังจากมาถึงที่นี่แล้วถึงเพิ่งรู้สึกได้ว่า เมื่อเทียบกับพลังงานอันน่าหวาดหวั่นในตัวของชายคนนั้น คุณประโยชน์ของพลอยวิเศษคงมีเพียงแค่น้อยนิด
เยี่ยเทียนตอบอย่างห้าวหาญ “เขาไม่ได้ต้องการมัน แต่เป็นฉันต่างหาก เขาบอกฉันว่ามันอยู่ที่นี่!”
คำพูดของเยี่ยเทียนกลับทำให้ภูติภูเขาสงสัยอย่างที่สุด พูดออกมาด้วยน้ำเสียงอู้อี้
“ถึงแม้สิ่งของที่นี่จะไม่มีประโยชน์กับฉันมากมายนัก แต่แกก็เอาไปจนหมดไม่ได้หรอกนะ เอาไปได้อย่างมากแค่เสี้ยวหนึ่งเท่านั้น!”
“ตกลง ฉันขอแค่บางส่วนก็พอ!”
เยี่ยเทียนพยักหน้า คนเราต้องรู้จักพอถึงจะมีชีวิตยืนยาว ภายในเขตแดนแห่งธาตุดินนี้ หมัดเดียวของภูติภูเขาก็ทำให้เขาแหลกเหลวเป็นธุลี เยี่ยเทียนจึงไม่มีพื้นที่ให้ต่อรอง
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว สองเท้าของภูติภูเขาก็ย่ำลงบนพื้นดิน เรือนร่างมหึมาเดินไปยังยอดเขาร้อยเมตรลูกนั้น ทุกก้าวย่างที่เหยียบลงไป ร่างของภูติภูเขาดูราวกับสูงขึ้นหลายเมตร ตอนที่มันมาถึงหน้ายอดเขา ส่วนหัวของมันดูราวจะอยู่ระดับเดียวกับยอดเขาทีเดียว
“จงเปิดออก!”
แล้วสิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนตกตะลึงก็บังเกิด สองมือของเจ้าภูติภูเขานั่นกดลงบนยอดเขา คล้ายจะแยกภูเขาออกเป็นสองส่วน
หลังจากเสียงตะโกนก้องของภูติภูเขา ภูเขาลูกนั้นก็สั่นสะเทือนราวกับฟ้าดินแยกเป็นเสี่ยงๆ ฝุ่นดินปลิวกระจายไปทั่วทุกแห่ง หินภูเขาก้อนมหึมานับไม่ถ้วนหล่นร่วงมาจากยอดเขา เยี่ยเทียนซึ่งเดิมทีอยู่ที่เชิงเขาหายตัววับ ถอยออกไปด้านหลังนับพันเมตร
เสียง “ครืน!” ดังขึ้น เยี่ยเทียนพลันพบว่า ภูเขาลูกนั้นถูกเขาแยกออกคล้ายถูกขวานผ่าลงบนภูเขาจริงๆ รอยแยกขนาดยักษ์แตกออกเป็นแนวจากตรงกลาง จนกลายเป็นหุบเขาขนาดมหึมา
“เข้าไปสิ ของที่แกต้องการอยู่ในนั้นแหละ!”
หลังจากการกระทำเหล่านั้น สีหน้าของภูติภูเขาก็ดูเหนื่อยล้าขึ้นมาก ร่างกายหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว ตอนที่กลับมาตรงหน้าเยี่ยเทียน เหลือความสูงเพียงยี่สิบกว่าเมตรเท่านั้น
“ปราณ…ปราณวิเศษบริสุทธิ์อะไรขนาดนี้?”
กระทั่งอยู่ห่างออกมาหลายพันเมตร เยี่ยเทียนยังสามารถสัมผัสปราณวิเศษธาตุดินซึ่งแทบจะกลายเป็นของเหลวที่แผ่ออกมา ปราณแท้ภายในร่างเดือดพล่านราวกับน้ำร้อนในฉับพลัน สัญชาตญาณใกล้เคียงดั้งเดิมประเภทหนึ่ง ทำให้เยี่ยเทียนก้าวเดินไปยังภูเขาที่แยกออกเป็นสองส่วนนั้น
“นี่คงจะเป็นเส้นลมปราณวิเศษธาตุดินสินะ?”
ตอนที่เยี่ยเทียนมาถึงตรงหน้าหุบเขาราวกับรอยแยกบนฟากฟ้า ดวงตาพลันเบิกกว้าง
เส้นลมปราณธาตุดินร่างสีดำซึ่งพริ้วไหวอยู่ภายใน ส่องประกายเรืองรองคล้ายธาตุโลหะบางชนิดอยู่ตรงหน้าเขา ราวกับมังกรดินตัวหนึ่ง ยืดตัวออกมาข้างหน้าหลายร้อยเมตร คล้ายสามารถฟื้นคืนชีพทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าได้ตลอดเวลา
“นี่มันคือที่ไหนกันแน่?”
เยี่ยเทียนร้องออกมาโดยสัญชาตญาณ แต่สองขากลับเดินเข้าไปข้างในเองโดยอัตโนมัติ แค่ตอนที่เขาเหยียบเข้ามาในหุบเขา ปราณวิเศษซึ่งฟุ้งกระจายเต็มท้องฟ้าก็แผ่พุ่งออกมา ไหลหลากเข้าสู่ร่างเยี่ยเทียน
“พวกแกค่อยๆ กันหน่อยไม่ได้หรือไง?”
เยี่ยเทียนยังไม่ทันได้เคลื่อนไหวใดๆ ก็สูญเสียการทรงตัวของร่างกาย ปราณวิเศษธาตุดินอันหนักแน่นราวขุนเขา กดทับเสียจนกระทั่งนิ้วมือ ยังกระดิกไม่ได้
อีกทั้งปราณวิเศษที่หลั่งไหลเข้าสู่ร่างกาย ยังทะลวงเข้าสู่จุดตันเถียนของเยี่ยเทียนอย่างคุ้มคลั่ง ด้วยปริมาณมากมายมหาศาล จุดหยินหยางตันเถียนของเยี่ยเทียนจึงถูกทะลวงสั่นไหวอย่างฉับพลัน จนไม่สามารถควบคุมได้อย่างปกติอีกต่อไป
เมื่อสูญเสียการควบคุมปราณแท้ จึงไม่อาจข่มบังคับปราณวิเศษที่ไหลพลุ่งพล่านเข้ามาได้อีก เส้นลมปราณของเยี่ยเทียนจึงถูกทำลายไม่หยุดหย่อน กระทั่งมีดบินไร้ร่องรอยเหนือจุดตันเถียนของเขา ยังถูกกดทับจนคมมีดทื่อทึบ ไม่สามารถดูดซับปราณแท้จากภายในร่างเยี่ยเทียนได้อีกต่อไป
“ให้ตายสิ นี่คิดจะแกล้งกันใช่มั้ย? เข้ามาพร้อมกันแบบนี้ทุกที!”
หลังมีประสบการณ์หลอมรวมปราณวิเศษตรงหน้าหลายต่อหลายครั้ง เแม้เยี่ยเทียนจะไม่ตื่นตระหนก แต่ร่างกายของเขาก็ไม่อาจขยับเขยื้อนได้ อย่างไรก็ตามกลับไม่มีผลต่อสติสัมปชัญญะ เมื่อตั้งสมาธิแล้ว จิตก็แปลงร่างกลายเป็นฝ่ามือคู่ใหญ่ คว้าเอาพลอยวิเศษธาตุไม้หยิบออกมาจากกระเป๋าหนังช่วงเอว
“ว่าแล้วต้องมีประโยชน์!”
พอพลอยวิเศษเหล่านั้นถูกเยี่ยเทียนใช้จิตดึงเอาปราณวิเศษออกมา ปราณวิเศษแห่งดินที่คุกคามอยู่นั้น พลันถอนตัวออกจากกระแสลมปราณในร่างกายของเยี่ยเทียนอย่างต่อเนื่อง ราวกับพบพานศัตรูตามธรรมชาติ
เนื้อในของปราณวิเศษนั้นไม่มีสติปัญญา ปราณวิเศษที่อยู่ภายในกระแสพลอยวิเศษจึงไม่รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงในตัวของเยี่ยเทียน ยังคงพุ่งเข้าไปภายในต่ออย่างไม่คิดชีวิต และทันทีที่เข้าสู่ภายในร่างของเยี่ยเทียนแล้ว ก็ถูกปราณวิเศษธาตุไม้จากกระแสลมปราณขับไล่ออกไปทันที แต่ในขั้นตอนนี้ ปราณวิเศษธาตุไม้ก็ลดหายไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน
เวลาผ่านไป ปราณวิเศษธาตุดินในร่างของเยี่ยเทียนก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ แต่ถูกขับไปยังกลางจุดตันเถียนทั้งหมด
จุดหยินหยางตันเถียนถูกปราณวิเศษแห่งแผ่นดินอันหนักอึ้งถาโถมอย่างรุนแรง แม้ว่าหากพูดถึงคุณภาพปราณแท้ของปราณวิเศษทั้งสี่ชนิดแล้วเหนือกว่าปราณวิเศษธาตุดิน แต่เมื่อเผชิญหน้ากับปริมาณแล้ว กลับเห็นได้ชัดว่าอ่อนแอได้ถึงขนาดนี้
“ครืน!” เสียงดังกระหึ่มดังมาจากช่องท้องของเยี่ยเทียน แต่เยี่ยเทียนกลับหยิบเอาพลอยวิเศษธาตุไม้อีกชิ้นหนึ่ง ดูดซับเข้ามาโดยไม่สนใจ ขณะเดียวกันกับที่พลังชีวิตฟื้นฟูกระแสลมปราณทั่วร่าง พลังงานแข็งแกร่งจำนวนหนึ่งก็หลั่งไหลเข้าสู่จุดตันเถียนของเยี่ยเทียน
สิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนประหลาดใจก็คือ พลังงานมหาศาลนี้ ยังเหนือกว่าปราณวิเศษธาตุดินเสียอีก
ทันทีที่มันเข้ามา ก็ข่มทับปราณวิเศษธาตุดินที่แผ่กระจายทั่วจุดตันเถียนเอาไว้ จนไม่อาจรุกรานเข้ามาจากทุกทิศทาง กระทั่งปราณวิเศษธาตุดินที่อยู่ด้านนอก ก็ไม่กล้าเข้ามาในร่างกายเยี่ยเทียนอีก จุดตันเถียนที่ผิดปกติของเขา จึงค่อยๆ เริ่มควบคุมได้ทีละน้อย
“เฮ้ย ไหงหยิบพลอยวิเศษชิ้นนี้ออกมาล่ะ?”
เยี่ยเทียนมองดูแล้ว ใบหน้าก็แสดงสีหน้าประหลาดใจ พลอยวิเศษก้อนนั้นที่อยู่ใจกลางฝ่ามือเขา คือพลอยวิเศษคุณภาพดีสุดที่หยิบออกมาจากใต้ต้นไม้ยักษ์นั่นเอง จนเยี่ยเทียนเริ่มสงสัยว่าคุณภาพของมันอาจดีกว่าพลอยวิเศษคุณภาพยอดเยี่ยมเสียอีก
แต่ว่าเวลานี้เยี่ยเทียนไม่อาจใส่ใจอะไรได้มากนัก ปากน้อยๆ ของจิตดั้งเดิมซึ่งลอยอยู่เบื้องหน้าเขาเปิดอ้า ดูดซับลมปราณจากพลอยวิเศษต่อเนื่องไม่มีหยุด เพื่อคงสภาพควบคุมปราณวิเศษธาตุดินนั้นเอาไว้
อีกทั้งเมื่อฟื้นฟูการควบคุมจุดตันเถียนหยินหยางแล้ว ยังหลอมรวมปราณวิเศษธาตุดินที่อยู่ภายในจุดตันเถียนได้อีกด้วย จนกลายเป็นปราณวิเศษสีเหลืองจางที่เยี่ยเทียนไม่เคยพบเห็นมาก่อน ท่องไปทั่วทุกหนแห่งในกระแสลมปราณ
ขั้นตอนนี้เชื่องช้าอย่างยิ่ง เมื่อปราณวิเศษสีเหลืองจางเพิ่มจำนวนขึ้น เบื้องหน้าของเยี่ยเทียนคลับคล้ายปรากฎม้วนภาพหนึ่ง ทีแรกเป็นภาพอุทกภัยโรมรัน ตามมาด้วยแสงเพลิงทะยานฟ้า จากนั้นจึงเป็นภาพราวร่างอยู่ในแดนสวรรค์อันอุดมด้วยร่มเงาแมกไม้
ภาพทิวทัศน์เหล่านี้ปรากฎขึ้น ราวกับจะนำพาเยี่ยเทียนเข้าสู่โลกแห่งธาตุทั้งห้า ความรู้สึกที่ไม่อาจสัมผัสได้ในเวลาทั่วไป ทำให้เยี่ยเทียนดื่มด่ำ จนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ร่างของเขานั่งลงบนพื้น เข้าสู่สมาธิขั้นลึกโดยอัตโนมัติ
เวลาผ่านไป ผมของเยี่ยเทียนค่อยๆ ตกลงมาสู่หัวไหล่ บนศรีษะและร่างของเขา เต็มไปด้วยฝุ่นละอองหนาเตอะ มองแล้วราวกับรูปปั้นหินร่างมนุษย์ นั่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว
ขณะที่ประกายจากพลอยวิเศษธาตุดินรอบตัวของเยี่ยเทียน ค่อยๆ หรี่ดับลง สายลมเบาบางก็พัดมาวูบหนึ่ง กลายเป็นฝุ่นผงละเอียด ล่องลอยอยู่บนร่างของเยี่ยเทียน
………………-
ภายนอกกระแสพลอยวิเศษนี้ ภูติภูเขายืนคอยอยู่นานแล้ว ในโลกแห่งนี้ มีเพียงเขาที่สามารถสัมผัสถึงเจ้าตัวเล็กที่อยู่ภายใน ลมหายใจแข็งแกร่งไม่มีแผ่ว เฉกเช่นเดียวกับดาบวิเศษข้างกายท่านนักพรตชราในอดีตที่ไม่เคยชักออกจากฝักเล่มนั้น จนทำให้มันใจระทึก
“ท่านอาจารย์ ท่านไปถึงไหนแล้วครับ?”
เบื้องหน้ากระท่อมไม้ภายใต้ตัวอักษร “เผิงไหล” สองตัว เหลยหู่เหม่อมองไปยังเทือกเขาทอดยาวติดต่อกันด้วยสีหน้าวิตกกังวล!
………………………………..