“บนเกาะนี้มีจิตสังหารเต็มไปหมด วิทยายุทธ์ของแกไม่เพียงพอ วันหลังอย่าได้ออกไปจากเขตต้นไม้โบราณล่ะ!”
เยี่ยเทียนเองก็ชื่นชอบภูติต้นไม้มากเช่นเดียวกัน ตอนที่พบกันครั้งแรก เขาอาจจะเคยใช้ไฟเผาผลาญภูติต้นไม้จนกรีดร้องดังลั่น แต่เมื่อได้รู้จักกันแล้ว กลับรักใคร่ปีศาจที่มีจิตใจใสซื่อตนนี้อย่างมาก ถ้าหากบนชายหาดไม่มีค่ายกลขีดกรอบไว้ เยี่ยเทียนคงถึงขั้นคิดจะพามันกลับไปด้วย
“รู้แล้วล่ะ วันหลังต้องมาหาฉันอีกนะ!” ภูติต้นไม้โบกลำแขนเถาวัลย์อย่างเศร้าสร้อย ช่วงเวลาสั้นๆ ที่ได้อยู่กับเยี่ยเทียน สติปัญญาของมันพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งท่าทางและคำพูดคล้ายคลึงมนุษย์อย่างมาก
“ฮูม!”
ขณะที่เยี่ยเทียนกับภูติต้นไม้อาลัยอาวรณ์กันอยู่นั้นเอง เสียงอสูรดุร้ายก็ดังขึ้นจากที่ไกล เสียงร้องคำรามดังกึกก้องทั่วทั้งเกาะ
ในเวลาเดียวกันก็ปรากฏฟ้าผ่าจำนวนมหาศาลที่ขอบฟ้า และเสียงร้องคำรามนั้นก็กลับกลายโหยหวนยิ่งขึ้น
“ฉันต้องไปแล้วล่ะ รักษาตัวด้วย!”
เยี่ยเทียนฟังออกว่า เสียงคำรามนั่นเหมือนไม่ได้มาจากทางกระท่อมไม้ ใจจึงอดเป็นกังวลไม่ได้ ถ้าหากปีศาจยักษ์เหล่านั้นเลือกชายหาดเป็นสถานที่ข้ามขั้น เกรงว่าแค่สายตามองก็คงทำให้วิญญาณของเหลยหู่กระจัดกระจาย
หลังจากร่ำลาภูติต้นไม้มาแล้ว เยี่ยเทียนก็ใช้วิชาหลบหนีธาตุทั้งห้า หายตัวต่อหน้าภูติต้นไม้ในฉับพลัน แล้วเพียงชั่วเวลาไม่กี่อึดใจ ก็มาถึงยังชายขอบต้นหม่อนโบราณ
เมื่อเข้าสู่ระดับเจี่ยตัน เยี่ยเทียนก็นับได้ว่าเป็นยอดฝีมือบนเกาะ “เผิงไหล” แห่งนี้แล้ว นอกเหนือไปจากปีศาจยักษ์ที่มีวรยุทธ์เทียบเท่าระดับจินตัน สัตว์อสูรที่ยังไม่บังเกิดปัญญา ก็เป็นศัตรูของเขาด้วยเช่นกัน
ดังนั้นตลอดทางเยี่ยเทียนจึงไม่ปกปิดลมปราณของตัวเองแม้แต่น้อย แรงกดดันจากผู้มีอำนาจเหนือกว่า กลุ่มสัตว์ป่าที่ซ่อนตัวด้วยความหวาดกลัว และการเคลื่อนไหวอย่างระแวดระวัง ปรากฏขึ้นภายในเวลาเดียวกัน
แน่นอนว่ามีสัตว์อสูรบางตัวที่ประมาทฝีมือลอบทำร้ายเยี่ยเทียน แต่ก็ล้วนสิ้นชีพภายใต้มีดบินคู่กายไปหมดแล้ว แต่ในทางกลับกันยังใด้หนังสัตว์ที่โจมตีด้วย “อาวุธเวทย์มนต์” ไม่ได้มาอีกด้วย
ขามาใช้เวลาไปสิบกว่าวัน ตอนขากลับ เยี่ยเทียนกลับใช้เวลาเพียงสองวันเท่านั้น เช้าตรู่ในวันที่สาม เขาก็ได้มาถึงยอดเขาสูงที่มีอักษรสองตัวแกะสลักว่า “เผิงไหล”
“ทำไมกลายเป็นอย่างนี้ไปได้?” มองไปยังหาดทรายเชิงเขาซึ่งไอหมอกพวยพุ่ง ใบหน้าของเยี่ยเทียนฉายแววประหลาดใจ
เยี่ยเทียนพบว่า จากจุดใจกลางยอดเขาใต้ร่าง บนหาดทรายตลอดทางยาวไกลเจ็ดถึงแปดพันเมตรบนชายหาดเท่าที่สายตามองเห็น อัดแน่นเต็มไปด้วยศพของสัตว์ร้ายนานาชนิด มีสิงสาราสัตว์ขนาดร่างปกติ และมีอสูรร่างยักษ์ขนาดหลายสิบเมตร ล้วนตายซากอยู่รอบชายหาดด้านนอก เห็นได้ชัดว่าถูกโจมตีสังหารหนักหน่วง
อีกทั้งอสูรร้ายเหล่านี้ล้วนราวกับกินยามาผิด ต่างพากันเข้าไปโดนกระหน่ำด้วยสายฟ้าบนชายหาด บนหาดทรายเต็มไปด้วยแสงไฟและฟ้าผ่า ราวกับทะเลแห่งกระแสไฟห่อหุ้มอสูรร้ายที่เข้าไปภายในทั้งหมด
“เหลยหู่ล่ะ? เยี่ยเทียนมองลงมายังเชิงเขา ใจสั่น นั่นเพราะกระท่อมที่จางซันเฟิงสร้างขึ้น เวลานี้ถูกเหล่าอสูรร้ายทำลายจนหมดสิ้นแล้ว เยี่ยเทียนรู้ว่า ด้วยวรยุทธ์ของเหลยหู่ สัตว์อสูรด้านล่างทุกตัวล้วนมีพลังความสามารถสังหารเขาได้
“หือ? ฉลาดแฮะ!”
เมื่อเพ่งสายตาไปในทะเล เยี่ยเทียนก็พบว่า บนผิวน้ำทะเลห่างจากชายหาดไปสามร้อยเมตร มีแพนิรภัยลอยอยู่ บนหลังแพนั้น มีถุงใบมหึมาทำจากหนังสัตว์ดุร้ายลอยอยู่ ภายในอัดแน่นไปด้วยสิ่งของ
เมื่อพบเหลยหู่แล้ว เยี่ยเทียนก็ไม่ชักช้า ลงไปยังเชิงเขาด้วยรอยแยกเล็กระหว่างภูเขาด้วยความรวดเร็วปานสายฟ้า แต่สิ่งที่ทำให้เขาชะงักงันก็คือ สัตว์ร้ายหลากหลายชนิดจากป่าทึบเชิงเขาที่มองไม่เห็นจากบนยอดเขา ต่างมุ่งไปยังชายหาดไม่ขาดสาย จำนวนมหาศาลนั้นทำให้เยี่ยเทียนถึงกับขนหัวลุก
“โฮก!” อสูรร้ายรูปร่างคล้ายเสือตัวหนึ่งมองมาทางเยี่ยเทียน กระโจนเข้ามาทันทีที่ปรากฏร่าง กางกรงเล็บแหลมคมสองข้างส่องประกายเย็นเยียบ พุ่งกรงเล็บขนาดเท่าใบหน้ามาทางหน้าผากเยี่ยเทียน
“ไปซะ!”
เยี่ยเทียนจ้องตาเขม็ง เสียงคำรามกึกก้องดังออกมาจากปากเขา ร่างของเสือตัวนั้นที่ยังอยู่ห่างจากเยี่ยเทียนสามถึงสี่เมตรผงะค้าง ร่วงหล่นลงมาจากบนอากาศสู่พื้นดิน แววตากลับกลายหดกลัวตั้งแต่ยังไม่ร่วง
เวลานี้ด้านล่างเชิงเขาเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย สัตว์ป่าไม่น้อยต่างกำลังฉีกทึ้งร่างกันเอง แต่หลังจากปลดปล่อยลมปราณออกมาแล้ว ก็ไม่มีสัตว์ป่าตัวไหนกล้าโจมตีเยี่ยเทียนอีก ในสภาวะที่ไร้ซึ่งปีศาจยักษ์ระดับจินตัน เยี่ยเทียนเหมือนจะอยู่บนจุดสุดยอดของห่วงโซ่อาหาร
“อสูรเซียนเทียนขั้นต้น รนหาที่ตาย แต่ว่าหนังของมันก็สวยดีไม่น้อย”
เยี่ยเทียนก้าวเท้าย่ำลงตรงหน้าของซากเสือตัวหนึ่ง ยื่นมือซ้ายไปหยิบมันขึ้นมา นิ้วชี้ของมือขวา เจาะรูเล็กๆ ใต้กราม จากนั้นส่งปราณแท้ใส่เข้าไปในช่องโหว่นั้น
หลังจากที่ใส่ปราณแท้ลงไป ร่างของเสือก็โป่งพองขึ้นอย่างรวดเร็ว บวมเป่งราวกับลูกบอลลูกหนึ่ง มือขวาของเยี่ยเทียนหนีบผิวหนังตรงส่วนปากของเสือไว้อย่างรวดเร็ว พอออกแรงฉีกครั้งเดียว เสียงดัง “ฉัวะ” หนังเสือทั้งตัวก็ถูกเขาผ่าออกจากกัน
“ของดีนี่นา!” เยี่ยเทียนนำซากเสือขนาดยาวกว่าห้าเมตรวางไว้ด้านข้าง แล้วจึงพับหนังเสือนั้นอย่างระมัดระวัง พอเยี่ยเทียนพับเสร็จเรียบร้อยแล้ว พลันรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ รอบด้านของตนดูคล้ายจะเงียบสงบลงมาก
“ชิบเป๋ง มาจ้องฉันกันทำไม?”
พอเงยหน้ามองรอบๆ เยี่ยเทียนก็ยืนไม่อยู่ขึ้นมาทันใด เพราะว่ารอบตัวมีสัตว์ร้ายนับร้อย ที่เวลานี้ต่างหยุดห้ำหั่นกันเอง ถลึงตาแดงก่ำมองมายังเยี่ยเทียน ลมหายใจเน่าเหม็นโชยออกมาจากปาก
เยี่ยเทียนไม่รู้ว่า ที่สัตว์ร้ายเหล่านี้ห้ำหั่นกัน เพื่อให้ตำแหน่งของตัวเองอยู่ทีหลัง จะได้โดนค่ายกลโจมตีช้าลงอีกหน่อย แต่กลับไม่มีตัวไหนที่โหดร้ายอย่างเยี่ยเทียน ซึ่งหลังจากฆ่าแล้วยังแล่เนื้อเถือหนัง ด้วยเหตุนั้นจึงพุ่งเป้ามาทางเยี่ยเทียน
“โฮก!” พอสัตว์ร้ายตัวหนึ่งเริ่มขึ้น ตัวที่เหลือนับร้อยต่างก็คำรามขึ้นมา กรงเล็บนับไม่ถ้วนพุ่งไปทางเยี่ยเทียน พวกมันต้องการฉีกทึ้งคนที่ฝ่าฝืนกฎนี้
“บัดซบเอ๊ย แหย่รังแตนเข้าแล้วสิ!”
ขนาดเยี่ยเทียนที่เพิ่งขึ้นสู่ระดับเจี่ยตัน เวลานี้ยังขนหัวชูชัน พออ้าปาก ลำแสงสีทองคำก็ล้อมรอบตัวเขา เยี่ยเทียนเองไม่คิดจะโจมตีอีกฝ่าย จึงพุ่งตรงดิ่งไปทางชายหาด
สัตว์ร้ายตลอดทางทุกตัว ที่ถูกลำแสงสัมผัสเข้า ล้วนกลับกลายเป็นเนื้อชิ้นเล็กชิ้นน้อย เยี่ยเทียนแหวกเส้นทางออกไป แต่ด้านหลังของร่างเขากลับเต็มไปด้วยซากสัตว์ป่า เสียงร้องครวญครางก่อนตายของเหล่าสัตว์ร้ายดังทั่วทุกทิศ
“ทางนี้ไปไม่ได้!”
เดิมทีเยี่ยเทียนคิดจะพุ่งตรงไปจนถึงชายหาด แต่ว่าที่ตรงหน้าเขา สัตว์ร้ายกลุ่มหนึ่งกำลังโจมตีค่ายกล ที่นั่นเต็มไปด้วยสายฟ้าปกคลุมถ้วนทั่วไม่เว้นหน้า หากเยี่ยเทียนเข้าไปคงจะต้องถูกสายฟ้ากระหน่ำใส่เช่นเดียวกัน
ดังนั้นจึงเกิดภาพประหลาดบนรอบนอกชายหาด เยี่ยเทียนหนีบหนังเสือนั้นไว้ใต้รักแร้แล้ววิ่งห้อไปด้านหน้า ข้างหลังตามมาด้วยสัตว์เล็กเท่าแรคคูนนับพัน และสัตว์ใหญ่ดุร้ายสูงหลายสิบเมตรตามล่า ดึงดูดสายตาเหลยหู่ที่อยู่กลางทะเลไปในตัว
“ท่านอาจารย์ ข้างหน้าไม่มีค่ายกลโจมตีสัตว์ร้าย!”
พอเห็นเยี่ยเทียนปรากฏตัว เหลยหู่ก็ขยี้ตาตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย แล้วยังหยิกขาอ่อนตัวเองอีกครั้ง ในดวงตามีน้ำตารื้นขึ้นมา ขนาดตอนแรกที่เข้าวงการถูกพวกมาเฟียห้อมล้อมฟันจนมีแผลทั่วทั้งตัว จนเหลยเจิ้นเทียนพาคนมาช่วย เหลยหู่ยังไม่ตื้นตันใจถึงขนาดนี้
เหลยหู่เองก็เข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว ถึงแม้รอบนอกชายหาดจะเต็มไปด้วยเสียงคำรามของสัตว์ร้าย แต่เสียงของเขาก็ยังดังมาถึงหูเยี่ยเทียน หลังจากมองไปข้างหน้าแล้ว เยี่ยเทียนก็เพิ่มความเร็วยิ่งขึ้น ทิ้งระยะห่างจากพวกสัตว์ร้ายไว้ข้างหลัง
“อุ๊บ!”
ขณะที่เยี่ยเทียนเตรียมจะพุ่งไปบนหาดทรายนั้น ทันใดจากด้านหลังก็มีเสียงคำรามกึกก้องดังมาจุดที่ไม่รู้ไกลเท่าไหร่ คลื่นสั่นสะเทือนที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแผ่มากระแทกร่างของเยี่ยเทียนซึ่งกำลังพุ่งไปด้านหน้าอย่างรุนแรงจนสะดุด เกือบล้มลงไปกับพื้น
“ปีศาจยักษ์ระดับเทียบเท่าจินตันหรือ?”
ใบหน้าของเยี่ยเทียนเผยให้เห็นอาการตกตะลึง ทันใดนั้นก็ส่งปราณแท้เข้าไปในขาทั้งสองข้าง ร่างทั้งร่างทะยานไปข้างหน้าราวกับลูกศรจากคันธนู จนห้วงอากาศที่ถูกเสียงคำรามนั่นห่อหุ้มถูกเยี่ยเทียนพุ่งชนจนแหวกออก
หลังจากกลิ้งตัวลงบนหาดทราย เยี่ยเทียนก็ไม่กล้าแม้แต่จะหันกลับไปมอง พุ่งลงทะเลด้วยแรงทั้งหมด เสียงคำรามหนึ่งครั้งเกือบทำให้ปราณแท้ทั่วร่างกระจัดกระจาย เห็นได้ชัดว่าปีศาจยักษ์ระดับจินตันปรากฏตัวอยู่ที่นี่
“ไม่ได้ ต้องวิ่งให้ไกลกว่านี้” สองขาเหยียบลงบนน้ำ จนกระทั่งมาถึงแพนิรภัยที่เหลยหู่อยู่ เยี่ยเทียนจึงหยุดฝีเท้า ถอนหายใจออกมายาวเหยียด เวลานี้เขาถึงรู้สึกได้ว่า เสื้อผ้าด้านหลังเขาเปียกชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ
“ท่านอาจารย์ ผม…ผมนึกว่าท่านจะกลับมาไม่ได้เสียแล้ว!”
พอเห็นเยี่ยเทียน เหลยหู่อายุสี่สิบกว่าปีก็ร้องไห้ออกมาราวกับคนขี้แย หลายวันที่ผ่านมาเขาลำบากมาก หลังจากที่กระท่อมไม้ถูกสัตว์ดุร้ายทำลาย เหลยหู่ก็ใช้ชีวิตอยู่บนทะเลมาตลอดระยะเวลาครึ่งปีกว่า จนปัจจุบันมีกลิ่นปลาสดตั้งแต่หัวจรดเท้า
ความจริงเหตุผลที่เหลยหู่อยู่บนเส้นขอบแห่งความสิ้นหวัง ไม่ใช่เพราะแรงกดดันในการมีชีวิตอยู่ แต่เป็นความกลัวในความไม่รู้ เมื่อสูญเสียกระดูกสันหลังอย่างเยี่ยเทียน ที่ปรากฏสู่สายตาก็เป็นสัตว์ป่าดุร้ายอีก นั่นจึงทำให้เหลยหู่รู้สึกตื้นตันเมื่อได้เห็นเยี่ยเทียนถึงขนาดนี้
“พูดจาเหลวไหล ฉันเหรอจะตายง่ายๆ แบบนั้น?”
เยี่ยเทียนจ้องมองเหลยหู่อย่างอารมณ์เสีย แน่นอนว่า เขาไม่รู้ความคิดในใจของเหลยหู่ ไม่อย่างนั้นคงจะถีบเขาตกทะเลไปนานแล้ว
“ที่เท่าแมวดิ้นตาย จะคุกเข่าทำไม ลุกขึ้นมาพูด มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ตอนที่เยี่ยเทียนจากไป ถึงแม้สัตว์ทั้งหลายบนเกาะจะวุ่นวายโกลาหล แต่ก็ไม่มีค่ายกลรวมพลโจมตีแบบนี้ จึงทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกแปลกประหลาดอย่างยิ่ง
เหลยหู่ลุกขึ้น ปาดน้ำตาออก บอกว่า
“ท่านอาจารย์ พอท่านไป ก็มีสัตว์ร้ายมายังที่นี่ ผมไม่ใช่คู่มือของพวกมัน เลยถูกพวกมันขับไล่ลงกลางทะเล”
ความจริงช่วงแรกขอบเขตความวุ่นวายของเหล่าสัตว์ร้ายยังไม่กว้างมาก พลังก็ไม่แข็งแกร่งขนาดนี้ เหลยหู่ยืนหยัดได้สองสามวันสังหารสัตว์ร้ายไปหลายตัว แต่ว่าภายหลังพลังของสัตว์ร้ายก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เหลยหู่อับจนหนทางจึงทำได้เพียงหนีลงทะเล
…………………………….