“ศิษย์พี่ใหญ๋ ศิษย์น้องเล็กจะไม่เป็นอะไรใช่มั้ย? ”
จั่วเจียจวิ้นยืนอยู่ตรงประตูด้านนอกด้วยความเป็นห่วงเยี่ยเทียน และพูดกับโก่วซินเจียว่า
“ผ่านไปเดือนกว่าแล้วนะ ด้านในไม่มีเสียงอะไรเลย พวกเราเข้าไปดูกันหน่อยดีมั้ยครับ? ”
ตั้งแต่เก็บตัวรักษาอาการบาดเจ็บ เวลาผ่านไปแล้ว 40 กว่าวัน โก่วซินเจียและคนอื่นจะมาเดินวนตรงนี้เกือบทุกวัน แต่ประตูห้องก็ไม่เปิดสักที มันเลยทำให้พวกเขาค่อนข้างเป็นห่วงเยี่ยเทียน
“น่าจะไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง? ครั้งนี้ศิษย์น้องเล็กบาดเจ็บไม่เบา เก็บตัวนานหน่อยก็ไม่แปลก เอาล่ะ ทุกคนไปฝึกซ้อมกันเถอะ! ”
โก่วซินเจียส่ายหัว ตอนที่พวกเขาเข้าสู่ระดับเซียนเทียน ก็ใช้เวลาเก็บตัวเกือบครึ่งปีต่อหนึ่งครั้ง เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าอะไรคือไร้เดือนไร้ตะวัน
ช่วงนี้พวกเขาใช้พลอยวิเศษฝึกพลังวิชา จนระดับพลังของแต่ละคนคงที่ ส่วนโจวเซี่ยวเทียนก็ใกล้จะบรรลุแล้วเช่นกัน ไม่มีใครเคยคิดเลยว่า บนเรือสำราญที่กำลังแล่นอยู่บนมหาสมุทรอินเดียลำนี้ จะมีกลุ่มคนที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดรวมตัวกันอยู่
“อีกประมาณครึ่งเดือน ก็น่าจะหายดีทั้งหมด!”
เยี่ยเทียนที่อยู่ในห้อง ไม่ได้ทำสมาธิแบบลึก แต่เขากำลังดูดพลังปราณชีวิตดั้งเดิมที่รวมตัวกันอยู่ในค่ายกลรวมห้าธาตุอย่างบ้าคลั่งเพื่อฟื้นฟูร่างกาย และควบคุมพลังเจี่ยตันของตัวเองให้คงที่ในเวลาเดียวกัน ตั้งแต่เยี่ยเทียนเข้าสู่ระดับเจี่ยตันแล้ว เขาไม่เคยได้ฝึกพลังโดยไม่มีสิ่งรบกวนแบบนี้เลย
เยี่ยเทียนฝึกพลัง ผสมผสานกับสิ่งที่จางซันเฟิงบันทึกไว้ในมู่เจี่ยนไม้ไผ่ จนเข้าใจระดับพลังของตัวเองเพิ่มขึ้น เวลาที่ปราณแท้หมุนเวียนอยู่ข้างใน ผิวชั้นนอกจะขยับและนูนขึ้น เลือดแฝงแสงสีทองไว้จางๆ ไหลผ่านชีพจรที่มีบาดแผลรอบแล้วรอบเล่าราวกับแม่น้ำที่กำลังไหล
เซลส์ภายในร่างกายของเยี่ยเทียนกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย นี่คือวิวัฒนาการของยีน ที่จะทำให้โครงสร้างร่างกายของเขาสมบูรณ์แบบและสมดุลมากขึ้น ตอนนี้เนื้อหนังของเยี่ยเทียนแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า ถึงแม้ไม่ใช้ปราณแท้ เขาก็สามารถกันกระสุนธรรมดาได้
“บาดเจ็บครั้งนี้ ถือว่ามีความโชคดีในความโชคร้าย”
เยี่ยเทียนกำลังทำความเข้าใจกับร่างกายที่กำลังเปลี่ยนแปลง
เยี่ยเทียนรู้สึกได้ว่า เน่ยตันสิงห์ขนทองที่กลืนเข้าท้อง มันไม่ได้หายไปทั้งหมด พลังแข็งแกร่งเหมือนจะซ่อนอยู่ในแขนขาของตัวเอง ตอนนี้ปราณวิเศษกำลังเคลื่อนไหว ฟื้นฟูช้าๆ และเริ่มประสานกับปราณแท้ในร่างกายของตน
สิงห์ขนทองมีกำลังมหาศาล ความสามารถการป้องกันของมัน ถือว่าเก่งกาจที่สุดในบรรดาสัตว์โบราณก็ว่าได้ แล้วในจินตันของมันมีพลังวิเศษอยู่แล้ว ซึ่งการผสมผสานกับยีนจะทำให้ร่างกายของเยี่ยเทียนพัฒนาและแข็งแกร่งขึ้นอีก
แล้วในเน่ยตันที่เต็มไปด้วยพลังดั้งเดิมพันปีของสิงห์ขนทอง ก็เต็มไปด้วยความเข้าใจกฏธรรมชาติ สิ่งนี้จึงถูกเยี่ยเทียนรับไปและรวมเข้ากับความเข้าใจของตนอีกที หลังจากระดับเจี่ยตันของเยี่ยเทียนคงที่แล้ว พลังของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ
“สมแล้วที่เป็นสัตว์โบราณที่มีพลังระดับเทียบเท่าเซียนระดับจินตัน แล้วยังมีความเข้าใจในกฏธรรมชาติที่ลึกซึ้งมากถึงเพียงนี้”
เยี่ยเทียนที่กำลังสัมผัสกฏธรรมชาติในจินตันมีสีหน้าชอบใจเป็นบางครั้ง ขมวดคิ้วเป็นบางครั้ง เพราะการสัมผัสแบบนี้ไม่เหมือนกับการอ่านบันทึกของจางซันเฟิง แต่มันคือการสัมผัสประสบการณ์จริงของสิงห์ขนทองที่ต่อสู้กับฟ้าสวรรค์ทั้งชีวิตของมัน
เวลาผ่านไปอย่างต่อเนื่อง เลือดเนื้อบนแขนทั้งสองข้างของเยี่ยเทียนเริ่มงอกขึ้นมาจนเกือบเต็ม เส้นเลือดใหม่เป็นเส้นชัดเจนมากขึ้น อวัยวะภายในที่บาดเจ็บก็ฟื้นฟูแล้วเกือบทั้งหมด เลือดซึ่งเดิมทีเป็นสีแดงตอนนี้มีสีทองอ่อนปนอยู่และส่งกลิ่นหอมออกมา
“ในไซอิ๋วเคยบันทึกไว้ว่ากินเนื้อของพระถังซัมจั๋งสามารถอยู่ยงคงกระพัน ถึงแม้ของฉันจะไม่มีผลแบบนั้น แต่ก็ขจัดโรค ขจัดภัยทั้งปวงได้อยู่มั้ง?”
เยี่ยเทียนกลืนน้ำลายที่อมไว้เต็มปาก ครุ่นคิดไปมา ตอนที่เข้าสู่พลังสับเปลี่ยนช่วงแรก เขาเคยผ่านการล้างไขกระดูกเปลี่ยนถ่ายเลือดมาแล้วครั้งหนึ่ง ไม่คิดว่าพอถึงระดับเจี่ยตันแล้ว็ต้องทำอีกครั้ง ตอนนี้เยี่ยเทียนสัมผัสได้ถึงปราณวิเศษที่อยู่ในเลือด มันช่วยขจัดอาการป่วยได้จริงด้วย
การฝึกครั้งนี้ เยี่ยเทียนได้รับพลังมากมาย ไม่เพียงแต่รักษาอาการบาดของแขนจนหาย แต่ยังเข้าใจในกฎธรรมชาติมากขึ้นอีก สำหรับเยี่ยเทียน ระดับจินตัน สำเร็จมหามรรคอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว
เน่ยตันที่อยู่ตรงท้องของเยี่ยเทียน เปลี่ยนเป็นสีทองแล้วครึ่งหนึ่ง เหมือนกับดวงอาทิตย์ดวงใหญ่แขวนอยู่กลางตันเถียน ล้อมรอบไปด้วยดวงดาวที่มีแสงสว่าง ราวกับจักรวาลที่สร้างความลึกลับอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“ดีขึ้นมากแล้ว คงต้องกลับแล้วล่ะ! ”
เยี่ยเทียนลืมตาช้าๆ พบว่าร่างกายถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นเบาบางหนึ่งชั้น จากนั้นจิตก็สั่งปราณแท้ปัดฝุ่นบนเสื้อผ้าออกไปจนหมด ตอนที่จะลุกขึ้น จู่ๆ เยี่ยเทียนก็ขมวดคิ้ว
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมหัวใจเต้นผิดจังหวะแบบนี้? ”
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆก็รู้สึกแน่นหน้าอก เหมือนถูกบีบหัวใจเอาไว้อย่างรุนแรง เลือดที่ไหลอยู่ในร่างกาย ก็ไหลเร็วมาก ไม่พอแค่นั้น ยังมีเสียงดังก้องอยู่ในสมอง มันก้องจนมึนหัวไปหมด
“เปรี้ยง!”
ทันใดนั้น เสียงฟ้าผ่าก็ดังขึ้น เยี่ยเทียนตื่นขึ้นมา
“หรือว่าถึงคราอัสนีสวรรค์จินตันแล้ว? ”
เยี่ยเทียนเข้าใจทันที จึงรีบลุกขึ้นและเดินไปเปิดประตู เพียงพริบตาเดียวเยี่ยเทียนก็มาถึงดาดฟ้าเรือ
“อาจารย์ ศิษย์น้อง!!! ”
เยี่ยเทียนคิดไม่ถึงเลยว่าศิษย์พี่ทั้งสองคนกับลูกศิษย์ทั้งสองคนจะอยู่บนดาดฟ้าด้วย เขามองเมฆดำกลุ่มนั้นด้วยสีหน้าตึงเครียด เพราะมันน่าแปลกมาก บริเวณอื่นฟ้าโปร่งใสกระจ่าง มีเพียงบริเวณเรือสำราญที่มีกลุ่มเมฆดำลอยอยู่
“ศิษย์พี่ใหญ่ เกิดอะไรขึ้น? เมฆดำกลุ่มนี้ปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่? ”
ถึงแม้เยี่ยเทียนจะเดาออกบ้าง แต่ก็หวังว่าจะเป็นความโชคดี เขาหันไปหาโก่วซินเจีย พูดตามตรง ตั้งแต่เข้าระดับเจี่ยตัน ใช้เวลาไปแค่หนึ่งปีสั้นๆ เยี่ยเทียนไม่ได้เตรียมใจสำหรับอัสนีสวรรค์จินตัน
“เมฆดำกลุ่มนี้จู่ๆก็ปรากฏขึ้นเมื่อหนึ่งนาทีก่อนหน้านี่เอง ฉันก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
โก่วซินเจียตกใจมาก เพราะเขารู้สึกว่า ในเมฆดำก้อนนั้นมีพลังหนึ่งที่สามารถทำลายฟ้าดิน แล้วอำนาจของธรรมชาติแบบนี้ มันทำให้เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดต่อต้านเลย
เหลยหู่พูดแทรกว่า
“อาจารย์ หรือ…หรือนี่จะเป็นอัสนีสวรรค์จินตัน? ท่านกำลังจะผ่านภัยสวรรค์เหรอครับ? ”
ถ้าพูดถึงบนโลกใบนี้ คนที่เห็นฟ้าผ่าบ่อยที่สุดก็คงเป็นเหลยหู่ ตอนที่เขาอยู่บนเกาะ “เผิงไห” เป็นเวลาหนึ่งปี เขาเห็นฟ้าผ่าแทบจะทุกวัน แล้วเขาก็เข้านอนพร้อมกับเสียงฟ้าผ่าทุกคืน จนเข้าสู่ระดับเซียนเทียน
“น่าจะใช่มั้ง! ”
มองดูเมฆดำที่เกาะกลุ่มอย่างต่อเนื่องและมีแสงฟ้าผ่าเป็นพักๆ เยี่ยเทียนก็มีสีหน้าเอาแน่เอานอนไม่ได้เหมือนกัน เพราะตอนนี้มีเสียงก้องมหามรรคดังขึ้น ราวกับว่ากำลังตอบสนองอัสนีสวรรค์
“ไม่ได้ ฉันจะรับอัสนีสวรรค์จินตันตอนนี้ไมได้! ”
จู่ๆ เยี่ยเทียนก็นึกถึงบันทึกของจางซันเฟิงเกี่ยวกับคำนายของเขาที่เข้าไปในเกาะเซียน “เผิงไหล”
ตามคำกล่าวของจางซันเฟิง ปราณวิเศษบนโลกมนุษย์เบาบาง ไม่คงที่ ไม่สามารถรองรับคนที่มีความอดทนมากกว่าในพื้นที่ตรงนี้ได้ ตอนที่เขาผ่านภัยอัสนีสวรรค์หยวนอิง แล้วเจอเหตุการณ์อากาศเกิดรอยแยก บางทีก็อาจจะเป็นเพราะสาเหตุนี้เหมือนกัน
แต่นักพรตจางเป็นคนโชคร้าย เขาถูกส่งไปขังไว้ที่เกาะปีศาจโบราณ จึงไม่สามารถผ่านภัยอัสนีสวรรค์ได้อีก สุดท้ายก็เหลือเพียงจิตที่หลุดและดับขันธ์เป็นเซียนไป
ทุกอย่างเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ปราณวิเศษบนโลกตอนนี้เจือจางลงทุกวัน แถมยังไม่คงที่กว่าเดิม ก่อนหน้านี้แค่ฟ้าผ่ายังทำให้ห้วงอากาศเกิดรอยแยกได้ เยี่ยเทียนจึงมั่นใจว่า ถ้าเขาผ่านภัยอัศนีสวรรค์ตอนนี้ เป็นไปได้สูงมากที่จะถูกดูดเข้าไปยังเขตแดนอื่น
กว่าจะออกมาจากเกาะนั้นได้มันไม่ง่าย ใครอยากจะกลับไปอีก คิดไปคิดมา เยี่ยเทียนนั่งขัดสมาธิ สูดลมหายใจเข้าลึก เก็บจิตดั้งเดิมในความคิดลงไปอยู่ในตันเถียน
ขณะเดียวกัน เยี่ยเทียนก็ใช้กำลังภายในเก็บลมปราณเข้าไป นี่เป็นวิธีที่นักพรตจางทิ้งไว้ให้ ไล่ปราณแท้ทั้งหมดให้เข้าไปอยู่ในตันเถียน ตัดขาดการเชื่อมต่อระหว่างเสียงก้องมหามรรคกับอัศนีสวรรค์
เวลาผ่านไปเพียงครู่เดียว เยี่ยเทียนก็ไม่รู้สึกว่ามีปราณแท้ไหลเวียนอยู่ในร่างกายอีก ดูแล้วไม่ต่างจากคนทั่วไปเลย แม้แต่สายตาก็กลายเป็นตาที่เศร้างหมอง วิชาเก็บลมปราณยังมีผลลัพธ์อีกหนึ่งอย่าง ถ้ายืนนิ่งอยู่ที่เดิม คนที่อยู่รอบตัว ถ้าไม่ได้เห็นกับตา อาจจะไม่รู้สึกถึงการมีตัวตนของเยี่ยเทียน
ในเวลาเดียวกัน เมฆดำที่เกาะตัวไม่หยุดในตอนแรก ก็หยุดการเคลื่อนไหวลง แสงฟ้าผ่าในเมฆดำที่กระพริบอยู่ จู่ๆก็หายไปเช่นกัน ผ่านไปชั่วขณะ เมฆดำกลุ่มนั้นก็กระจายออกไป แสงตะวันสาดส่องลงมาดาดฟ้าของเรืออีกครั้ง
“ศิษย์น้องเล็ก เธอ…เธอไม่ได้สูญเสียกำลังภายในไปใช่มั้ย? ถึงแม้ว่าภัยอัศนีสวรรค์จะน่ากลัว แต่ก็ไม่ถึงกับรับมือไม่ได้! ”
แม้แต่โก่วซินเจียยังรู้สึกได้ว่า การเคลื่อนไหวของปราณชีวิตในร่างกายของเยี่ยเทียนหายไป แต่ละคนหน้าซีดไปตามๆกัน ผู้ฝึกพลังวิชาเป็นคนที่ทำเรื่องสวนทางกับกฏสวรรค์อยู่แล้ว เยี่ยเทียนหลีกเลี่ยงภัยสวรรค์ขนาดนี้ ในใจของเขาจะต้องมีตราบาปเป็นแน่
“ไม่ใช่ครับศิษย์พี่ใหญ่ ผมไม่ได้กลัวอัศนีสวรรค์ ด้วยระดับพลังของผมตอนนี้ มั่นใจมากว่าจะผ่านภัยไปได้…”
เยี่ยเทียนยิ้มอย่างขมขื่นพูดว่า
“ตรงนี้พลังปราณไม่คงที่เท่าไหร่ ถ้าผมผ่านภัยอัศนีสวรรค์ตอนนี้ ไม่รู้ว่าจะหายไปอยู่ที่ไหนอีก ถึงตอนนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะกลับมาได้มั้ย? ”
“แล้วเธอกลัวอะไร? ผ่านภัยนี้ไปได้ เธอก็เข้าระดับจินตัน สำเร็จมหามรรคเลยนะ ไปไหนก็ได้”
โก่วซินเจียรู้สึกโมโหที่เยี่ยเทียนไม่ลองดูก่อน เขาอยากผ่านภัยอัศนีสวรรค์เข้าสู่ระดับจินตัน แต่ระดับพลังยังด้อยเกินไป ถ้ายอมรับการผ่านภัยจริง ร่างคงระเบิดจนแหลกไปแล้ว
“ศิษย์พี่ใหญ่ ผมไม่เหมือนกับพี่ ผมยังมีพ่อแม่ ภรรยา ผมไม่อยากให้พวกเขาต้องเสียใจอีก! ”
เยี่ยเทียนส่ายหน้าพูดว่า
“ฟ้าสวรรค์ไร้จิตใจแต่คนมีจิตใจ ขอแค่พวกเขายังอยู่บนโลกนี้หนึ่งวัน ทั้งชีวิตของผม ผมก็จะไม่ไปไหน ถ้าเป็นคนไร้จิตใจ ถึงแม้จะเป็นอมตะ แล้วมันดียังไงล่ะ? ”
………………………………………….