“นี่ ฉันว่าแกลองไปคิดดูหน่อยไม่ได้เหรอ! ”
ตอนที่ซ่งเฮ่าเทียนกำลังพูดโน้มน้าวเยี่ยเทียน เขาก็เปิดประตูลงไปจากรถแล้ว ช่วงค่ำของเดือนหก ปากซอยเปิดไฟสว่างจ้า ล้วนแต่เป็นผู้คนที่กินข้าวมื้อค่ำเสร็จแล้วออกมาเดินย่อย สำเนียงภาษากรุงปักกิ่ง ก้องอยู่ในหูของเยี่ยเทียน ฟังแล้วรื่นหูมาก
เยี่ยเทียนที่สะพายเป้และมีสัตว์เลี้ยงตัวน้อยเกาะที่หัวไหล่ ตอนที่เดินเข้าซอย เขาไม่เป็นจุดสนใจของใครเลย แม้แต่มองก็ยังไม่มีคนมอง เขาเดินไปถึงหน้าบ้านอย่างสบายใจ
“วู วู…”
เสี่ยวจินเงยหน้าขึ้นทำท่าจมูกย่นและมองตรอกซอยที่อยู่หน้าเรือน แล้วก็ส่งเสียงไม่พอใจออกมา การมาถึงโลกที่มีปราณวิเศษน้อยมาก มันทำให้เสี่ยวจินไม่ชิน ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวเยี่ยเทียนกับความชอบในอาหาร เจ้าตัวเล็กคงคลุ้มคลั่งไปแล้ว
“หืม? มีคนแอบมาส่องที่นี่เหรอ? ”
การตอบสนองของเยี่ยเทียนไม่ได้ช้ากว่าเสี่ยวจินเท่าไหร่ เขาสัมผัสได้เหมือนกันว่าตรงนั้นมีกล้องวงจรปิดอยู่ ไม่ใช่แค่หนึ่งอัน แต่ติดตั้งรอบเรือนสี่ประสานเป็นสิบๆอัน นอกจากนี้ชาวบ้านที่อยู่หน้าซอยก็เหมือนจะเปลี่ยนเจ้าบ้านไปแล้ว
“น่ารำคาญจริง! ”
เยี่ยเทียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาไม่ได้รู้สึกถึงอันตรายที่ออกมาจากพวกที่แอบส่องกล้องวงจรปิด ถึงแม้เขาจะโกรธ แต่เขาก็ระบายออกมาไม่ได้ และเยี่ยเทียนก็เข้าใจว่าถ้าคนเหล่านี้อยู่ที่นี่ เขาอาจจะได้รับการรบกวนจากพวกต่างชาติน้อยลงมาก
“คุณเป็นใคร ทำไมมายืนอยู่ตรงนี้? ”
เยี่ยเทียนโยกหัวไปมา ตอนที่กำลังจะเคาะประตู ก็มีเสียงเรียกดังขึ้น เขาคืออาเขยของเยี่ยเทียน กำลังอุ้มแตงโมลูกหนึ่งหนักห้ากิโลกว่าเข้าบ้าน แต่ถูกเยี่ยเทียนบังประตูไว้
“อาเขย ผมเอง! ”
เยี่ยเทียนอยากจะร้องไห้ ปกติไม่จะค่อยสนิทสนมกับอาเขยเท่าไหร่ แต่หลังจากเผชิญกับเรื่องที่เกาะ “เผิงไหล”แล้ว เยี่ยเทียนเห็นถึงความสำคัญของครอบครับมากขึ้น เพราะเหตุการณ์นั้นทำให้เขาเกือบกลับมาไม่ได้
“เยี่ยเทียน? เจ้าหนุ่มนี่ ยังรู้จักบ้านกลับบ้านด้วยเหรอ? ”
พอได้ยินเสียงเยี่ยเทียน หลิวเหวยอันอึ้งไปครู่นึง จากนั้นแตงโมก็หล่นลงพื้น เขาผลักประตูออกและตะโกนเสียงดังว่า
“เยี่ยเทียนกลับมาแล้ว พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ ชิงหย่า เยี่ยเทียนกลับมาแล้ว! ”
“ผมไม่ใช่แขกนะ ต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ? ”
เยี่ยเทียนใช้พลังดูดแตงโมที่กำลังจะหล่นลงพื้นจากกลางอากาศมาอยู่ที่มือขวา จากนั้นก็ก้าวข้ามคานประตูเข้าไป
เรือนสี่ประสานหลังนี้ หย่อมหญ้าทุกต้นเยี่ยเทียนปลูกเองกับมือ มองดูบรรยากาศที่คุ้นเคย ภายในใจของเยี่ยเทียน พลุ่งพล่านไปด้วยทุกความรู้สึก ตอนนี้เยี่ยเทียนเข้าใจแล้วว่าคำพูด “สุขใดเล่าจะเท่าบ้านเรา”หมายความว่าอย่างไร
เยี่ยเทียนยังเดินไปไม่ถึงกลางเรือน เสียงตะโกนของหลิวเหวยอันสร้างความแตกตื่นให้กับทุกคนในบ้าน เริ่มมีคนออกมาดูบ้างแล้ว ไม่รู้ว่าซ่งเวยหลันกำลังจะออกไปข้างนอกหรือเปล่า เธอใส่ชุดราตรีกับรองเท้าส้นสูง แต่เธอวิ่งนำหน้าทุกคน
“เจ้าเด็กนี่ ยังรู้จักกลับบ้านด้วยเหรอ? ”
ซ่งเวยหลันมาถึงก็หยิกหูเยี่ยเทียนทันที แต่เสียงที่พูดออกมาสั่นเคลือเล็กน้อย เธอทิ้งธุรกิจอันใหญ่โตมาเพื่อใช้ชีวิตที่เงียบสงบกับสามีและลูกชาย
แต่คิดไม่ถึงว่าลูกชายยุ่งกว่าเธออีก บางทีไม่ได้เจอหน้าเกือบห้าเดือน ซึ่งเป็นเรื่องปกติไปแล้ว แต่ครั้งนี้หายไปตั้งปีกว่า แล้วที่น่าโมโหกว่านั้น คือเจ้าลูกชายไม่แม้แต่จะโทรศัพท์มาหาเธอเลย จนเธอกับลูกสะใภ้มักจะแอบร้องไห้อยู่บ่อยครั้งเวลาไม่มีคน
“แม่ครับ เบาหน่อยสิครับ หูผมจะหลุดแล้ว โอ๊ย เจ็บครับ! ”
เยี่ยเทียนรู้สึกอบอุ่มขึ้นมาทันทีที่ได้พบกับแม่ บนโลกใบนี้ มีเพียงพ่อแม่เท่านั้นที่รักโดยไม่หวังผล ถึงแม้ว่าเยี่ยเทียนจะฝึกพลังจนมีอายุเป็นพันปี ก็คงได้รับความรู้สึกแบบนี้จากพ่อแม่เท่านั้น
“เจ็บให้ตายไปเลย!”
ภาพพจน์นักธุรกิจหญิงแกร่งของซ่งเวยหลันหายไปหมดแล้ว เธอหยิกหูเยี่ยเทียนไปเดินไป ปากก็พูดว่า
“ถ้าแกไม่เล่ามาให้ละเอียด ฉันกับชิงหย่าไม่ปล่อยแกไว้แน่! ”
“วู วู…”
เสี่ยวจินที่เกาะอยู่บนหัวไหล่ของเยี่ยเทียน มองดูซ่งเวยหลันที่เป็นที่นิยมกล่าวขวัญของคนทั่วไป ตาดำกลมโตมีท่าทางสงสัยออกมา มันไม่พบพลังใดในตัวของ “คน” นี้ แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเยี่ยเทียนถึงกลัวบุคคลคนนี้มากนัก
แน่นอนว่า สิงห์ขนทองถูกเยี่ยเทียนเตือนไว้หลายครั้งตั้งแต่อยู่บนเครื่องบิน มันจึงไม่ได้สนใจมากนัก มันมองดูรอบๆ จากนั้นมันเลื่อนตัวลงจากหัวไหล่ สองมือแยกแตงโมออกจากกันและมุดเข้าไปอยู่ในนั้น
“แม่ครับ ผมมีธุระจริงๆ เป็นภารกิจลับ ถ้าพูดออกมาเราอาจจะโดนฆ่าปิดปากนะครับ ถ้าไม่เชื่อลองถามคุณตาดูก็ได้ คุณตาอยู่ข้างหลังแหนะ”
โบราณกล่าวไว้ว่าบุรุษที่แท้จริงต้องยอมลดราวาศอกได้ชั่วคราว หลังจากถูกแม่หยิกหู เยี่ยเทียนก็เริ่มโกหกต่างๆนานา แต่ดูเหมือนคำโกหกนั้นจะได้ผลต่อความโกรธของซ่งเวยหลัน
“มีหลานที่ไหนกล้าทำกับคุณตาแบบนั้นหะ? ”
“แม่ครับ ไม่เจอกันหนึ่งปี แม่สวยขึ้นอีกแล้วนะครับ”
เมื่อเห็นว่าแม่คลายมือออก เยี่ยเทียนก็เริ่มประจบสอพลอ
“แม่ดูพ่อสิ เหมือนตาแก่อายุห้าหกสิบเลย แต่แม่ยังสาวเหมือนเด็กมหาลัยที่อายุยี่สิบกว่า ถ้าเราเดินด้วยกันข้างนอก คนพวกนั้นคงคิดว่าเป็นน้องสาวผมแน่เลย! ”
“เจ้าเด็กนี่ ฉันแก่ขนาดนั้นเลยหรือไง ฉันยังไม่ถึงห้าสิบนะ”
เยี่ยเทียนพูดยังไม่ทันจบ เสียงของเยี่ยตงผิวก็ดังออกมาจากข้างในห้อง พอเดินออกมาเขาก็เบิกตากว้างใส่เยี่ยเทียน หลายปีมานี้เขาใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติ มีความมั่งคั่งร่ำรวย ไม่เคยคิดเลยว่าเจ้าลูกชายจะบอกว่าตนแก่
“ทำตาโตใส่ลูกทำไม? คุณดูแก่กว่าฉันอยู่แล้วจริง ๆ! ”
ตัวเองว่าลูกได้ แต่ซ่งเวยหลันไม่เคยยอมให้ใครมาว่าลูกเธอ เธอตอบกลับประโยคเดียวเยี่ยตงผิงถึงกับพูดไม่ออก จากนั้นเธอหันมาพูดกับเยี่ยเทียนต่อว่า
“ไม่ต้องมาพูดยอแม่เลย ไปไหนมา? ทำไมไม่โทรมาเลย? ”
เป็นผู้หญิง ใครๆก็ชอบให้คนอื่นมาชื่นชม โดยเฉพาะซ่งเวยหลัน เธอใช้น้ำมันกบหิมะที่เยี่ยเทียนนำมาให้ตลอดทั้งปี ผิวของเธอเนียนนุ่มขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก พอลูกชายชมหน่อย แม้ยังรู้สึกโกรธเล็กน้อย แต่เธอก็เอามือออกจากหูเยี่ยเทียน
“แม่ครับ ผมขอโทษ แต่เรื่องนี้แม่ต้องไปคุยกับคุณตาเองนะครับ! ”
ซ่งเฮ่าเทียนเดินเข้าเรือนกลางไปเรียบร้อยแล้ว จากนั้นเยี่ยเทียนพูดต่อว่า
“ชิงหย่า เมียรักของฉัน คิดถึงจังเลย! ”
เยี่ยเทียนโยนปัญหาให้คุณตาเสร็จเขาก็ไม่สนใจอะไรอีกเลย เยี่ยเทียนเดินเข้าไปกอดชิงหย่าและพูดว่า
“ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ถ้าไม่มีอะไรอย่ามารบกวนพวกเรานะครับ แล้วก็ นี่คือสิงห์ขนทอง ผมพามันมาเองครับ เจ้าตัวเล็กนิสัยไม่ค่อยดีนะครับ อย่าไปทำให้มันโกรธล่ะ! ”
เยี่ยเทียนพูดไป ขาก็เตะแตงโมลูกนั้นไป แล้วเปลือกแตงโมก็แตกกระจุยกระจาย แสงสีทองเส้นหนึ่งพุ่งเข้าไปที่ต้นไม้ใหญ่ข้างๆ ส่วนเนื้อแตงโมถูกกินจนหมดเกลี้ยง
“ปล่อยฉัน นาย…นายก็เก่งแต่แกล้งฉัน! ”
พอกลับมาถึงเรือนกลัง อวี๋ชิงหย่าก็เริ่มร้องไห้ สองมือทุบเข้าที่อกของเยี่ยเทียนไม่หยุด ความเป็นห่วงใยในหนึ่งปีที่ผ่านมา หายไปพร้อมกับอ้อมกอดของเยี่ยเทียน
“ชิงหย่า ฉันจะไม่แกล้งเธออีกแล้ว ขอโทษนะ เป็นความผิดของฉันเอง! ”
เยี่ยเทียนพูดขอโทษภรรยาที่ข้างหูด้วยเสียงแผ่วเบาจนหูของอวี๋ชิงหย่าเต็มไปด้วยลมหายใจอุ่น ๆ จากปากของเยี่ยเทียน ทันใดนั้นตัวของเธอก็อ่อนระทวย สองมือของเธอโอบเข้าที่คอและพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า
“นายต้องชดเชยให้ฉัน!”
“ได้สิ!” เยี่ยเทียนหัวเราะฮ่าๆ พอเข้าไปถึงห้องนอนเขาใช้ขาปิดประตู ดีดนิ้วชี้ จากนั้นไฟในห้องก็ดับลงจนมืดสนิท เสียงหายใจแรงก็ดังขึ้น
เยี่ยตงผิงและคนอื่นรู้หน้าที่และไม่ได้ไปรบกวนสองสามีภรรยาคู่นั้น แต่ซ่งเฮ่าเทียนกลับถูกลูกสาวตำหนิชุดใหญ่ พอเห็นว่ายากที่จะอธิบาย เขานั่งพักได้ครู่เดียว ก็หาเหตุผลและกลับออกไปทันที
……-
“ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะได้หรือไม่ได้? ”
เมื่อขอบฟ้าส่องแสงดวงตะวัน เยี่ยเทียนลืมตาขึ้นมองหน้าของภรรยาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เยี่ยเทียนใช้มือลูบไล้ใบหน้าภรรยาอย่างแผ่วเบา แล้วเขาก็รู้สึกผิดเล็กน้อย
เมื่อคืน เขาพบว่าภรรยาอยู่ในช่วงตกไข่ ความคิดอยากมีลูกสักคนจึงเกิดขึ้นในใจ แต่การที่พลังของเขาพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ยีนส์ในร่างกายของเขาต่างไปจากคนทั่วไป เมื่อคืนเยี่ยเทียนก็ไม่รู้ว่าเขาจะทำสำเร็จมั้ย?
“อย่า…ไปไหนอีกนะ! ”
อวี๋ชิงหย่าที่หลับอยู่เหมือนรู้สึกถึงบางอย่าง เธอจับมือของเยี่ยเทียนเอาไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย
“ไม่ไปแล้ว จากนี้ไปฉันจะไม่จากเธอไปไหนอีก! ”
เยี่ยเทียนนอนลงและดื่มด่ำกับความสงบนี้ การบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรค มีชีวิตอมตะ ล้วนไม่สำคัญกับเขาอีกต่อไป เขาเพียงแต่ต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบกับภรรยา
“เพราะนายแท้ๆเลย แม่ต้องแซวแน่ๆ ! ”
สองสามีภรรยานอนจนถึงบ่าย อวี๋ชิงหย่าหยิกเข้าที่เอวของเยี่ยเทียนไม่หยุด เมื่อคืนคงจะดุดันไปหน่อย พอตื่นขึ้นมา เยี่ยเทียนแทบจะเดินไม่ได้
“ไม่หรอก พวกท่านรออุ้มหลานอยู่นะ ไปกัน ไปกินข้าวกัน! ”
เยี่ยเทียนยิ้มเจ้าเล่ห์ เขาปล่อยปราณวิเศษเข้าไปในร่างกายของภรรยา ปราณวิเศษนั้นทำให้เธอรู้สึกสบายตัว ความเหน็ดเหนื่อยที่สั่งสมมาก็หายเป็นปลิดทิ้ง
“ท่านผู้เฒ่า นี่มันอะไรกันครับ? ”
พอมาถึงเรือนกลาง เยี่ยเทียนก็ขมวดคิ้วทันที เพราะเขาเห็นว่าซ่งเฮ่าเทียนพาคนสามสี่คนมานั่งอยู่ตรงเรือน เมื่อก่อนเวลามาบ้านของลูกสาว ซ่งเฮ่าเทียนไม่เคยให้ลูกน้องตามเข้ามาเลย
……………………….