ซ่งเฮ่าเทียนวางแก้วน้ำชาลง และกวักมือเรียกเยี่ยเทียน
“เยี่ยเทียน ออกไปข้างนอกกับตาหน่อย มีคนอยากพบแก!”
“แต่ผมยังไม่ได้กินข้าวเลยนะครับ กินข้าวเสร็จแล้วค่อยว่ากัน”
เยี่ยเทียนส่ายหัวด้วยความไม่พอใจ เมื่อคืนเพิ่งกลับมาถึงบ้าน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้พูดคุยกับครอบครัวเลย ถึงเรื่องจะใหญ่เท่าฟ้าก็ต้องกินข้าวให้เสร็จก่อน
เยี่ยเทียนพูดไปมองซ่งเฮ่าเทียนไป แล้วเขาก็ทำหน้าทะเล้นออกมา
“นั่นมองอะไร? จะขู่ผมหรือ? ”
เพราะตอนที่เยี่ยเทียนพูดเมื่อครู่ คนที่อยู่ข้างหลังซ่งเฮ่าเทียนส่งสายตาอันแหลมคมใส่เขาทุกคน ถ้าเป็นคนทั่วไปคงทำตัวไม่ถูกแล้ว แต่เยี่ยเทียนไม่สนใจอะไรเลย เขาดึงอวี๋ชิงหย่าไปที่ห้องกินข้าวของเรือนกลาง
“เยี่ยเทียน ไม่ไว้หน้าคุณตาหน่อยเลยเหรอ? ”
พอเข้ามาถึงห้องกินข้าว ซ่งเวยหลันมองลูกชายด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย พ่อของเธออายุจะแปดสิบแล้ว ยิ่งมาเชิญด้วยตัวเองอีก เธอรู้สึกว่าเยี่ยเทียนไม่ควรแสดงท่าทีแบบนั้น
เยี่ยเทียนยิ้มและพูดว่า
“แม่ครับ ถ้าไปกับคุณตา อาจจะต้องไปหลายวันเลยนะครับ ถ้าแม่จะให้ผมไป ผมไปเดี๋ยวนี้เลยก็ได้ครับ!”
“ไม่ได้ แกเพิ่งกลับมาเมื่อวาน ยังไม่ได้กินข้าวกับแม่สักมื้อเลย ให้พวกเขารอไปก็แล้วกัน เรากินข้าวกันเถอะ! ”
พอได้ยินลูกชายพูดแบบนี้ ซ่งเวยหลันรีบเปลี่ยนคำพูด ในสายตาของแม่ ลูกต้องมาก่อนเสมอ ลำดับต่อไปก็คือพ่อแม่ ส่วนคนที่ไม่มีตำแหน่งเลยก็คือสามี
“เฮ้อ เจ้านี่ พอมีของกินก็วิ่งเร็วเชียวนะ! ”
ไม่รู้ว่าสิงห์ขนทองมุดขึ้นมาที่โต๊ะอาหารตั้งแต่เมื่อไหร่กัน มันอุ้มจานเนื้อตุ๋นไว้และกินอย่างเอร็ดอร่อย ด้วยความน่ารักของมัน จึงไม่มีใครพูดอะไร ลูกพี่ลูกน้องของเยี่ยเทียนที่ชื่อหลิวหลันหลันนั่งอยู่ข้างมันดูแลมันอย่างดี
“วูวู…” เสี่ยวจินเงยหน้ามองเยี่ยเทียน กลอกตาใส่เยี่ยเทียนและกินต่ออย่างไม่สนใจ ทุกคนหัวเราะชอบใจกับท่าทางของมัน
…………
“ท่านครับ เอ่อ…”
หลังจากเยี่ยเทียนเดินจากไป ชายวันกลางคนอายุราวสามสิบที่ยืนอยู่ด้านหลังซ่งเฮ่าเทียนขมวดคิ้ว รูปร่างของเขาไม่สูง หน้าตาธรรมดามาก สิ่งที่ต่างไปจากคนทั่วไปก็คือสองมือที่ขาวผิดปกติ เล็บถูกตัดแต่งไว้อย่างสะอาดสะอ้าน แม้แต่มือที่ฉายบนหน้าจอทีวีก็ยังต้องยอมแพ้
“รอ พวกแกรอตรงนี้แหละ! ”
“ท่านครับ มีผู้ใหญ่อีกหลายท่านรออยู่นะครับ แบบนี้คงไม่ดีมั้งครับ? ”
คิ้วของชายคนนั้นขมวดแน่นขึ้นอีก เขาชื่อฉางเฮ่า ถึงแม้หน้าตาจะดูเหมือนคนอายุ 27-28 แต่อายุจริงๆมากกว่า 40 แล้วด้วยซ้ำ เป็นคนที่มีเบื้องหลังไม่ธรรมดา ถึงแม้จะอยู่ต่อหน้าซ่งเฮ่าเทียน สง่าราศรีก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลย
ฉางเฮ่าเกิดในตระกูลกังฟูของมณฑลเสฉวน เข้าเป็นทหารตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ เคยเข้าร่วมสงครามโจมตีกลับเพื่อการป้องกันในปี 1979 ตอนนั้นเขาอายุยังไม่ถึง 20 แต่เขานำกองกำลังสำรวจบุกศัตรูแล้วหลายครั้ง ความสามารถนี้เก่งกาจมากจนไม่มีใครเทียบได้ จนถึงวันนี้ เขาถือได้ว่าเป็นคนที่เก่งระดับอาจารย์สอนกังฟูก็ว่าได้
แต่ความสามารถที่เก่งที่สุดของฉางเฮ่า ไม่ใช่กังฟูของตระกูลแต่เป็นปืน ในระยะห้าสิบเมตร ด้วยสายตาอันเฉียบคม เขาไม่เคยยิงพลาดเป้า และเขาเก่งจนแม้กระทั่งเส้นผมที่โผล่ออกมาด้านนอก เขาสามารถยิงมันจนขาดและไม่โดนหัวของคนที่เป็นเป้า
ยุคหลังปี 1980 ฉางเฮ่าเคยได้รับยศผู้รักษาความปลอดภัยอันดับหนึ่งแห่งภาคกลางและภาคใต้ของประเทศ ตอนนี้เขาดำรงตำแหน่งผู้รักษาความปลอดภัยของข้าราชการระดับสูงของประเทศ แม้ว่าเขาจะใส่ชุดนอกเครื่องแบบ แต่ที่จริงแล้วเขามียศถึงพลตรี ในพระราชวัง มีแค่สองสามคนที่เป็นเหมือนเขา
ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงกล้าแสดงความไม่พอใจท่าทีของเยี่ยเทียนออกมาโดยตรง เขาก็มองไม่ออกว่าชายหนุ่มคนนี้ต่างจากคนทั่วไปตรงไหน แต่กลับมองแค่ว่าท่าทีของซ่งเฮ่าเทียนคือการตามใจหลานชายของตัวเองเท่านั้น
“หืม? แม้แต่คำพูดของฉันแกก็ไม่ฟังแล้วใช่มั้ย? ”
ซ่งเฮ่าเทียนหันกลับมาฮึ่มใส่ พูดเสริมว่า
“ถ้ามีอะไร เดี๋ยวฉันจะรับไว้เอง ไม่ให้พวกแกมารับเคราะห์แทนหรอก เพราะตำแหน่งของพวกเขา ทุกคนบนโลกนี้เลยต้องรีบไปพบอย่างงั้นหรือ? ”
ซ่งเฮ่าเทียนกุมอำนาจมาหลายปี แม้จะเกษียณแล้ว แต่เมื่อไหร่ที่ขรึมขึ้นมา รังสีแห่งความน่ายำเกรงก็ยังพอมีอยู่บ้าง ตอนแรกฉางเฮ่าอยากจะพูดต่อ แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าพูด เพราะตำแหน่งของเขาสองคนนั้นต่างกันมาก
“รีบกินนะ กินเสร็จแล้วไปพบคนๆหนึ่งกับฉันด้วย! ”
ถึงแม้เมื่อครู่จะตำหนิฉางเฮ่าไป แต่พอเดินเข้ามาในห้องอาหาร ซ่งเฮ่าเทียนก็ยังต้องเร่งเยี่ยเทียนอยู่ดี เพราะคนที่รอพวกเขาอยู่ ด้วยตำแหน่งของพวกเขา มีแต่คนอื่นเท่านั้นที่จะต้องเป็นฝ่ายรอ
เยี่ยเทียนส่ายหัวไปมา หลังจากช่วยแม่กับป้าใหญ่ตักซุปเสร็จ เขาพูดว่า
“ท่านผู้เฒ่าก็ชอบหาแต่เรื่องให้ผม ผมบอกแล้วว่าไม่ไป ยังทำแบบนี้ทำไม”
“หาเรื่อง? แกไม่ไปสิจะมีเรื่อง”
ซ่งเฮ่าเทียนถอนหายใจและพูดว่า
“ยิ่งแกมีความสามารถแค่ไหน แกถึงจะได้รับความเคารพเท่านั้น ถึงตอนนั้นแกอย่าซ่อนมันไว้ ปล่อยออกมาให้หมด! ”
“จะให้ผมไปแสดงโชว์อย่างงั้นเหรอ? ”
เยี่ยเทียนเบิกตากว้าง แล้วก็หัวเราะต่อ
“ก็ได้ครับ ผมรู้ว่าท่านหวังดี”
เมื่อเห็นซ่งเฮ่าเทียนนั่งลงแต่ไม่กิน เยี่ยเทียนจึงยืนขึ้นและพูดว่า
“งั้นก็ไปกันเถอะครับ คืนนี้ผมสัญญากับชิงหย่าว่าจะไปเดินเล่นด้วยกัน อย่าทำให้ผมต้องเสียเวลาทำเรื่องสำคัญนะครับ!”
“ไอ้เด็กนี่ อยากพูดอะไรก็พูดไปเถอะ! ”
ซ่งเฮ่าเทียนไปต่อไม่ถูกกับคำพูดของเยี่ยเทียน อย่าว่าแต่คนทั่วไป ทูตจากแต่ละเขตแดนอยากเข้าพบคนพวกนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วท่าทีเหมือนโดนบังคับของเยี่ยเทียน แม้แต่ซ่งเฮ่าเทียนก็รู้สึกหมั่นไส้จนอยากจะเตะ
“ก็ผมเป็นแค่คนธรรมดา อยากใช้ชีวิตกับลูกเมียเท่านั้น ชื่อเสียงอำนาจผมไม่สนใจหรอกครับ! ”
พอเดินออกมาจากห้องอาหาร เยี่ยเทียนแอบหัวเราะ ด้วยอายุเท่านี้แล้วพูดแบบนี้ อาจจะยังเร็วเกินไป
พวกฝีมือดีที่มีฉางเฮ่าเป็นหัวหน้า กำลังมองเยี่ยเทียนด้วยสายตาเหมือนมองคนบ้า พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนนี้มีดีตรงไหน ที่พวกเขาต้องวางมือจากงานที่ทำอยู่แล้วมารับงานนี้โดยเฉพาะ?
“ฝีมือแกก็ไม่เลว แต่การใช้ชีวิตที่สบายนานเกินไป ความสามารถก็จะด้อยลงนะ”
ตอนที่เดินผ่านฉางเฮ่า เยี่ยเทียนยิ้มพร้อมพูดว่า
“ฝีมือแกก็ไม่เลว เดิมที แกสามารถพัฒนาได้อีกถ้ายังอยู่สายกังฟู อาจจะเก่งกว่าหยางลู่ฉาน ต่งเซิงไห่ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่แกเปลี่ยนไปเล่นปืน ความคิดของแกก็เลยปะปนยุ่งเหยิงไปหมด ด้วยเหตุนี้ความสามารถในกังฟูของแกก็เลยหยุดเพียงเท่านั้น! ”
เยี่ยเทียนมีสายตาที่แหลมคมมาก มองแว๊บเดียวก็รู้เลยว่าฉางเฮ่ามีความสามารถแค่ไหน นอกจากศิษย์พี่และเหลยเจิ้นเทียนแล้ว เขาแทบจะไม่เคยเห็นคนที่มีฝีมือดีขนาดนี้ อายุแค่สี่สิบกว่าแต่มีพลังสับเปลี่ยนแล้ว ถือว่ามีพรสวรรค์กว่าศิษย์พี่ของเยี่ยเทียนอีก
สิ่งที่น่าเสียดายคือคนที่มีหวังเข้าถึงระดับเซียนเทียน สุดท้ายกลับเลือกทางเดินผิดๆ เดิมทีเขาเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ความสามารถที่ซ่อนอยู่ด้านในถูกปล่อยออกมาถึงจุดสูงสุด อาวุธปืนพวกนี้ก็ใช่ว่าจะทำอะไรได้
“สามหาว อายุก็น้อย รู้อะไรบ้าง! ”
ฉางเฮ่าตะลึงคำพูดของเยี่ยเทียนในตอนแรก แต่หลังจากนั้นเขาก็ได้สติ ที่เยี่ยเทียนพูดน่าจะเป็นเพราะซ่งเฮ่าเทียนเล่าให้ฟังตอนอยู่ในห้องอาหาร เยี่ยเทียนไม่มีทางรู้ด้วยตัวเองแน่ๆ
เยี่ยเทียนไม่สนใจคำพูดของฉางเฮ่า เขาส่ายหัวและเดินนำหน้าทุกคนไป คนๆนี้ไม่มีใจแห่งเต๋า หรืออาจจะพูดได้ว่าเขาซึมซับสรรพสิ่งในโลกมนุษย์ไปหมดแล้ว แล้วเยี่ยเทียนก็ไม่ใช่พระพุทธเจ้า จึงไม่คิดจะช่วยให้เขาเปิดใจ
ปากทางเรือนสี่ประสาน มีรถเก๋งสีดำจอดอยู่สามคันตั้งแต่เช้า
เยี่ยเทียนขึ้นนั่งคันที่สอง หลังจากขึ้นรถแล้ว หน้าต่างรถก็กลายเป็นสีดำทันที ไม่สามารถมองเห็นข้างนอกได้เลย แล้วที่นั่งด้านหลังกับห้องคนขับก็มีกระจกทึบเลื่อนขึ้นมากั้นไว้ พื้นที่ๆเยี่ยเทียนอยู่มืดสนิทในทันใด
“คุณเยี่ย ขออภัยนะครับ มันมีความจำเป็น โปรดเข้าใจ! ”
เสียงของฉางเฮ่าดังขึ้นจากด้านหลัง ถึงแม้เขาจะพูดด้วยเสียงสุภาพ แต่น้ำเสียงค่อนข้างแข็งทื่อ เห็นได้ชัดว่ามีความไม่พอใจในคำพูดของเยี่ยเทียนเมื่อสักครู่อยู่ไม่น้อย
“ครับ ผมของีบสักหน่อย ถึงแล้วปลุกผมก็แล้วกัน! ”
เยี่ยเทียนไม่สนใจเท่าไหร่ เขาหาวเสร็จก็ล้มตัวนอนจริงจัง ลูกเล่นแบบนี้ไม่มีความหมายอะไรกับเขาหรอก ขอแค่เขาปล่อยจิตออกมา กรุงปักกิ่งครึ่งหนึ่งก็อยู่ในสายตาของเขาหมดแล้ว
“คนนี้มันเก่งจริงหรือว่าโง่กันแน่? ”
การกระทำของเยี่ยเทียน ทำให้ฉางเฮ่าที่นั่งอยู่ด้านหน้าไม่เข้าใจ ถ้าสลับเป็นตัวเขาเอง การไปพบปะกับคนกลุ่มนั้นในครั้งแรก เขาไม่มีทางแสดงท่าทีที่สบายใจขนาดนี้แน่ๆ
รถเริ่มแล่นออกจากในเมือง และตรงไปยังทิศตะวันตก พอแล่นไปแล้วประมาณชั่วโมงครึ่ง รถก็เลี้ยวขึ้นทางชันที่ขรุขระ
หลังจากแล่นมาถึงตรงนี้ ตาของเยี่ยเทียนกระตุกเล็กน้อย เพราะเขาสัมผัสได้ถึงในระยะสิบกิโลเมตร มีคลื่นไฟฟ้าที่มองไม่เห็นครอบบริเวณนี้อยู่ น่าจะเป็นสิ่งที่เอาไว้ป้องกันดาวเทียมบนฟ้า
“ ไม่คิดว่าในปักกิ่งจะมีพื้นที่แบบนี้อยู่ด้วย”
เยี่ยเทียนพบว่า หลังจากที่รถแล่นออกจากทางชันออกไปสี่ห้าร้อยเมตรแล้ว จู่ๆรถก็เลี้ยวขวา แล้วด้านข้างของภูเขาลูกนั้นก็มีประตูบานใหญ่บานหนึ่งเปิดออก รถแล่นเข้าไปด้านใน จากนั้นประตูก็ปิดลงอย่างเงียบๆ
“ภูเขาทั้งลูกถูกขุดจนหมด ใช้เงินไปไม่น้อยเลยนะเนี่ย! ”
หลังจากเข้ามาถึงด้านใน เยี่ยเทียนยอมรับว่า บางทีเซียนก็สู้กำลังของคนไม่ได้
………………………….