“ประกาศ ประกาศ ประกาศเตือนภัยระดับหนึ่ง!”
ขณะที่ร่างของเยี่ยเทียนทะยานขึ้นสู่ฟ้า เสียงประกาศเตือนภัยก็ดังไปทั่วทั้งอาคารใต้ดินทั้งหมด ประตูพิเศษทุกบานปิดลงโดยอัตโนมัติ แหล่งจ่ายไฟของลิฟต์ที่ใช้เดินทางจากบนสันเขาลงไปใต้ดินถูกตัดขาดไปทันที การจ่ายไฟทั้งหมดถูกควบคุมผ่านระบบจ่ายไฟภายในอาคารใต้ดินแล้ว
ประกาศเตือนภัยระดับหนึ่งนั้นเป็นระดับที่สูงที่สุด ซึ่งจะใช้เมื่อมีการจู่โจมด้วยอาวุธนิวเคลียร์ แม้ว่าเสียงประกาศเตือนภัยระดับนี้จะเคยดังขึ้นมาหลายครั้งแล้ว แต่ทุกครั้งก็เป็นเพียงการฝึกซ้อมเท่านั้น และก่อนที่จะเปิดเสียงประกาศ ผู้บังคับบัญชาของแต่ละแผนกก็จะได้รับการแจ้งให้ทราบไว้ล่วงหน้าก่อนเสมอ
แต่สถานการณ์ในครั้งนี้กลับแตกต่างออกไป ในฐานทัพแห่งนี้ตั้งแต่ระดับหัวหน้ากองขึ้นไปจนถึงผู้บัญชาการฐานทัพ ต่างก็ไม่มีใครได้รับการแจ้งข่าวใดๆ เลย ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ ขณะนี้กลุ่มผู้นำซึ่งเป็นผู้กุมอำนาจของประเทศนี้ต่างก็อยู่ในอาคารใต้ดินแห่งนี้ทั้งหมด
ทำให้ทุกคนต่างนึกกันไปว่าอาจมีการจู่โจมจากศัตรูจริงๆ ในสถานการณ์ที่ไม่อาจติดต่อกับฝ่ายที่อยู่ใต้ดินได้เช่นนี้ ผู้บัญชาการฐานทัพจึงออกคำสั่งลงไป ให้ฐานทัพที่ใหญ่ที่สุดในเขตปักกิ่งและเทียนจินเริ่มปฏิบัติการโดยเร็วแล้ว
นักบินแต่ละคนต่างขึ้นไปประจำบนเครื่องบินที่จอดอยู่สุดปลายทางวิ่ง ภูเขาอีกฝั่งหนึ่งก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้วเช่นกัน เครื่องยิงขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานกว่าร้อยเครื่องโผล่ออกมาจากตำแหน่งต่างๆ บนภูเขา อานุภาพของขีปนาวุธเหล่านี้ สามารถที่จะทำให้น่านฟ้าเหนือกรุงปักกิ่งกลายเป็นเขตปลอดอากาศยานได้เลยทีเดียว
ในส่วนลึกที่สุดของภูเขานั้น ขีปนาวุธข้ามทวีปที่มีความยาวถึงสิบกว่าเมตรลูกหนึ่ง ก็ค่อยๆ เคลื่อนไปอยู่บนเครื่องยิง นี่เป็นขีปนาวุธที่ใช้สำหรับโต้ตอบการโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์โดยเฉพาะ หากกรุงปักกิ่งหรือฐานทัพถูกอาวุธนิวเคลียร์โจมตีเมื่อใด ขีปนาวุธลูกนี้ก็จะยิงออกไปทันทีเมื่อได้รับคำสั่ง
แน่นอนว่า ผู้บัญชาการฐานทัพไม่ได้มีอำนาจหน้าที่ในเรื่องนี้ ผู้นำสูงสุดของประเทศจะเป็นผู้ตัดสินใจว่า จะยิงขีปนาวุธข้ามทวีปลูกนี้ออกไปหรือไม่ ตอนนี้จึงทำได้เพียงเตรียมความพร้อมก่อนยิงเอาไว้ก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความฉุกละหุก
ประกาศเตือนภัยนั้นหมายถึงสงคราม หลังจากผ่านไปเพียงไม่กี่สิบวินาที ในฐานทัพก็เริ่มปฏิบัติการอย่างรวดเร็ว แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง ผู้บัญชาการสูงสุดในฐานทัพก็ได้รับโทรศัพท์จากผู้นำอาวุโสที่อยู่ใต้ดิน
“อะไรนะครับ? ให้หยุดการเตรียมความพร้อมทางทหารเดี๋ยวนี้?”
ผู้บัญชาการฟังคำสั่งแล้วก็อึ้งไป ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นหน้าผู้ออกคำสั่งผ่านวิดีโอคอลอย่างชัดเจน เขาก็อาจจะสงสัยว่าหูของตัวเองมีปัญหาด้วยซ้ำ เพราะต่อให้เป็นการฝึกซ้อม ก็ต้องดำเนินการต่อไปจนกว่าขั้นตอนทั้งหมดจะเสร็จสิ้น
“ครับผม น้อมปฏิบัติตามคำสั่ง!”
ผู้บัญชาการก็มีปฏิกิริยาโต้ตอบเร็วเหมือนกัน แสดงความเคารพทันที ยังไม่วางสายของท่านผู้นำอาวุโส แต่ประกาศคำสั่งออกไปอย่างต่อเนื่องเดี๋ยวนั้นเลย แล้วเสียงประกาศเตือนภัยภายในฐานทัพก็หยุดลงทันที
“รายงานครับ!”
เพิ่งจะออกคำสั่งเสร็จ เสียงหนึ่งก็พูดมาจากทางประตู เจ้าหน้าที่ประดับยศสองขีดหนึ่งดาว (ยศพันตรี) บนบ่านายหนึ่งกำลังมีสีหน้าประหม่ากังวลอย่างไม่อาจปกปิดได้
“เรื่องอะไร?”
ผู้บัญชาการทำหน้าขรึม เขาไม่อยากให้ท่านผู้นำอาวุโสเห็นว่า ทหารใต้บังคับบัญชาของเขาไม่มีความอดทนแบบนี้
“เรียนท่านผู้บัญชาการ ที่…ที่เขตหมายเลขสาม ปรากฏ…ปรากฏหลุมขึ้นแห่งหนึ่งครับ!”
เจ้าหน้าที่นายนั้นตอบอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ
“จากการประเมินโดยคร่าวๆ ตำแหน่งของหลุมนั้นดูจะตรงกับฐานทัพใต้ดินพอดีเลยครับ!”
“อะไรนะ? เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไงกัน?”
เจ้าหน้าที่พูดยังไม่ทันขาดคำ ผู้บัญชาการมีสีหน้าเปลี่ยนไป ฐานทัพใต้ดินแห่งนี้ต้องใช้เวลาทั้งหมดสามสิบกว่าปี ผ่านยุคของผู้นำหลายสมัย จึงจะสามารถก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ได้ ที่ใต้ดินนั้นนอกจากหินผาและคอนกรีตแล้ว ยังมีซีเมนต์เสริมโครงเหล็กและวัสดุทนแผ่นดินไหวอีกด้วย
กล่าวได้ว่า ต่อให้ทีมวิศวกรฝีมือเยี่ยมของฝ่ายกลาโหมมาดำเนินการก่อสร้าง หากต้องการจะขุดหลุมทะลุตรงลงไปจากผิวดิน อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งปี ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าหน้าที่นายนี้เป็นคนสนิทของเขา ซึ่งไม่มีทางหลอกลวงเขาเด็ดขาดแล้วละก็ สงสัยผู้บัญชาการคงได้ระเบิดผรุสวาทใส่เขาไปแล้ว
หยาดเหงื่อขนาดเท่าเมล็ดถั่วผุดขึ้นมาจากหน้าผากของผู้บัญชาการ เขาพูดกับจอวิดีโอคอลว่า
“ท่านผู้นำครับ ผมจะไปดูก่อน แล้วจะกลับมารายงานต่อท่านทันทีเลยครับ!”
“ไม่ต้องหรอก ปิดกั้นพื้นที่เขตนั้นไปเลย แล้วอย่าให้ใครเข้ามาใกล้ล่ะ!”
เสียงจากปลายสายฟังดูค่อนข้างเหนื่อยล้า
“นี่ ผมว่านะ เยวี่ยเหล่า ส่งไฟฟ้าขึ้นมาเถอะ ผมไม่อยากจะทำแบบเดิมอีก!”
ขณะที่ผู้บัญชาการกำลังตบเท้า เตรียมขานตอบรับคำสั่ง เสียงหนึ่งก็เอ่ยขึ้นข้างหูเขาอย่างฉะฉานชัดเจน เมื่อเงยหน้ามองไปก็เห็นว่า ข้างๆ เขามีชายหนุ่มนุ่งชุดขาวสำหรับฝึกยุทธคนหนึ่งมาอยู่ด้วยตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ และกำลังพูดกับผู้นำอาวุโสที่อยู่ในวิดีโอ
“คุณเป็นใคร…คนที่เพิ่งจะเข้าไปในฐานทัพนั่นน่ะหรือ?”
ในฐานะที่เป็นผู้บัญชาการสูงสุดของฐานทัพแห่งนี้ เขาจึงรู้เรื่องที่เยี่ยเทียนเข้าไปในฐานทัพ แต่สิ่งที่เขาไม่เข้าใจคือ ชายหนุ่มคนนี้ก็ลงไปที่ฐานทัพใต้ดินด้วย
“หรือว่า…หลุมนั่น?”
ความคิดที่แสนจะพิลึกพิลั่นอย่างหนึ่งพลันผุดขึ้นมาในสมองของผู้บัญชาการ แต่แล้วก็ถูกตัวเขาเองลบล้างไปทันที ก็นั่น…นั่นมันเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เลยนี่นา
“ผู้บัญชาการโจว ส่งคุณเยี่ยลงมาเถอะ!”
โดยไม่รอให้ผู้บัญชาการคิดมากอีก ผู้นำอาวุโสก็ออกคำสั่งผ่านวิดีโอมา ผู้บัญชาการโจวจึงรีบตอบรับ แล้วกรอกรหัสอันซับซ้อนชุดหนึ่งที่แผงควบคุม จากนั้นระบบจ่ายไฟใต้ดินก็กลับสู่สภาพเดิม
“ค…คุณเยี่ย เชิญทางนี้ครับ!”
ตอนที่เยี่ยเทียนลงไปถึงใต้ดินอีกครั้ง ผู้ที่มารับเขาก็ยังคงเป็นฉางเฮ่า ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งวังหลวงคนนั้นเหมือนเดิม แต่ยามนี้เขามีสีหน้าซีดเผือดผิดธรรมดา เวลามองมาที่เยี่ยเทียน ความมั่นใจที่เคยปรากฏในแววตาก็ไม่เหลือให้เห็นอีก แทนที่ด้วยความพรั่นพรึงที่ไม่อาจสลัดให้หลุดไปได้
กิริยาท่าทางของฉางเฮ่าก็ถือว่าไม่เลวแล้ว กลุ่มเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ตามมากับเขานั้น ต่างก็กุมมือขวาไว้บนด้ามปืนแน่น สงสัยแค่เยี่ยเทียนไอเสียงดังขึ้นมาทีหนึ่ง ก็คงจะไปกระตุ้นการตอบสนองอัตโนมัติของคนพวกนี้จนปืนลั่นขึ้นมาแล้ว ถึงพวกเขาจะรู้อยู่ว่า ของพรรค์นี้นำมาใช้กับเยี่ยเทียนก็ไร้ประโยชน์ แต่ก็พอจะทำให้ตัวเองรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาได้บ้าง
คนเหล่านี้ต่างก็เคยเห็นเยี่ยเทียนทะลุชั้นดินลึกหลายสิบเมตรนั้นด้วยตัวเปล่ากับตาตัวเองมาแล้ว เรื่องนี้ทำให้มุมมองที่พวกเขามีต่อวิชาฝีมือกลับตาลปัตรไปโดยสิ้นเชิง จึงส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจอย่างรุนแรง เยี่ยเทียนผู้มีรูปลักษณ์บอบบางนี้ ในสายตาของพวกเขาราวกับเป็นขุนเขาสูงตระหง่านที่ไม่อาจพิชิตได้ลูกหนึ่ง ซึ่งกดทับลงบนหัวใจของพวกเขาอย่างหนักหน่วง
“เหล่าฉาง ไปกันเถอะ!”
เยี่ยเทียนพึงพอใจต่อปฏิกิริยาของคนเหล่านี้มาก สาเหตุที่เขาต้องเล่นเสียใหญ่โตขนาดนี้ ก็เพราะต้องการที่จะข่มขวัญคนเหล่านี้เสียหน่อย ให้พวกนี้ได้รู้กันบ้างว่า ในโลกใบนี้ ยังมีพลังที่ตัวเองไม่รู้จักอยู่ด้วย และความแข็งแกร่งของพลังประเภทนี้ ก็ไม่ใช่ว่าอาศัยคนมากแล้วจะสามารถต้านทานได้
เมื่อเยี่ยเทียนกลับไปถึงห้องประชุมนั้น ใบหน้าก็มีรอยยิ้มออกมา เพราะเขารู้ว่า ตัวเองได้บรรลุเป้าหมายแล้ว แต่ละคนที่นั่งล้อมอยู่รอบโต๊ะกลมนั้นไม่ได้ขยับเขยื้อนร่างกายเลยแม้แต่นิดเดียว ใบหน้าที่พยายามฝืนให้ดูสุขุมเยือกเย็นนั้น ก็ยังปรากฏความแตกตื่นอยู่
แม้แต่ซ่งเฮ่าเทียนเอง ยามนี้ก็กำลังตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออกเหมือนกัน เขารู้ว่าหลานชายของตนนั้นอาจจะร้ายกาจอยู่ แต่ก็ไม่นึกไม่ฝันเลยว่า เยี่ยเทียนจะถึงกับสามารถทะลุผ่านชั้นดินหนาหลายสิบเมตรด้วยตัวเปล่าได้แบบนั้น นี่มันน่าตื่นตระหนกเกินไปแล้ว
นอกจากจะรู้สึกตื่นตระหนกแล้ว ซ่งเฮ่าเทียนยังลอบร้องว่าดีในใจอีกด้วย เมื่อเยี่ยเทียนแสดงความสามารถออกมาเช่นนี้แล้ว คนที่อยู่ในที่นี้ก็จะไม่มีใครกล้าคิดทำร้ายเขาเด็ดขาด ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลังก็ตาม อันหลักการที่ว่า ตีงูไม่ตาย กลับกลายเป็นภัยถึงตัวนั้น เชื่อว่าคนเหล่านี้คงเข้าใจกันดี
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนเข้ามา เยวี่ยเหล่าก็โบกมือแล้วพูดขึ้นว่า
“เสี่ยวฉาง พวกคุณออกไปเถอะนะ!”
“ท่านผู้นำ นี่…”
ฉางเฮ่ามองไปทางเยี่ยเทียน ถ้าปล่อยบุคคลอันตรายแบบนี้ไว้ในห้อง ก็จะดูเหมือนว่าเขาบกพร่องต่อหน้าที่อีก
“ออกไปเถอะ ถ้าคุณเยี่ยประสงค์ร้ายต่อพวกเรา พวกคุณก็คงจะหยุดยั้งไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ”
เยวี่ยเหล่ายิ้มเยาะตัวเอง หลังจากที่เยี่ยเทียนแสดงฝีมือออกมาแล้ว พวกเขาถึงเพิ่งจะตระหนักว่า อำนาจเบ็ดเสร็จที่พวกตนเคยพึ่งพาในอดีตนั้น เมื่อมาอยู่ต่อหน้าพลังอันไร้เทียมทานเช่นนี้แล้ว ก็กลับกลายเป็นไร้พิษสงดั่งเสือกระดาษ
การที่ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้นั้นเป็นความรู้สึกที่ย่ำแย่อย่างยิ่ง จนพวกเขาถึงขั้นเกิดความคิดที่จะกำจัดเยี่ยเทียนโดยการทำลายกายเนื้อของเขาเสีย แต่หลังจากที่พิจารณาดูหลายหน พวกเขาก็ต้องเศร้าใจเมื่อตระหนักว่า ไม่มีวิธีการใดเลยที่จะสามารถจัดการกับชายหนุ่มผู้นี้ได้
และหากปฏิบัติการกำจัดเยี่ยเทียนล้มเหลวขึ้นมา พวกเขาก็จะต้องประสบกับหายนะอย่างร้ายแรง แม้จะหลบซ่อนอยู่ในฐานทัพใต้ดินซึ่งสามารถป้องกันอาวุธนิวเคลียร์ได้แห่งนี้ พวกเขาก็คงหนีการล่าสังหารของเยี่ยเทียนไม่พ้นอยู่ดี การกระทำของเยี่ยเทียนเมื่อครู่ได้ยืนยันในจุดนี้อย่างชัดเจนแล้ว
“ฮ่ะๆ ผมอาจจะทำเลยเถิดไปหน่อย ในเมื่อทุกท่านอยากจะรู้เกี่ยวกับความสามารถของพวกผู้บำเพ็ญพรต ผมก็เลยได้แต่สาธิตให้ชมกันเล็กน้อย คงไม่ได้ทำให้ทุกท่านตกอกตกใจกันใช่ไหมครับ?”
หลังจากรอจนพวกฉางเฮ่าถอยออกไปแล้ว เยี่ยเทียนก็หัวเราะฮ่าๆ เก็บงำพลังปราณบนร่างทั้งหมดไว้ แต่ต่อให้ตอนนี้เขาดูเหมือนเด็กผู้ชายข้างบ้านธรรมดาๆ คนหนึ่ง พวกคนใหญ่คนโตเหล่านี้ก็คงจะไม่กล้าแสดงกิริยายกตนข่มท่านอีกแล้ว
“ที่ไหนกันล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณเยี่ย ผู้เฒ่าผู้แก่อย่างพวกเราก็คงจะยังเป็นกบในกะลาครอบกันอยู่เลย”
เยวี่ยเหล่าได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะเฝื่อนๆ ออกมา แบบนี้ยังเรียกว่า ‘สาธิตเล็กน้อย’ อีก? อย่างนั้นถ้าเยี่ยเทียนทุ่มพลังทั้งหมดละก็ มิทำให้ฐานทัพแห่งนี้ถล่มราบไปเลยหรือ?
แม้จะรู้ว่า คำพูดของเยี่ยเทียนนั้นออกจะเกินจริงอยู่บ้าง แต่ความสามารถที่เยี่ยเทียนได้แสดงออกมานั้น ก็ทำให้ผู้สูงวัยเหล่านี้ต่างรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมาแล้ว แม้แต่นายพลจ้าวคนนั้นก็ยังนั่งหน้าขรึมไม่พูดจาอยู่ด้านข้าง
“เยวี่ยเหล่าชมเกินไปแล้ว ยาวิเศษที่ผมตกลงไว้นั้น ผ่านไปอีกสักระยะหนึ่งจะฝากท่านผู้เฒ่านำมาส่งมอบให้ทุกท่านนะครับ…”
เยี่ยเทียนยิ้มแย้ม ถึงวาจาที่กล่าวออกมาจะฟังดูเหมือนอ่อนน้อมยอมรับบัญชา แต่สิ่งที่ไม่ได้กล่าวออกมานั้นทุกคนต่างเข้าใจดี นั่นก็คือ ยาวิเศษนั้นผมจะนำมาให้ แต่พวกคุณก็ต้องรู้จักยั้งใจบ้าง อย่าได้เอ่ยถึงความต้องการที่ไร้สาระแบบนี้ขึ้นมาอีก
นี่ทำให้ทุกคนออกจะรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง แต่คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ที่มีชั้นเชิงลึกซึ้ง จึงไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้า มีเพียงนายพลจ้าวที่ถึงอย่างไรก็ยังคงมีนิสัยอย่างทหาร หลังจากทนจนสุดจะทนแล้ว ในที่สุดก็ลุกขึ้นมา และถามว่า
“ค…คุณเยี่ย คุณมีความสามารถขนาดนี้ แล้วทำไมถึงมาทำงานให้รัฐไม่ได้ล่ะ?”
“การบำเพ็ญพรตนั้นเดิมทีก็เป็นการกระทำที่ฝืนต่อลิขิตฟ้าอยู่แล้ว คุณว่าตั้งแต่ปรมาจารย์เฉินถวนไปจนถึงท่านนักพรตซันเฟิง มีผู้บำเพ็ญสักกี่คนล่ะที่เข้าไปอยู่ในวังหลวง?”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า แล้วพูดต่อไปว่า
“ผู้บำเพ็ญพรตนั้นก็ไม่ได้มีแค่คนเดียว ตั้งแต่สมัยสงครามฝิ่นไปจนถึงตอนที่กองทัพพันธมิตรแปดชาติรุกรานจีน พวกคุณเคยเห็นใครเสนอตัวออกมาเกี่ยวข้องด้วยไหมล่ะ?”
……………………