หลังจากฟังคำพูดของเยี่ยเทียน เหล่าผู้อาวุโสที่อยู่ในที่นั้นต่างก็มีสีหน้าครุ่นคิด เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนประเทศชาติกำลังตกต่ำ ถูกเหยียดหยามรังแกสารพัด แต่จากคำบอกเล่าของเยี่ยเทียน ในสมัยนั้นก็น่าจะมีบุคคลที่แข็งแกร่งพอๆ กับเขาอยู่เหมือนกัน แล้วทำไมคนเหล่านั้นถึงไม่ออกมาช่วยกอบกู้ประเทศชาติที่กำลังตกอยู่ในวิกฤตล่ะ?
“แล้วตกลงเป็นเพราะอะไรกันแน่?”
นายพลจ้าวเงยหน้าขึ้นมา ในฐานะทหารผู้หนึ่ง เขาย่อมจดจำประวัติศาสตร์ช่วงนี้ไว้ในใจได้อย่างฝังแน่น ไม่กล้าลืมเลือนไปแม้แต่ชั่วขณะเดียว
“ในสายตาของพวกเรา การสู้รบระหว่างประเทศหนึ่งกับอีกประเทศหนึ่งนั้น ก็เป็นเพียงเรื่องตลกฉากหนึ่งเท่านั้นเอง”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า ในทางเต๋ามีคำกล่าวว่า ‘ฟ้าดินไร้ลำเอียง ทุกชีวิตเฉกเช่นสุนัขฟาง’ หมายถึงฟ้าดินมีเมตตาค้ำจุนทุกชีวิตบนโลกอย่างเท่าเทียมกัน มิได้เลือกที่รักมักที่ชังต่อชีวิตใดเป็นพิเศษ ผู้บำเพ็ญพรตส่วนมากยึดถือตามหลักของเล่าจื๊อ จึงวางเฉยต่อการต่อสู้รบราทั้งมวลในโลก
ยิ่งไปกว่านั้น หากก่อกรรมฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไว้มาก เมื่อถึงยามที่ต้องผ่านภัยอัศนีสวรรค์ก็อาจจะทำให้มารในใจถูกชักนำออกมา มารในใจนั้นบางครั้งยังอันตรายยิ่งกว่าอัสนีสวรรค์เสียอีก การที่ผู้บำเพ็ญพรตเหล่านั้นไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ในบางกรณีก็อาจจะมาจากสาเหตุข้อนี้นี่เอง
แน่นอนว่า ก็มีคนบางกลุ่มที่พลังฝีมือไม่ได้สูงส่งนักไปเข้าร่วมการต่อสู้ โดยได้ปะทะกับผู้มีพลังพิเศษบางกลุ่มจากทางตะวันตกด้วยเช่นกัน นี่จึงเป็นสาเหตุที่บรรดาผู้นำอาวุโสเหล่านี้พอจะมีความรู้เกี่ยวกับผู้บำเพ็ญพรตอยู่บ้าง แต่สิ่งที่พวกเขารู้ก็เป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น
“คุณเยี่ย อย่างนั้นคุณพอจะช่วยก่อตั้งองค์กรบุคคลผู้มีพลังพิเศษให้แก่ประเทศเรา และคอยให้คำชี้แนะบ้างได้ไหมล่ะ?”
นายพลจ้าวไม่ได้มีท่าทีเบ่งอำนาจเหมือนอย่างเดิมแล้ว เพราะเขารู้ว่า เมื่อมาอยู่ต่อหน้าชายหนุ่มคนนี้แล้ว ตนไม่มีต้นทุนอะไรที่จะนำมาโอ้อวดได้เลย ถ้าเขายังจะอ้างถึงกองทัพนับล้านอีก จะทำให้ตัวเองกลายเป็นที่น่าดูหมิ่นเสียมากกว่า
“การบำเพ็ญพรตไม่ใช่เรื่องที่จะทำสำเร็จกันได้ง่ายๆ จำนวนของผู้มีพลังพิเศษก็มีอยู่เป็นสัดส่วนน้อยยิ่งกว่าน้อย และหลักวิชาที่คนเหล่านี้ใช้ฝึกฝนกันก็แตกต่างจากของผม ผมคงให้คำชี้แนะอะไรกับคนเหล่านี้ไม่ได้หรอกครับ!”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า ไม่ใช่ว่าเขาเห็นแก่ตัว แต่กล่าวตามตรงคือ การที่เขาสามารถมีพลังในระดับปัจจุบันนี้ได้นั้น แม้จะมีเหตุบังเอิญมากมายมาช่วยส่งเสริม แต่ก็ต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกว่าจะฝึกฝนมาได้อย่างยากลำบาก ส่วนผู้มีพลังพิเศษนั้นกลับได้ครอบครองพลังอันแข็งแกร่งมาตั้งแต่เกิด เรียกได้ว่าเป็นลูกรักของพระเจ้า นับว่าเดินทางคนละสายกันกับเยี่ยเทียน
อย่างแม่สาวน้อยเจียงซานคนนั้น ในด้านศาสตร์การเสี่ยงทาย เธอก็ถือว่ามีพรสวรรค์อย่างหาที่เปรียบมิได้ แม้แต่เยี่ยเทียนเองก็ยังต้องยอมให้ แต่ในทำนองเดียวกัน พัฒนาการในด้านการบำเพ็ญพรตของเจียงซานก็ไม่อาจจะเทียบชั้นกับเยี่ยเทียนได้เช่นกัน กระทั่งยังด้อยกว่าโจวเซี่ยวเทียนอีกมาก
จากจุดนี้สามารถอธิบายได้ว่า ผู้มีพลังพิเศษและผู้บำเพ็ญพรตมีความแตกต่างกันอย่างมากในด้านคุณสมบัติเนื้อแท้
แน่นอนว่า ถ้าเยี่ยเทียนลงแรงศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจังแล้ว ก็อาจจะค้นพบวิธีการพัฒนาความสามารถของผู้มีพลังพิเศษได้บ้าง เพียงแต่ว่า ขนาดภาระใหญ่ของสำนักตัวเองเขายังคร้านจะไปยุ่งเลย แล้วจะมีแก่ใจที่ไหนไปนำเชือกอีกเส้นหนึ่งมาพันธนาการตัวเองไว้? จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะปฏิเสธคำขอของนายพลจ้าว
“คุณเยี่ย…”
“นายพลจ้าว ไม่ต้องพูดอีกแล้วละ เรื่องที่ผมตัดสินใจไปแล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเพราะเหตุผลจากภายนอกหรอกนะ”
เมื่อเห็นว่านายพลจ้าวยังจะพูดอีก เยี่ยเทียนจึงโบกมือขึ้นปราม
“ความแข็งแกร่งและรุ่งเรืองของประเทศหนึ่งๆ นั้น ต้องวิเคราะห์กันที่ด้านการทหารและด้านเศรษฐกิจ ไม่ใช่ว่าจัดทีมยอดมนุษย์ขึ้นมาหนึ่งทีมแล้วก็จะสยบผู้อื่นได้ทั่วหล้า อีกอย่างคนพวกนี้ก็ร่างกายเปราะบาง อาวุธสมัยใหม่สามารถต่อกรได้อยู่แล้ว พวกคุณไม่ต้องกังวลไปหรอก”
กล่าวถึงผู้มีพลังพิเศษ เคานต์ที่ชื่อว่าเคิร์ทอะไรนั่นที่เยี่ยเทียนเคยเจอที่ไซบีเรียก็ถือว่าเป็นผู้มีพลังพิเศษคนหนึ่งเช่นกัน แต่เขาพัฒนาพลังนั้นโดยอาศัยการดูดรับปราณวิเศษจากโลหิตของมนุษย์ พลังปราณชีวิตตามธรรมชาติที่ดีๆ ก็มีอยู่ ดันไม่รับมาใช้ ในความคิดของเยี่ยเทียน วิธีการเช่นนี้ทั้งโหดเหี้ยมทั้งโง่เขลา ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงไม่ได้ให้ความสำคัญแก่พวกผู้มีพลังพิเศษเท่าไรนัก
“เหล่าจ้าว ไม่ต้องพูดแล้วละ”
เยวี่ยเหล่ารู้นิสัยของนายพลจ้าว กลัวว่าเขาจะโต้เถียงกับเยี่ยเทียนอย่างไม่จบไม่สิ้น จึงเอ่ยขึ้นเพื่อตัดบทสนทนาของทั้งคู่
“คุณเยี่ย กล่าวจากมุมมองของสาธารณะแล้ว คุณก็เป็นลูกหลานชาวจีนคนหนึ่ง และหากว่ากันในมุมมองส่วนตัว คุณก็เป็นหลานชายของซ่งเหล่า ผมไม่กล้าเสนอคำขออะไรกับคุณ แต่หวังว่าหากวันหนึ่งข้างหน้าประเทศชาติต้องการคุณแล้วละก็ คุณจะสามารถทำตามหน้าที่ในฐานะพลเมืองคนหนึ่งได้!”
“ใช้คุณธรรมมากดดันผมงั้นรึ?”
เยี่ยเทียนได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมา คิดดูครู่หนึ่งแล้วจึงพูดขึ้นว่า
“ได้ เรื่องนี้ผมตกลง แต่ผมก็หวังว่า ครอบครัวและมิตรสหายของผมจะสามารถมีชีวิตอย่างสงบสุขปลอดภัย เงื่อนไขนี้คงไม่ได้มากเกินไปใช่ไหมครับ?”
ตอนที่รับปากซ่งเฮ่าเทียนว่าจะมาที่นี่ จริงๆ แล้วในใจเยี่ยเทียนก็มีความคิดที่จะมาประนีประนอมอยู่เหมือนกัน จริงอยู่ว่า เขาสามารถเรียกอัสนีสวรรค์จินตัน เปิดช่องว่างออกจากมิตินี้ไปได้อยู่แล้ว แต่เรื่องที่ว่าหนึ่งคนบรรลุมรรค ไก่และสุนัขได้พึ่งบุญขึ้นสวรรค์นั้น ในปัจจุบันนี้ดูท่าทางไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะคนในครอบครัวของเยี่ยเทียนก็ยังคงต้องใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้ต่อไป
ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงไม่อยากจะตัดสินเรื่องนี้อย่างเด็ดขาดเกินไป ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่เทพเซียน ถ้าเกิดคนในครอบครัวเกิดเหตุสุดวิสัยอะไรขึ้นมา ถึงเยี่ยเทียนจะนึกเสียใจก็คงสายไปแล้ว ไม่สู้ให้รัฐติดค้างน้ำใจเขาสักครั้งหนึ่ง คาดว่าคนเหล่านี้ก็น่าจะเข้าใจดีว่าควรปฏิบัติอย่างไร
“ไม่มากเกินไปอยู่แล้วละ คุณเยี่ย วางใจเถอะนะ เรื่องแค่นี้รัฐทำได้แน่นอน!”
เยวี่ยเหล่าสบตากับคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านข้าง แล้วตอบตกลงทันที สำหรับพวกเขาแล้ว ไม่ได้กลัวว่าเยี่ยเทียนจะมีข้อเรียกร้องอะไร แต่กลัวว่าเขาจะไม่ต้องการอะไรเลยเสียมากกว่า ภาษิตว่า ผู้ไร้กิเลสย่อมไม่ร้องขอสิ่งใด ถ้าเยี่ยเทียนไม่ต้องการอะไรเลยจริงๆ อย่างนั้นพวกเขาก็ไม่รู้แล้วว่าควรจะทำอย่างไรดี
“ตกลง มีคำพูดประโยคนี้ของท่านก็พอแล้วละครับ ทุกท่านต่างเป็นผู้ที่มีภาระหน้าที่มากมาย ผมก็จะไม่รบกวนต่อไปแล้ว…”
เยี่ยเทียนพยักหน้า แล้วหันไปพูดกับซ่งเฮ่าเทียน “ท่านผู้เฒ่า จะกลับไปพร้อมกับผมไหมครับ?”
“ที่นี่ฉันก็ไม่มีธุระอะไรแล้ว ไปพร้อมกับแกเลยก็แล้วกัน”
ซ่งเฮ่าเทียนได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นมา เขาถอนตัวออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยของกลุ่มผู้วางยุทธศาสตร์สูงสุดไปแล้ว เพียงแต่เพราะเยี่ยเทียนเป็นต้นเหตุจึงได้มาปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนี้อีก ตอนนี้เมื่อเยี่ยเทียนเจรจากับคนเหล่านี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ซ่งเฮ่าเทียนก็ไม่จำเป็นต้องอยู่เป็นคนกลางอีก
“อย่างนั้นก็ได้ ฉางเฮ่า!”
เยวี่ยเหล่าก็ไม่ได้รั้งแขกไว้ เรียกฉางเฮ่าเข้ามาแล้วเอ่ยขึ้นว่า
“ฉางเฮ่า ส่งคุณเยี่ยกับซ่งเหล่ากลับไปทีนะ ระหว่างทางก็ขับรถระวังๆ หน่อยล่ะ!”
“ครับ ท่านผู้นำ!”
เมื่อได้ยินคำสั่งของเยวี่ยเหล่า ฉางเฮ่าก็อดผ่อนลมหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอกไม่ได้ ในที่สุดก็ได้ส่งเจ้าปีศาจนี่กลับไปเสียที ช่วงเวลาที่เยี่ยเทียนอยู่ในห้องนั้น สำหรับฉางเฮ่าและบรรดาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยแล้ว ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ทรมานอย่างแสนสาหัสเลยทีเดียว
คราวนี้หลังจากขึ้นไปนั่งบนรถแล้ว ฉางเฮ่าก็ไม่กล้าเล่นชั้นเชิงอะไรอีก จึงลดฉากกั้นระหว่างที่นั่งตอนหน้าและตอนหลังลงอย่างใจกว้างผ่าเผย แต่เยี่ยเทียนกลับไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจนี้เลย ตรงกันข้ามกลับให้ฉางเฮ่าปิดฉากกั้นกลับขึ้นมาอีก ขณะเดียวกันก็ดีดนิ้วกลางมือขวา ทำลายเครื่องดักฟังเล็กๆ เครื่องหนึ่งที่อยู่หลังรถไปทันที
“ท่านผู้เฒ่า คนพวกนั้นคงจะไม่ทำอะไรไร้เหตุผลใช่ไหมครับ?”
สาเหตุที่เยี่ยเทียนลากซ่งเฮ่าเทียนมาด้วยกันก็เพราะอยากจะฟังดูว่า ซ่งเฮ่าเทียนจะวิเคราะห์เรื่องนี้อย่างไร ถึงเยี่ยเทียนจะนับว่ามีความรู้และประสบการณ์กว้างขวาง แต่ส่วนมากก็คลุกคลีอยู่ในหมู่ไพร่ฟ้าประชาชน ประสบการณ์ในเรื่องระดับประเทศเช่นนี้จึงยังน้อยกว่าพวกจิ้งจอกเฒ่าเหล่านั้นมากนัก
และเยี่ยเทียนยังรู้ว่า ด้านนอกห้องประชุมห้องนั้น มีอุปกรณ์เทคโนโลยีสูงมากมายที่ได้สแกนตรวจร่างกายของเขาไป แต่ของพวกนี้นำมาใช้กับเยี่ยเทียนก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เขาจึงคร้านที่จะเอ่ยถึง
“ไม่หรอก พลังที่แกแสดงออกมาน่ะ ได้ทำลายเกราะป้องกันทางจิตวิทยาของพวกนั้นไปแล้วละ”
ที่จริงแล้วคนระดับซ่งเฮ่าเทียนนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถกระทำทุกสิ่งตามใจปรารถนาได้อย่างที่ผู้คนคาดคิดกัน ในปรัชญาการเข้าสังคมของคนเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นงานระหว่างประเทศหรือในประเทศ โดยปกติก็มักจะยึดการรักษาสมดุลและการประนีประนอมเป็นหลัก น้อยนักที่จะเกิดเหตุการณ์สุดโต่งขึ้น
อย่างเยี่ยเทียนก็เช่นกัน เขาอยู่เกินกว่าขอบเขตที่คนเหล่านี้จะสามารถควบคุมได้แล้ว พวกเขาย่อมไม่อยากเสี่ยงรับอันตรายที่จะเกิดขึ้นหากไปล่วงเกินเยี่ยเทียนเข้า และไม่ทำเรื่องที่อาจสร้างความเสียหายแก่ผลประโยชน์ของพวกตน ต่อให้มีคนคิดอยากใช้อุบายอะไร ก็จะถูกคนหมู่มากคัดค้านไปอยู่ดี
“คนพวกนั้นน่ะฉลาดจะตายไป คงไม่มายุ่งกับแกหรอก เรื่องนี้แกไม่จำเป็นต้องห่วงเลย”
ซ่งเฮ่าเทียนส่ายหน้า จากนั้นก็มองดูเยี่ยเทียนอย่างพินิจพิเคราะห์ราวกับคนไม่รู้จักกัน
“ตกลงแกกลายเป็นเซียนไปแล้วจริงๆ ใช่ไหม? ชั้นดินที่ฐานทัพนั่นขนาดหัวรบนิวเคลียร์ยิงมาก็ยังป้องกันได้เลยนะ แกทำให้มันทะลุแบบนั้นได้ยังไงกัน?”
ภายในห้องประชุมเมื่อครู่ ทุกคนล้วนเห็นพ้องกันโดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยวาจาว่า พวกเขาจะไม่ซักถามเยี่ยเทียนในเรื่องนี้ แต่ยามนี้ซ่งเฮ่าเทียนไม่อาจข่มกลั้นความอยากรู้อยากเห็นไว้ในใจได้อีก จึงเอ่ยถามขึ้นมา
“ท่านผู้เฒ่าครับ เคยอ่าน ‘ตำนานมือกระบี่ซู่ซาน’ ไหม?”
เยี่ยเทียนยิ้ม แล้วอ้าปากพ่นมีดบินเล็กๆ ดูประณีตนั้นออกมา
“เจ้านี่น่ะคือมีดบินคู่กายของผมเอง แข็งแกร่งไร้เทียมทาน ถึงฐานทัพนั่นจะก่อด้วยกำแพงทองแดงผนังเหล็ก ผมก็เข้าออกได้อย่างสบายๆ อยู่แล้ว”
ความเคลื่อนไหวอย่างกะทันหันของเยี่ยเทียนทำเอาซ่งเฮ่าเทียนสะดุ้งโหยง เขารู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบที่แผ่ออกมาจากมีดสั้นอันแสนประณีตนั้น ปากพึมพำว่า
“ในโลกนี้มีเซียนอยู่จริงๆ หรือนี่? ถ้ารู้อย่างนี้ ตอนนั้นฉันเชื่อศิษย์พี่ใหญ่ของแก หนีเข้าสำนักเต๋าด้วยก็ดีสิ!”
“เอาเถอะครับ ท่านผู้เฒ่าคงรับความลำบากแบบนั้นไม่ไหวหรอก!”
เยี่ยเทียนไม่ได้ไว้หน้าซ่งเฮ่าเทียนเลยสักนิด เขารู้ว่า ท่านผู้เฒ่าคนนี้สมัยหนุ่มๆ เสเพลขนาดไหน เรียกได้ว่าเป็นเจ้าพ่อคนหนึ่งของเซี่ยงไฮ้ได้เลยทีเดียว ถ้าท่านไปเข้าสำนักจริงๆ ไม่แน่ว่าอาจจะล่อลวงลักพาแม่ชีในนั้นหนีไปหลายคนเลยก็ได้
เมื่อเห็นซ่งเฮ่าเทียนมีสีหน้าขัดเขิน เยี่ยเทียนก็หัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมาดังลั่น
“ท่านผู้เฒ่าครับ ไว้ผมจะให้ศิษย์พี่ใหญ่ส่งยาวิเศษมาให้ ท่านผู้เฒ่าช่วยนำไปส่งมอบให้ผมหน่อยก็แล้วกันนะครับ แล้วบอกพวกนั้นว่าถ้าไม่มีเรื่องอะไรก็อย่ามาหาผมอีก!”
…………
หลังจากที่เยี่ยเทียนและซ่งเฮ่าเทียนออกไปได้ประมาณห้าหกนาที เยวี่ยเหล่าก็กดปุ่มปุ่มหนึ่ง ผนังด้านซ้ายของห้องประชุมเลื่อนเปิดออกจากกันเป็นสองฝั่งอย่างไร้สุ้มเสียง เผยให้เห็นประตูใหญ่บานหนึ่ง ชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบกว่าปี นุ่งเสื้อคลุมยาวแบบจีนสีขาวผู้หนึ่งเดินออกมาจากในนั้น
ทุกคนในห้องประชุมไม่ได้ดูประหลาดใจกันเลย เห็นได้ชัดว่าแต่ละคนต่างก็รู้สถานะเกี่ยวกับคนผู้นี้อยู่ก่อนแล้ว อู๋เหล่าเอ่ยถามขึ้นว่า
“ดอกเตอร์เจิ้ง คุณจัดเก็บข้อมูลพวกนั้นไปถึงไหนแล้วล่ะ?”
“ผู้นำอาวุโสทุกท่าน ตั้งแต่คนผู้นั้นเข้ามา เราก็ได้ปฏิบัติการสแกนตรวจร่างกายของเขาในทุกด้านแล้ว แต่บนร่างของเขาเหมือนจะมีคลื่นพลังบางอย่างซึ่งรบกวนอุปกรณ์ของเราจนไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ผมเสียใจอย่างยิ่งที่ต้องบอกว่า เราไม่ได้ความคืบหน้าใดๆ เลยครับ!”
ดอกเตอร์เจิ้งฝืนยิ้ม เขาเป็นบุคลากรอันดับหนึ่งในด้านการวิจัยพันธุศาสตร์ในประเทศ เดิมทีตั้งใจว่าจะใช้วิธีสแกนดูร่างกายของเยี่ยเทียน เพื่อให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับการกลายพันธุ์ของยีนมาบ้าง แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็นึกไม่ถึงเลยว่า เยี่ยเทียนผู้ซึ่งมีกายทองอันไร้ที่ตินั้น จะไม่ทิ้งอะไรไว้ให้เขาเลยแม้แต่เส้นผมสักเส้นเดียว
……………………….