หลังจากที่เข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว โก่วซินเจียจึงรู้สึกถึงผลที่ปราณวิเศษจากธรรมชาติมีต่อพลังฝีมือของตนได้อย่างลึกซึ้ง หากมีชีวิตอยู่ในสถานที่ที่มีปราณวิเศษอุดมสมบูรณ์ การบำรุงหล่อเลี้ยงที่ได้รับนั้นจะส่งผลให้คนค่อยๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงจากภายในสู่ภายนอก เมื่อผ่านไปนานวันเข้า ประโยชน์ที่จะมีต่อร่างกายนั้นย่อมไม่จำเป็นต้องอธิบาย
เช่นเดียวกับการมีชีวิตอยู่ในเมืองที่มีมลพิษจากอุตสาหกรรมอย่างรุนแรง เทียบกับในหมู่บ้านชนบทที่มีภูเขาเขียวน้ำใสแล้ว ความแตกต่างระหว่างทั้งสองแห่งนั้นย่อมเป็นที่ประจักษ์ชัดเจน สมัยนี้พวกคนรวยบางกลุ่มในเมืองใหญ่ๆ ต่างก็หนีไปอยู่ตามชนบทกันทั้งนั้น
เมื่อครั้งที่โก่วซินเจียเข้าสู่ระดับพลังสับเปลี่ยน พลังฝีมือก็พัฒนาอย่างเชื่องช้ามาตลอด สถานที่อยู่ของเขามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ หมายความว่าในปัจจัยสี่ประการของผู้บำเพ็ญพรตอันได้แก่ ‘วิชา มิตรสหาย ทุนทรัพย์ และทำเล’ นั้น เขาเลือกได้ไม่ดีในข้อ ‘ทำเล’
“ศิษย์พี่ใหญ่ ที่นี่เทียบกับเกาะเผิงไหลแล้วก็ยังสู้ไม่ได้อยู่ดี แต่ว่าที่นั่นน่ะเข้าได้แต่ออกไม่ได้ อย่าไปเลยจะดีกว่า”
เยี่ยเทียนเม้มปาก อาศัยพลังฝีมือระดับเจี่ยตันของเขาในตอนนี้ ก็มีเพียงแต่ปราณวิเศษอันอุดมสมบูรณ์บนเกาะ ‘เผิงไหล’ เท่านั้น ที่จะเพียงพอต่อความต้องการในการฝึกพลังของเขา พลังปราณชีวิตธรรมชาติบริเวณปากทางเข้าเสินหนงเจี้ยที่ค่ายกลชุมนุมพลังรวบรวมขึ้นมาได้นี้ ไม่มีคุณค่าเพียงพอแก่เยี่ยเทียนอีกแล้ว
ดังนั้นหลังจากที่ออกมาจากเกาะเซียน ‘เผิงไหล’ ได้ นอกจากช่วงที่เยี่ยเทียนเข้าฌานไปหลายเดือนเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บแล้ว เขาก็ไม่ได้ทำการฝึกบำเพ็ญใดๆ อีกเลย ในแต่ละวันยังนอนจนตะวันโด่ง เรียกว่าได้รู้รสชาติของการใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาแล้ว
ชีวิตแบบนี้ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกสงบอย่างยิ่ง ความบอบช้ำทางจิตใจที่เกิดขึ้นพร้อมกับการเลื่อนขั้นนั้น ได้ถูกขจัดไปหมดแล้วโดยที่เขาไม่รู้ตัวเลย โดยเฉพาะหลังจากที่ไปพบกับบรรดาผู้อาวุโสผู้มีอำนาจค้ำฟ้าเหล่านั้นแล้ว สภาพจิตของเยี่ยเทียนก็พัฒนาขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง จนไม่มีความรู้สึกยินดียินร้ายต่อสิ่งใดอีก
“ต่อให้ออกมาไม่ได้ ฉันก็เต็มใจที่จะเข้าไป!”
โก่วซินเจียไม่ฟังคำพูดของเยี่ยเทียนเลย หลังจากที่พลังปราณในกายเแปรเปลี่ยนเป็นปราณแท้ ระบบต่างๆ ในร่างกายของเขาก็ย้อนกลับสู่สภาพเดียวกับยามอยู่ในครรภ์มารดาอีกครั้ง และก็เป็นเช่นเดียวกับเยี่ยเทียนในตอนแรก คือรู้สึกไม่ชินกับอากาศอันสกปรกปนเปื้อนในโลกนี้อย่างยิ่ง ในวันหนึ่งๆ จึงต้องใช้การหายใจภายในแทบจะตลอดเวลา โดยให้ปราณแท้เซียนเทียนกลุ่มหนึ่งโคจรอยู่ภายในร่างกาย
“ศิษย์พี่ใหญ่ เรื่องนี้ไว้ค่อยคุยกันทีหลังนะครับ!”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า แล้วเดินนำขึ้นเขาไปก่อน ที่จริงแล้วหลังจากที่ได้ค้นหาดูในบันทึกที่จางซันเฟิงทิ้งไว้ เยี่ยเทียนก็พบตำแหน่งของดินแดนที่ถูกผนึกไว้หลายแห่ง แต่ในบรรดานั้นมีอยู่สองแห่งที่จะต้องมีพลังฝีมือระดับจินตัน จึงจะสามารถเข้าออกได้ตามปรารถนา
ส่วนดินแดนอีกแห่งหนึ่งนั้น แม้ว่าระดับเซียนเทียนจะสามารถเข้าไปได้ แต่ที่นั่นถูกพวกค่ายสำนักใหญ่ๆ ครองถิ่นไปแล้ว คนนอกจึงยากที่จะแฝงเข้าไปอยู่ได้ เมื่อครั้งกระโน้นจางซันเฟิงก็เคยเข้าไปในนั้นด้วยพลังฝีมือระดับจินตันช่วงปลาย แต่ก็ยังคงมีความรู้สึกไม่เข้าพวก หลังจากเกิดการปะทะต่อสู้ไปหลายครั้งจึงตัดสินใจถอยออกมา
ดังนั้นใจจริงเยี่ยเทียนจึงไม่อยากให้โก่วซินเจียเข้าสู่สถานที่เหล่านั้นเร็วเกินไป เพราะว่าพลังฝีมือระดับเซียนเทียนช่วงต้นนั้น ก็เป็นเพียงก้าวแรกของการเป็นผู้บำเพ็ญพรตเท่านั้นเอง หากโก่วซินเจียเข้าไปแล้ว เกรงว่าอาจจะยิ่งอยู่ยากกว่าโลกของปุถุชนเสียด้วยซ้ำ
“พี่ฉี มารบกวนพี่อีกแล้วนะครับ!”
ที่พักเชิงเกษตรของเหล่าฉีตั้งอยู่ตรงจุดที่ต้องผ่านหากจะเข้าไปในเสินหนงเจี้ย เมื่อได้กลิ่นซุปไก่โชยออกมาจากในห้องครัว เยี่ยเทียนก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้
เนื่องจากอาหารในเมืองมักจะมีสารเคมีปนเปื้อนอยู่ไม่มากก็น้อย ดังนั้นหลายปีมานี้เยี่ยเทียนจึงแทบจะไม่ได้กินผักใบเขียวเลย เมื่อเห็นอาหารปลอดสารพิษเขียวบริสุทธิ์อย่างแท้จริงมาอยู่ตรงหน้าแล้ว จึงไปกระตุ้นความอยากอาหารขึ้นมาทันที
“นาย…นายคือเสี่ยวเยี่ย?”
พอได้ยินเสียง เหล่าฉีเดินก็ออกมาจากในบ้าน หลังจากงงงันไปครู่หนึ่งก็จดจำเยี่ยเทียนได้ทันที เขายังจำเรื่องตอนที่เยี่ยเทียนนำสุราไปถวายให้เซียนบนภูเขาได้แม่นอยู่ ในสองปีที่ผ่านมา ลูกศิษย์ของเยี่ยเทียนคนนั้นก็มักจะขึ้นเขาไปถวายสุราด้วยเช่นกัน และแต่ละครั้งเขาก็จะได้รับอานิสงไปด้วยสักกล่องสองกล่องเสมอ
นอกจากนี้ หลังจากที่เหล่าฉีประกาศเรื่องนี้ออกไปแล้ว กิจการของเขาเองก็ดีขึ้นมาก ในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนของทุกๆ ปีมักจะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากมายเดินทางผ่านที่ของเขาเข้าสู่เสินหนงเจี้ย เพื่อไปเยี่ยมสักการะเซียนที่ ถูกกล่าวถึงท่านนั้น แต่แน่นอนว่า คนทั้งหลายที่มาด้วยความตื่นเต้นต่างก็ต้องกลับไปอย่างผิดหวังกันทั้งนั้น
“พี่ฉี นี่ศิษย์พี่ใหญ่ผมเอง วันนี้คงต้องขอรบกวนฝากท้องกับพี่สักมื้อแล้วละนะ”
เยี่ยเทียนยิ้มพลางแนะนำโก่วซินเจียให้เหล่าฉีรู้จัก แม้ว่าโก่วซินเจียจะแขนขาดไปข้างหนึ่ง แต่บุคลิกที่ดูราวกับผู้เป็นเซียนนั้น ไม่ใช่ลักษณะที่คนธรรมดาจะเสแสร้งแสดงออกมาได้ เหล่าฉีจึงไม่กล้าชักช้า เข้าครัวไปเปลี่ยนตัวกับภรรยา แล้วจัดเตรียมกับข้าวออกมาเต็มโต๊ะใหญ่ด้วยตนเอง
“เหล่าฉี บนเขานี่คงจะไม่ได้มีเรื่องอะไรใช่ไหม? ผมว่ากิจการของพี่ดูไม่เลวเลยนะ!”
ขณะนั้นตรงกับช่วงเดือนเจ็ดและเดือนแปดพอดี เยี่ยเทียนสังเกตเห็นว่า ห้องว่างหลายห้องที่อยู่ข้างๆ เหล่าฉีมีคนมาอยู่จนเต็ม ส่วนมากเป็นคนวัยรุ่น และก็กำลังรับประทานอาหารบ้านไร่เช่นเดียวกับพวกเยี่ยเทียน พลางดื่มเบียร์พูดคุยกันเสียงดังเซ็งแซ่
เหล่าฉีวางกับข้าวจานหนึ่งลงบนโต๊ะตัวข้างๆ แล้วตอบยิ้มๆ
“บนเขาจะไปมีเรื่องอะไรได้ล่ะ น้องเสี่ยวเยี่ย นี่พวกนายจะเข้าไปทำอะไรกันล่ะ?”
เยี่ยเทียนตอบไปโดยไม่คิดอะไร
“ศิษย์พี่ใหญ่ผมเป็นแพทย์แผนจีนคนหนึ่ง ได้ยินว่าในเสินหนงเจี้ยมีตัวยาสมุนไพรล้ำค่าอยู่มากมาย พวกเราเลยตั้งใจจะขึ้นเขาไปสำรวจเสียหน่อย”
“อ้อ ตัวยาที่อยู่รอบนอกนี่น่ะโดนเก็บไปเกือบหมดแล้วละ พวกนายคงต้องเดินเข้าไปลึกหน่อย”
เหล่าฉีขมวดคิ้วแล้วพูดต่อ
“แต่สองปีมานี้บนเขาก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยสงบนะ เมื่อปีที่แล้วมีคนเก็บสมุนไพรคนหนึ่งขึ้นเขาไปแล้วล้มขาหัก มีคนบอกว่าเป็นเพราะท่านเซียนพิโรธ น้องเยี่ย ฉันว่าพวกนายก็อย่าเดินเข้าไปลึกเกินไปจะดีกว่านะ”
เหล่าฉีพูดพลางจ้องมองไปที่เจ้าสิงห์ขนทองน้อยบนไหล่ของเยี่ยเทียน เขาใช้ชีวิตอยู่บนภูเขามาทั้งชาติ ยังไม่เคยเห็นสัตว์หน้าคล้ายลิงแต่ก็ไม่ใช่ลิงแบบนี้มาก่อน
“ขอบคุณครับพี่ฉี พี่ก็รู้ว่า ผมเคยนำสุรามาถวายท่านเซียนแล้ว ท่านเซียนคงจะไม่ถือโทษโกรธเคืองผมหรอกครับ”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วหัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมาเสียงดัง ขึ้นเขาคราวนี้ไม่เหมือนคราวก่อน ตอนนั้นเขาถูกวานรขาวเล่นงานแทบเจียนตาย ที่เยี่ยเทียนมาคราวนี้ ก็อยากมาจะแกล้งวานรขาวดูเหมือนกัน ว่าพอเจอกับเขาแล้วจะตกตะลึงขนาดไหน
หลังจากรับประทานมื้อเที่ยงที่บ้านพักเชิงเกษตรของเหล่าฉีแล้ว เยี่ยเทียนและโก่วซินเจียก็เดินขึ้นเขาไปพร้อมกับสิงห์ขนทองน้อย มันอยู่ที่เรือนสี่ประสานของเยี่ยเทียนมาหนึ่งเดือนเศษแล้ว พอได้กลับมายังป่าเขาที่คุ้นเคยอีกครั้ง เจ้าสิงห์ขนทองก็ดูจะตื่นเต้นกว่าปกติ และกระโจนเข้าไปท่ามกลางป่าเขาอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
ช่วงนี้ตรงกับฤดูกาลท่องเที่ยวของเสินหนงเจี้ยพอดี ระหว่างทางจึงพบกับนักท่องเที่ยวหลายคน จนกระทั่งตกกลางคืน เยี่ยเทียนถึงจะเรียกสิงห์ขนทองน้อยกลับมา แล้วจึงแผ่ปราณแท้พาโก่วซินเจียเหาะเหินไปยังส่วนลึกบนภูเขา
“หืม? ในนั้นมีการเคลื่อนไหวของปราณวิเศษ แล้วยังเป็นปราณวิเศษที่ไม่เหมือนกันสองชนิดด้วย?”
ขณะที่เยี่ยเทียนยังอยู่ห่างจากถ้ำของวานรขาวไปอีกเจ็ดแปดกิโลเมตร เขาก็ขมวดคิ้วขึ้นมาน้อยๆ จนแทบไม่อาจสังเกตเห็น เพราะเขารู้สึกได้ว่า ที่เบื้องหน้านั้นเหมือนจะมีพลังปราณชีวิตธรรมชาติสองชนิดปะทะกันอยู่ แม้แต่พลังของกลุ่มดาวบนฟ้าก็ดุเดือดคลุ้มคลั่งขึ้นมาผิดปกติ คล้ายกับว่าได้รับผลกระทบไปด้วย
พลังปราณชีวิตกลุ่มหนึ่งในนั้นเยี่ยเทียนรู้จักดี เพราะเป็นของวานรขาวเฒ่าตัวนั้นนั่นเอง แต่พลังปราณชีวิตอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งกำลังข่มพลังของวานรขาวไว้นั้น เยี่ยเทียนกลับไม่เคยพบมาก่อนเลย และพลังกลุ่มนี้ก็แข็งแกร่งพอที่จะจัดอยู่ในระดับเซียนเทียนช่วงปลายได้
‘หรือว่าจะมีผู้บำเพ็ญพรตออกมาจากดินแดนแห่งทวยเทพ?’
เยี่ยเทียนเกิดความคิดนี้ขึ้นในใจ แต่ร่างยังคงเหาะเหินตรงไปยังทิศทางเดิม อาศัยพลังฝีมือของเขาในตอนนี้ ขอเพียงอีกฝ่ายไม่ใช่ยอดฝีมือระดับจินตัน เยี่ยเทียนก็ไม่จำเป็นที่จะต้องหวาดเกรงต่อผู้ใดทั้งสิ้น
“กำลังต่อสู้กับคนอื่นอยู่จริงๆ ด้วย!”
ระยะทางเจ็ดแปดกิโลเมตรสำหรับเยี่ยเทียนแล้วใช้เวลาเดินทางเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น เมื่อมาถึงน่านฟ้าเหนือถ้ำของวานรขาว เบื้องล่างก็เพิ่งจะผ่านการปะทะกันไปครั้งหนึ่งแล้ว คลื่นที่เกิดจากพลังปราณชีวิตธรรมชาติกลุ่มหนึ่งนั้น ส่งผลให้เกิดระลอกคลื่นขึ้นในอากาศราวกับสายน้ำ
ตอนนี้ถ้ำของวานรขาวพังถล่มไปแล้ว บนที่ว่างด้านหน้าถ้ำมีชายวัยกลางคนนุ่งชุดนักพรตยืนอยู่คนหนึ่ง และกำลังมองไปที่วานรขาวซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายสิบเมตรด้วยสีหน้าหยิ่งยโส เขาเอ่ยขึ้นว่า
“เดียรัจฉานชั่ว ผู้อื่นมาเจรจาด้วยดี แกกลับไม่รู้จักแยกแยะดีชั่ว อย่างนั้นข้านักพรตผู้นี้ก็จะจัดการแกก่อน!”
“ผายลม แกเป็นฝ่ายละโมบอยากได้สวนยาของข้าอยู่ชัดๆ ยังจะมาวางท่าเป็นผู้เที่ยงธรรมอยู่อีก ข้าขอสู้กับแกแล้ว!”
วานรขาวที่ยืนอยู่ห่างออกไปสี่สิบห้าสิบเมตรกระโจนออกไปอย่างดุดัน มือกวัดแกว่งพลองเหล็กเย็นของมันเล่มนั้น ดวงตาแทบจะมีเปลวเพลิงแลบออกมา ในการประมือเมื่อครู่มันพลาดท่าเสียทีไปไม่น้อย ตอนนี้ขนสีขาวบนหน้าอกถูกย้อมไปด้วยโลหิต เพราะถูกคนผู้นั้นทำร้ายจนอวัยวะภายในบาดเจ็บ
ใบหน้าของชายวัยกลางคนผู้นั้นมีรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม ตะโกนขึ้นมาว่า
“แกก็ไม่รู้จักเจียมตัวเหมือนกับเจ้าเฟอร์เร็ตตัวนั้นนั่นแหละ เดิมทีข้าคิดว่าสัตว์ภูตินั้นยากนักที่จะสำเร็จมรรคได้ จึงไม่อยากจะมีเรื่องทะเลาะกับพวกแก แต่ในเมื่อพวกแกไม่รู้จักแยกแยะดีชั่ว เช่นนั้นก็อย่ามาถือโทษข้าก็แล้วกัน!”
“เฟอร์เร็ต? หมายถึงเหมาโถวน่ะหรือ?” เยี่ยเทียนได้ยินแล้วก็อึ้งไป รีบแผ่พลังปราณลงไปสำรวจดูที่เบื้องล่าง แล้วก็สัมผัสถึงพลังปราณของเหมาโถวที่อยู่ด้านหลังห่างจากวานรขาวไปสิบกว่าเมตรได้ในทันที
“เหมาโถวเข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว?”
ตอนแรกเยี่ยเทียนรู้สึกยินดี แต่แล้วสีหน้าก็หม่นลงไปทันที เพราะตอนนี้สภาพของเหมาโถวดูไม่ดีนัก สภาพจิตอ่อนล้าอย่างยิ่ง ส่วนไอปราณบนร่างก็ดูอ่อนแออย่างเห็นได้ชัด
“เสี่ยวจิน มีคนดูถูกพวกแกแน่ะ แกไปสั่งสอนเจ้าหมอนั่นหน่อยซิ!”
ไม่ต้องถามเยี่ยเทียนก็รู้ว่า นักพรตข้างล่างนั้นจะต้องเป็นคนทำร้ายเหมาโถวอย่างแน่นอน แต่เขาไม่รู้ประวัติที่มาของนักพรตรูปนี้ และไม่รู้ว่ายังมีพรรคพวกอีกหรือไม่ จึงไม่ได้ลงไปทวงความผิดกับอีกฝ่ายโดยตรง แต่หิ้วคอของเจ้าสิงห์ขนทองขึ้นมา แล้วปล่อยมันร่วงลงไปจากบนฟ้า
“โฮก!”
เมื่อถูกเยี่ยเทียนโยนลงไปโดยไม่ทันตั้งตัว เจ้าสิงห์ขนทองก็เปล่งเสียงร้องคำรามออกมา แม้ว่าร่างของมันจะไม่ได้ใหญ่โต แต่เสียงคำรามนี้กลับดังสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วขุนเขา ส่วนนักพรตซึ่งยืนอยู่ปลายทางของเสียงคำรามนั้น ก็ถึงกับต้องถอยหลังไปหลายก้าวติดๆ กัน เลือดลมในร่างกายพลุ่งพล่าน สีหน้าเปลี่ยนไปในฉับพลัน
สิงห์ขนทองน้อยกำเนิดมาได้ยังไม่ถึงสามปี แม้จะมีพลังฝีมือเพียงระดับเซียนเทียนช่วงต้น แต่มันก็ยังคงเป็นสิงห์ขนทองซึ่งเป็นอสูรประหลาดจากยุคโบราณ เพียงคำรามครั้งเดียวก็พอที่จะทำให้สรรพสัตว์ทั้งมวลยอมศิโรราบได้แล้ว ในชั่วขณะนั้น เสียงของแมลงต่างๆ บนภูเขาล้วนหยุดเงียบกันไปหมด มีเพียงเสียงคำรามอันทรงพลังของสิงห์ขนทองที่ดังสะท้อนก้องไปมา
“น…นี่มันอสูรกายอะไรกัน?”
นักพรตรูปนั้นแม้จะยังดูหนุ่มอยู่ แต่ที่จริงก็มีชีวิตมาสามร้อยกว่าปีแล้ว แต่ว่ายังไม่เคยพบเห็นสัตว์อย่างสิงห์ขนทองมาก่อน ยามนั้นจึงตกตะลึง นิ่งอยู่กับที่ ไม่กล้าลงมือโดยผลุนผลัน
“โฮก!”
นักพรตไม่เคลื่อนไหว แต่สิงห์ขนทองกลับไม่ขบคิดให้มากความ ตั้งแต่แยกจากพ่อแม่มา มันก็มีท่าทางเชื่องมาตลอด แต่ในยามนี้สันดานดุร้ายกลับเปิดเผยออกมาหมด ซึ่งแสดงถึงสายเลือดของปีศาจผู้ยิ่งใหญ่แห่งโบราณกาล
…………………..