“ศิษย์พี่รอง เหมาโถวกับเสี่ยวจินสร้างความวุ่นวายให้ไหมครับ”
หลังจากผ่านไปห้าวัน เยี่ยเทียนเดินทางมาถึงคฤหาสน์ในฮ่องกง รวมถึงเจียงซานด้วย สมาชิกของสำนักเสื้อป่านมากันทุกคน จนทำให้ห้องรับแขกที่มีขนาดใหญ่ ดูเล็กลงทีเดียว
เดิมทีเยี่ยเทียนจะไปสวิตเซอร์แลนด์จากปักกิ่ง แต่โจวเซี่ยวเทียนอยากไปเปิดหูเปิดตาที่ยุโรปด้วย เยี่ยเทียนคิดไปคิดมา สุดท้ายยอมตกลงให้ไป ถึงแม้พลังวิชาของลูกศิษย์คนนี้เก่งพอควร แต่ประสบการณ์น้อยมาก พาไปฝึกสักหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร ก็เลยตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางมาที่ฮ่องกงก่อน
“อาจารย์ พวกเราไม่ได้สร้างปัญหาอะไรเลย อาจารย์อย่าเข้าใจฉันกับศิษย์พี่ผิด!”
เหมาโถวกระโดดขึ้นไปบนไหล่เยี่ยเทียน ใช้กรงเล็บข่วนที่หัวของเยี่ยเทียน นี่เป็นนิสัยที่มันทำมาตั้งแต่เด็ก ทุกครั้งที่ทำเรื่องไม่ดีเอาไว้ หรือตอนที่ทำเป็นแกล้งโมโห มันจะใช้วิธีนี้เป็นประจำ
ส่วนสิงห์ขนทองจะใช้วิธีแหงนหน้าขึ้นสูง ไม่มองเยี่ยเทียน แต่ดวงตาคู่นั้นจะหมุนอยู่ตลอดเวลา และเขม่นตาใส่จั่วเจียจวิ้นเป็นพักๆ ท่าทีที่แสดงออกมานั้นคือการเตือนให้อาจารย์ลุงรองอย่าฟ้องความผิดของมัน
จั่วเจียจวิ้นกะพริบตาให้มันทั้งสอง กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า
“ไม่ได้สร้างความวุ่นวายอะไรหรอก แต่ที่เกาะมีเทพฮว๋าต้าเซียนมาอยู่ด้วย…”
ที่แท้ ตั้งแต่เหมาโถวกับสิงห์ขนทองมาอยู่ที่คฤหาสน์หลังนี้ คนใช้ของคฤหาสน์หลังอื่นในเกาะพบว่า วัตถุดิบอาหารราคาแพงที่พวกเขาจัดเตรียมไว้มักจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
อย่างเช่นไข่ปลาคาเวียร์ ที่ราคาไม่ได้แพงธรรมดา คนใช้รายงานให้เจ้านายทราบทันทีที่เกิดเรื่อง จนเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องที่ทุกคนระมัดระวังมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขอให้ส่วนกลางปิดหน้าต่างให้ดี การจ้างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยลาดตระเวนตลอด 24 ชั่วโมง
แต่แล้วเรื่องเหนือธรรมชาติก็เกิดขึ้น แม้ว่าการรักษาความปลอดภัยจะเข้มงวดแค่ไหน วัตถุดิบเหล่านั้นก็ยังคงหายไปทุกวัน มีอยู่ครั้งหนึ่งตับห่านบินไปต่อหน้าต่อตาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ตอนนั้นมีคนเห็นเหตุการณ์อย่างน้อยสามคน
มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในเขตคฤหาสน์แบบนี้ คนในเขตต่างรู้สึกหวาดกลัวกันไปหมด บางคนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับจั่วเจียจวิ้น มักจะมาหาเขาอยู่บ่อยครั้ง แต่เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องไปตรวจสอบ เพราะจั่วเจียจวิ้นรู้ดีว่าเจ้าสัตว์โบราณสองตัวนั้นแหละที่เป็นคนทำ
จั่วเจียจวิ้นรู้ดีว่าเยี่ยเทียนตามใจเหมาโถวมาก ส่วนสิงห์ขนทองมีพลังที่แข็งแกร่ง ไม่ใช่ว่าเขาจะสั่งสอนได้ เขาจึงทำได้เพียงบอกพวกเศรษฐีว่า เทพฮว๋าต้าเซียนมาหา ท่านปกป้องเกาะแห่งนี้ พวกเราห้ามทำให้ท่านไม่พอใจ
พวกเศรษฐีเคารพจั่วเจียจวิ้นเหมือนดั่งเซียนอยู่แล้ว พอได้ฟังเขาพูดแบบนั้น แต่ละคนก็แยกย้ายกลับบ้านไป และนำอาหารที่เก็บไว้ในตู้เย็น วางเอาไว้หน้าประตู ถ้าเทพฮว๋าต้าเซียนมาหาจริง จะทำตัวเป็นคนขี้งกได้อย่างไรกัน
แค่วัตถุดิบอาหาร ไม่ทำให้พวกเขาขนหน้าแข้งร่วงหรอก แล้วเหตุการณ์ปฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น ทุกเช้า พวกเศรษฐีที่มักจะไปออกกำลังกาย พวกเขาไม่ไปวิ่ง แต่กลับไปดูอาหารหน้าประตูว่ายังอยู่หรือเปล่า
ถ้าอาหารไม่อยู่แล้ว เจ้านายจะยิ้มดีใจมาก เพราะนั่นแสดงว่าเทพฮว๋าต้าเซียนชื่นชอบในอาหารที่พวกเขาจัดเตรียมไว้ให้ แต่ถ้าอาหารยังอยู่ เจ้านายก็จะรู้สึกเศร้าทั้งวัน ในวันที่สองพวกเขาจะจัดอาหารที่ดีกว่าเดิมและวางไว้ข้างนอกอีก
“พวกเจ้าสองคนกลายร่างแล้วหรือ ทำไมถึงรู้จักความหิวด้วย”
เยี่ยเทียนถึงกับจับเหมาโถวลงจากไหล่หลังจากได้ยินสิ่งที่จั่วเจียจวิ้นเล่าให้ฟัง เขาตำหนิว่า
“ดูความอ้วนนี้สิ เหมือนเฟอร์เรตตรงไหน นี่มันแมวอ้วนชัดๆ!”
“อาจารย์ ฉันไม่เกี่ยวนะ ศิษย์พี่สิงห์พาฉันไป”
เหมาโถวทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ ส่วนสิงห์ขนทองกลับทำหน้าตายไม่กลัวความผิด แต่ตากลับจ้องประตูห้องรับแขกไม่กะพริบ ถ้าสถานการณ์ไม่ปกติ มันจะหนีไปทันที
“เอาล่ะ ออกไปเล่นเถอะ จำไว้นะอย่าพูดอะไรเวลาอยู่ต่อหน้าคน”
วิธีการสอนลูกศิษย์ของเยี่ยเทียนถอดแบบจากอาจารย์หลี่ซั่นหยวน ก็คือการปล่อยอิสระ เขาจะไม่จำกัดนิสัยธรรมชาติของลูกศิษย์ โดยเฉพาะเจ้าตัวน้อยทั้งสองตัวที่ไม่ใช่มนุษย์ ไม่สามารถใช้ธรรมเนียมปฏิบัติแบบมนุษย์กับพวกมันได้
แล้วปราณวิเศษที่อยู่ในตัวสิงห์ขนทองกับเหมาโถว เข้มข้นกว่าเมื่อก่อนเยอะมาก หากให้สัตว์โบราณสำเร็จมหามรรคคงจะยากเกินไป แต่หากมันสามารถเปิดสติปัญญาพิเศษได้ มันฝึกพลังได้เร็วพอๆกับมนุษย์ที่มีพลัง
ความแกร่งของกำลังล้ำหน้ากว่ามนุษย์ และสามารถดูดซึมปราณวิเศษตามอากาศได้โดยตรง พลังของสัตว์สองตัวนี้ ตั้งแต่มาอยู่ริมทะเล ถือว่าคงที่แล้ว สิงห์ขนทองคล้ายว่าจะเพิ่มระดับขึ้นอีก
“เจียงซาน อยู่ที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง”
พอไล่ลูกศิษย์ออกไปได้สองคน เยี่ยเทียนหันไปหาหญิงสาวที่นั่งตรงมุมของโซฟา ตั้งแต่เหตุการณ์เครื่องบินเกิดอุบัติเหตุในครั้งนั้น จนมาถึงวันนี้ นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาได้พบกับเจียงซาน ตอนที่อวี๋ชิงหย่าตั้งท้อง โจวเซี่ยวเทียนเคยพาเธอกลับปักกิ่ง และประกอบพิธีไหว้ครูเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เจียงซานลุกขึ้นยืนทันทีที่ได้ยินเยี่ยเทียนพูดด้วย เธอตอบอย่างมีมารยาทว่า
“อาจารย์คะ ฉันสบายดีค่ะ อาจารย์ลุงกับศิษย์พี่เหลยหู่แล้วก็ศิษย์พี่เซี่ยวเทียน ทุกคนดูแลฉันดีมากเลยค่ะ!”
เมื่อเทียบกับเมื่อสองปีก่อน เจียงซานโตขึ้นมากทีเดียว ตอนนี้น่าจะสูง 1.6 เมตรกว่าแล้ว เด็กสาวในวันนั้นได้กลายเป็นหญิงสาวไปแล้ว คำพูดคำจาอ่อนน้อม เต็มไปด้วยความเป็นกุลสตรี
“หนึ่งปีก่อน ฉันเห็นว่าเธออยู่ระดับพลังแฝงแล้ว ทำไมยังทะลุไม่ถึงระดับพลังสับเปลี่ยนอีกล่ะ” เยี่ยเทียนถอดจิตตรวจสอบเจียงซาน จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้ว
ในร่างกายของเจียงซาน มีพลังที่ติดตัวมาแต่กำเนิดอยู่หนึ่งอย่าง เยี่ยเทียนเคยชี้นำพลังนั้นให้เข้าไปที่ชีพจรของเธอ ด้วยวิธีของศิษย์สำนัก เพื่อหวังว่าพลังนั้นจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แต่พอมาถึงวันนี้ ผลลัพธ์กลับไม่ดีเท่าที่ควร
“ศิษย์น้องเล็ก ถึงแม้ว่าการพัฒนาพลังของเจียงซานจะช้าหน่อย แต่การทำนายกว้า ฉันยังสู้เธอไม่ได้เลย!”
เสียงพูดของเยี่ยเทียนยังไม่ทันหายไป เสียงของโก่วซินเจียก็ดังขึ้นทันที
“จริงเหรอศิษย์พี่ใหญ่ พี่อย่าตามใจเด็กคนนี้จนเกินไปนะครับ!”
เยี่ยเทียนคิ้วกระตุก ถึงแม้ว่าเขาเป็นอาจารย์ของเจียงซาน แต่เขาอยู่ปักกิ่งประจำ ฉะนั้นเจียงซานจึงถูกดูแลโดยศิษย์พี่ทั้งสอง โดยเฉพาะศิษย์พี่ใหญ่ที่ไม่มีครอบครัว เขาจึงดูแลเจียงซานเป็นอย่างดี แทบจะให้เธอได้ทุกอย่าง
โก่วซินเจียส่ายหัว กล่าวว่า
“ศิษย์น้องเล็ก เจียงซานทำนายไว้เมื่อเดือนก่อนว่าเธอจะต้องไปข้างนอก ซึ่งเวลาที่ทำนายได้ก็คือวันนี้ เป็นอย่างไร ตรงไหม”
“หืม เจียงซาน เธอใช้ความสามารถพิเศษ หรือใช้กว้าทำนาย”
เยี่ยเทียนตกตะลึงไปครู่หนึ่ง พลังของเขาที่พัฒนาขึ้นทุกวัน ดูเหมือนว่าความเข้าใจในมหามรรคก็เกิดการเปลี่ยนแปลงไปด้วย เมื่อก่อนเยี่ยเทียนยังพอทำนายเรื่องที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองได้ แต่ตอนนี้เขากลับสัมผัสได้เพียงโชคลาง และไม่สามารถทำนายเรื่องของตัวเองได้เลย
“อาจารย์คะ ฉันใช้วิธีหกเหยาทำนาย”
เจียงซานตอบอย่างฉะฉาน เธอไม่ชอบการนั่งสมาธิ แต่ถ้าทำนายกว้าเธอมีความสนใจมากเป็นพิเศษ ตำราหนังสือที่โก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้นสะสมไว้ เธอเปิดอ่านแล้วหนึ่งรอบเกือบทุกเล่ม และจำเนื้อหาได้ตั้งแต่อ่านครั้งแรก
“แล้วเธอคิดว่าการเดินทางไปยุโรปครั้งนี้ของอาจารย์จะเป็นอย่างไร”
เยี่ยเทียนพูดและมองเจียงซาน จากระดับพลังของเยี่ยเทียนในวันนี้ ทำให้เห็นว่าคนที่มีพลังมากยิ่งทำนายยาก เมื่อวานก่อนตอนที่เยี่ยเทียนดูนรลักษณ์ของฮานเจิ้งปัง ปราณแท้ภายในร่างกายพลุ่งพล่านเป็นพัก เห็นได้ชัดว่าเกิดจากการเปิดเผยความลับของสวรรค์
“ศิษย์น้องเล็ก ให้เธอทำนายโชคลางของน้องได้อย่างไร”
โก่วซินเจียสีหน้าเปลี่ยนทันทีที่เยี่ยเทียนพูด เพราะเขารู้ว่าเป็นยังไง
“เมื่อวานก่อน เจียงซานทำนายการเดินทางของเธอจนเกือบกระอักเลือด เธออย่าสอนวิชาที่ความสามารถยังไม่ถึงอีก!”
เจียงซานเดินทางไปที่ต่างๆตามแม่เลี้ยงตั้งแต่เด็ก เธอสามารถจำทุกสิ่งได้อย่างแม่นยำ ตอนที่อยู่กับโก่วซินเจีย เธอดูแลคนแก่ที่อยู่โดดเดี่ยวมาทั้งชีวิตเป็นอย่างดี จนแทบจะมองเธอเป็นหลานสาวแท้ๆไปแล้ว ก็ดูสิ แม้แต่เยี่ยเทียนที่กำลังสอนลูกศิษย์อยู่ เขาก็อยากยุ่งด้วย
“ศิษย์พี่ใหญ่ ไม่เป็นอะไรหรอก ผมเก็บลมปราณหมดแล้ว มหามรรคก็ไม่สามารถมองได้ด้วยเช่นกัน ถ้าไม่อย่างนั้น เจียงซานคงไม่ใช่แค่กระอักเลือดแล้วครับ!”
เยี่ยเทียนส่ายหัว มองเจียงซาน พูดว่า
“อาจารย์ลุงของเธอพูด ก็ถูก วันหลัง ถ้าไม่ใช่อาจารย์ให้เธอทำนาย เธอห้ามทำนายอาจารย์อีก รวมถึงชะตาของอาจารย์ลุง ศิษย์พี่ด้วย ฟ้าไร้ความรู้สึก ระวังมันจะสะท้อนกลับมาหาเธอ!”
เยี่ยเทียนไม่มีวันลืม ตอนที่เขาเปลี่ยนชะตาชีวิตให้อาจารย์ เจ็ดวันเจ็ดคืน ถ้าหากไม่ใช่เพราะมหัศจรรย์เกิดขึ้นหลายครั้ง เขาคงเอาอายุอีกสิบปีนั้นกลับมาไม่ได้ แล้วพลังของเจียงซานยังมีไม่เท่ากับเขาในตอนนั้น จึงต้องระมัดไว้ก่อนจะดีกว่า
เจียงซานมองเยี่ยเทียนและกล่าวด้วยความกลัวเล็กน้อย
“อาจารย์ ฉันรู้การสะท้อนกลับที่ว่า แต่มันไม่ได้รุนแรงขนาดนั้น…”
อันที่จริง ตอนที่เจียงซานทำนายจากกว้า พลังลึกลับในร่างของเธอมักจะไปอยู่บนกว้าส่วนหนึ่ง หลังจากรูปแบบกว้าออกมาแล้ว พลังนั่นก็จะทำลายปราณชีวิตไม่ดีบนกว้าออกไป เพราะฉะนั้นผลร้ายที่เธอได้รับไม่รุนแรงเท่าไหร่
“โลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่ เรื่องมหัศจรรย์มีมากมาย แต่มีคนที่สามารถทำนายล่วงหน้าได้โดยไม่ใช้พลังอย่างงั้นเหรอ”
หลังจากฟังเจียงซานอธิบายเสร็จ เยี่ยเทียนและคนอื่นงงงวยกันไปหมด เมื่อก่อนเธอไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้กับโก่วซินเจียและคนอื่นเลย พวกเขาเพิ่งรู้วันนี้เหมือนกัน
“เจียงซาน งั้นต่อไปนี้ต้องระวังแล้วนะ วิชาที่อาจารย์สอน เธอต้องขยันฝึกนะ!”
ความสามารถการทำนายกว้าของเยี่ยเทียน จนถึงวันนี้ก็ยังสู้ศิษย์พี่ทั้งสองคนไม่ได้ ตำแหน่งสำนักเสื้อป่านดูเหมือนไม่ได้มาตรฐานเท่าไหร่ ตอนนี้มีลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์มากหนึ่งคน เยี่ยเทียนดีใจมาก
“ค่ะ อาจารย์ สบายใจได้”
เจียงซานเห็นว่าเยี่ยเทียนไม่ตำหนิตน เธอแอบแลบลิ้น และท่าทีของเธอทำให้เธอเหมือนเด็กอายุสิบกว่าขวบ
“เหลยหู่ แล้วช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง แขนขวาของแก เนื้อยังงอกขึ้นมาใหม่ได้ไหม”
หลังจากคุยกับเจียงซานเสร็จ เยี่ยเทียนหันไปหาลูกศิษย์คนที่สองต่อ หลังจากแขนขาดไม่นาน เหลยหู่ก็เข้าสู่ระดับเซียนเทียน แขนขวาที่ขาด มันงอกออกมาแล้วส่วนหนึ่ง เพราะฉะนั้นแขนเสื้อด้านซ้ายของเขาไม่ได้ห้อยโตงเตงเหมือนโก่วซินเจีย
……………………