“อาจารย์ เป็นไปไม่ได้หรอกครับ มันคงไม่งอกใหม่แล้วล่ะ”
เหลยหู่ส่ายหัวในสิ่งที่เยี่ยเทียนพูด แต่สีหน้าไม่เปลี่ยน หลังจากที่พลังอยู่ระดับเซียนเทียน เขาเพิ่งรู้ว่าตัวเองแข็งแกร่งแค่ไหน อย่าว่าแต่มือขาดไปหนึ่งข้าง ขาขาดหนึ่งข้างเขาก็ยอม
โดยเฉพาะช่วงก่อนที่กลับไปซานฟรานซิสโก เหลยหู่รู้สึกดีใจกับท่าทางตกตะลึงของพ่อตอนที่เห็นพลังวิชาของเขา โตจนป่านนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้รับคำชมจากพ่อ ความรู้สึกนี้มันดีมาก
“ที่จริงก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลยซะทีเดียว แขนของแกกับศิษย์พี่ใหญ่ที่ขาดไป ถ้าจะให้งอกออกมา ก็ยังพอมีหวัง”
เยี่ยเทียนมีความรู้สึกบางอย่าง ถ้าเขาฝึกถึงระดับจินตัน สำเร็จมหามรรค เขาจะควบคุมทุกชิ้นส่วนของร่างกายได้ทั้งหมด แล้วถ้าแขนขาด จะให้เนื้องอกใหม่ก็คงไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่นี่เป็นเพียงการคาดเดาของเยี่ยเทียนเท่านั้น รายละเอียดจะเป็นอย่างไรเขาไม่กล้ายืนยัน
“ของฉันช่างมันเถอะ สิบกว่าปีมานี้ ฉันชินแล้วล่ะ เหลยหู่นี่สิยังหนุ่ม ถ้ามีความหวัง ก็ต้องลองดูก่อน”
โก่ววินเจียยิ้มและส่ายหัว กล่าวว่า
“เหลยหู่เป็นคนที่ใช้ได้ทีเดียว มาอยู่ที่ฮ่องกงได้หนึ่งปีกว่า แต่ทำทุกอย่างได้ดีมาก หากจะให้เขารับผิดชอบสำนักเสื้อป่านละก็ พวกเราคงเบาใจไปได้เยอะเลยล่ะ…”
ในฐานะเคยเป็นเจ้าตำหนักอาญาของสมาคมหงเหมิน ตอนที่เหลยหู่เพิ่งมาถึงฮ่องกง เป็นเรื่องฮือฮาสำหรับชาวจีนสมาคมต่างๆ ที่มีหน้ามีตาต่างพากันส่งบัตรเชิญ ส่วนเหลยหู่ก็ทำการก่อตั้งสำนักเสื้อป่านอย่างไม่เกรงใจ!
แน่นอนว่าฮ่องกงไม่เหมือนประเทศญี่ปุ่น สมาคมที่มีสังคมเป็นกลุ่มจะไม่สามารถก่อตั้งได้ แต่สำนักเสื้อป่านขึ้นทะเบียนเป็นร้านแพทย์แผนจีนที่มีลักษณะการกุศล และมีรากฐานที่มั่นคงได้ก็เพราะชื่อเสียงของเหลยหู่กับเงินสนับสนุนจำนวนมหาศาลจากสำนัก
สาเหตุที่สมาคมหงเหมินในต่างประเทศมีความมั่นคง เพราะนอกจากมีการพัฒนากำลังด้านศิลปะการต่อสู้แล้ว ยังมีอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่คอยหล่อเลี้ยงสมาคมด้วย ในฐานะที่เคยเป็นผู้อาวุโสคนสำคัญแห่งสมาคมหงเหมิน เหลยหู่ถือว่าเป็นคนที่มีความสามารถ เขาปูทางเพื่ออนาคตให้กับสำนักเสื้อป่านโดยใช้เวลาแค่หนึ่งปีนิดๆ
ตอนนั้นเยี่ยเทียนทิ้งทองคำไว้ให้หลายตันเพื่อให้เป็นเงินหมุนเวียนของสำนักเสื้อป่าน เหลยหู่ใช้เงินเหล่านี้รับซื้อกิจการที่มีเงินหมุนเวียนดี รับสมัครผู้จัดการมืออาชีพคอยจัดการดูแล
จากนั้นใช้ชื่อของสำนักเสื้อป่าน เปิดโรงเรียนการกุศลสองแห่งที่ฮ่องกง รับเด็กเร่ร่อนและเด็กกำพร้าจากสถานที่ต่างๆ อายุของเด็กเหล่านั้นอยู่ระหว่าง 8-12ปี
วิชาเรียนนอกจากเปิดการเรียนการสอนปกติแล้ว ยังมีวิชาคัมภีร์โจวอี้ แผนผังแปดทิศ วิชาเสื้อป่าน การทำนายเป็นต้น ล้วนแต่จัดสอนโดยโก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้น หลังเปิดแล้วกว่าครึ่งปี ทำให้เห็นว่ามีนักเรียนที่มีพรสวรรค์อยู่หลายคนเหมือนกัน
หากเป็นไปตามแผนที่เหลยหู่วางเอาไว้ เด็กกำพร้าที่มีพรสวรรค์จะถูกรับเข้าสำนักเสื้อป่านทันที ส่วนที่เหลือก็จะเป็นลูกศิษย์นอกสำนักของสำนักเสื้อป่าน รอผ่านไป6-7ปี เด็กเหล่านี้จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า และรับช่วงต่อธุรกิจเหล่านั้นได้เลย ต่อไปสำนักเสื้อป่านก็จะมีกำลังเป็นของตัวเอง มีวงจรเชิงบวกที่สมบูรณ์
วิธีการดำเนินงานของสำนักเสื้อป่าน ได้รับคำชมมากมายจากผู้คนหลายอาชีพของฮ่องกง สมาคมท้องถิ่นเองก็สบายใจมากขึ้น ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่า ทำไมเหลยหู่ถึงต้องทำการกุศลถึงฮ่องกง แต่ว่าอย่างน้อยสำนักเสื้อป่านก็ไม่มีผลกระทบใดใดกับพวกเขา
ส่วนโก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้น นอกจากจะชื่นชมการกระทำของเหลยหู่แล้ว เขาสองคนยังมีความรู้สึกผิดเล็กน้อย เพราะเยี่ยเทียนทิ้งทองคำไว้หลายปี ถ้าไม่ใช่เพราะเหลยหู่มาที่ฮ่องกง พวกเขาก็ยังคงไม่รู้ว่าจะพัฒนาสำนักให้เจริญได้อย่างไร
“อืม ทำดีมาก ฝึกสักสองสามคน ต่อไปแกก็ไม่ต้องเหนื่อยมาก”
เยี่ยเทียนมองเหลยหู่และชื่นชมเขา คนคนนี้ไม่ใช่คนเลวร้าย แค่ต้องดูว่าจะควบคุมเขาได้หรือไม่ แล้วเหลยหู่ที่สามารถดูแลตำหนักอาญาของสมาคมหงเหมินได้ ก็ไม่ใช่เพราะเหลยเจิ้นเทียนซะทีเดียว ความสามารถส่วนตัวของเขาก็เก่งเหมือนกัน
“ครับอาจารย์ แต่ว่าตอนที่รับลูกศิษย์ อาจารย์ต้องมาดำเนินพิธีนะครับ!”
ตอนที่เหลยหู่วางมือจากสมาคมหงเหมิน เพิ่งจะ 40 ต้นๆ ตอนนี้เขาสามารถจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง และทำได้ดีมากด้วย เหลยหู่ลังเลไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า
“อาจารย์ ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับอาจารย์หน่อยครับ”
“อืม เรื่องอะไร”
เยี่ยเทียนมองเหลยหู่
“เรื่องเป็นแบบนี้ครับ”
เหลยหู่กล่าว
“พรุ่งนี้จะมีงานประมูลการกุศล จัดขึ้นโดยท่านเซอร์เฮ่อในฮ่องกง สำนักเสื้อป่านของเราได้รับคำเชิญด้วย แต่ผมไม่แน่ใจว่าเงินบริจาคควรอยู่ที่เท่าไหร่ครับ”
ถึงแม้ว่าเยี่ยเทียนมอบหน้าที่ดูแลสำนักเสื้อป่านให้เหลยหู่ตั้งแต่หนึ่งปีก่อน และเคยพูดว่าให้เขาบริหารจัดการเรื่องเงินทองด้วย แต่ตอนนั้นเยี่ยเทียนไม่ได้อยู่ที่ฮ่องกง ตอนนี้เยี่ยเทียนอยู่ตรงนี้ เหลยหู่จึงต้องขอคำแนะนำจากเยี่ยเทียน
“ฉันเคยบอกแล้ว เรื่องแบบนี้ไม่ต้องถามฉันก็ได้”
เยี่ยเทียนยิ้มกล่าวว่า
“เหลือเงินกินข้าวไว้ก็พอ อย่าบริจาคจนหมดล่ะ นอกนั้นจะใช้ยังไงก็จัดการเอาเอง”
“ทำแบบนั้นได้ที่ไหนกันละครับ อาจารย์วางใจได้เลยครับ สำนักเสื้อป่านจะต้องเจริญรุ่งเรืองแน่นอน”
เหลยหู่ยิ้มตาม ด้วยชื่อเสียงของเขากับเงินทองของเยี่ยเทียน ถ้าไม่สามารถทำให้สำนักรุ่งเรืองได้ เขายอมชนเต้าหู้จนตายดีกว่า
เมื่อเห็นว่าเยี่ยเทียนอารมณ์ดีพอควร เหลยหู่พูดต่อว่า
“อาจารย์ครับ ไหนๆอาจารย์ก็อยู่ฮ่องกง พรุ่งนี้ไปร่วมงานประมูลการกุศลด้วยกันสิครับ”
ตั้งแต่มาถึงฮ่องกง เหลยหู่เพิ่งรู้ว่าเยี่ยเทียนมีชื่อเสียงมากในแวดวงมหาเศรษฐีแห่งฮ่องกง นอกจากถังเหวินหย่วนแล้ว อย่างเช่นหลี่เชาเหริน เถ้าแก่หวาเซิ่ง หลังจากที่ได้ข่าวว่าสำนักเสื้อป่านเป็นกิจการของเยี่ยเทียน พวกเขาก็สนันบสนุนอยู่ไม่น้อย เพราะฉะนั้นถ้าเยี่ยเทียนไปร่วมงานประมูล จะเป็นการเพิ่มชื่อเสียงให้กับสำนักเสื้อป่านได้อีก
“ได้สิ พรุ่งนี้อาจารย์จะไปกับแก เซี่ยวเทียนก็ไปด้วยกันสิ”
เยี่ยเทียนตอบรับ ที่จริง ตำแหน่งเจ้าสำนักเสื้อป่านเขายังทำได้ไม่ดีนัก ส่วนใหญ่เขาจะไม่ค่อยทำอะไรเลย ถ้าไม่ทำอะไรสักหน่อย เกรงว่า คงไม่มีหน้าไปพบอาจารย์แล้วจริงๆ
หลังจากกำหนดการของวันพรุ่งนี้ถูกจัดไว้หมดแล้ว เยี่ยเทียนส่งเสียงเรียกเหมาโถวกับเสี่ยวจินกลับมา วันนี้เป็นวันที่คนของสำนักเสื้อป่านอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ก่อนกินข้าวเย็น เยี่ยเทียนอันเชิญภาพอาจารย์หลี่ซั่นหยวน และนำทุกคนเคารพกราบไหว้
งานประมูลการกุศลในวันถัดไปจัดขึ้นช่วงดึก ช่วงกลางวันเยี่ยเทียนนั่งสอนลูกศิษย์ในค่ายกลชุมนุมพลัง
พลังของเยี่ยเทียนห่างจากบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคเพียงเล็กน้อย เขารู้ในกฏแห่งธรรมชาติ ประสบการณ์ที่กล่าวออกมา แม้แต่โก่วซินเจีย จั่วเจียจวิ้น ก็ยังฟังจนเคลิ้มตาม ส่วนโจวเซี่ยวเทียนที่พลังปราณชีวิตดั้งเดิมเปลี่ยนแปลงเป็นปราณแท้แล้ว เหลือแค่สติที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงเป็นจิตดั้งเดิม เมื่อฟังแล้วยิ่งรู้สึกว่าได้ความรู้มากมาย จนสามารถทะลุถึงระดับเซียนเทียนได้ทุกเมื่อ
พอเยี่ยเทียนสอนจบ โก่วซินเจียถึงกับอดชมไม่ได้ว่า
“ศิษย์น้องเล็ก คำสอนของเธอเบิกความสว่างทางสติปัญญามาก!”
“ศิษย์พี่ใหญ่ชมเกินไป ถ้าจะพูดเรื่องระดับจิตใจ ผมเทียบศิษย์พี่ไม่ได้เลยครับ”
เยี่ยเทียนยิ้มและโบกมือ หันไปหาเหลยหู่กับโจวเซี่ยวเทียนที่ดูเหมือนจะเตรียมตัวเสร็จแล้ว กล่าวว่า
“ยังมีเวลาอีกเยอะ ศิษย์พี่ใหญ่ เดี๋ยวผมไปร่วมงานประมูลการกุศลอะไรนั่นก่อนนะครับ”
“นี่ เหลยหู่ มันก็อยู่ในเกาะไม่ใช่เหรอ เดินไปก็ได้มั้ง ทำไมต้องขับรถไปด้วย”
รถแล่นออกมาไม่กี่นาที จากนั้นก็เลี้ยวขวาและแล่นต่อไปยังทางขึ้นเขาอีกเส้นหนึ่ง ปลายทางของเส้นทางนี้มีประตูบานหนึ่งเปิดกว้างอยู่ ข้างในนั้นมีผู้คนอยู่มากมาย ซึ่งมองเห็นตั้งแต่ระยะไกล
“อาจารย์ คนฮ่องกงให้ความสำคัญเรื่องภาพพจน์มาก ถ้าพวกเราเดินมาที่นี่ ชื่อเสียงของสำนักเสื้อป่านคงด้อยลงแน่ๆ”
เหลยหู่ยิ้ม กล่าวว่า
“ท่านเซอร์เฮ่อไม่ใช่คนทั่วไป เขาเป็นถึงท่านเซอร์ที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระราชินีอังกฤษ แม้ความร่ำรวยจะไม่อยู่อันดับหนึ่งในฮ่องกง แต่ชื่อเสียงไม่ด้อยกว่าคุณหลี่เลย บางทีอาจจะมีชื่อเสียงมากกว่าด้วยซ้ำไป…”
ตำแหน่งท่านเซอร์มีต้นกำเนิดมาจากสหราชอาณาจักร ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลเพื่อรักษาความสงบของชุมชน ป้องกันการลงโทษที่ผิดกฎหมาย ฮ่องกงในฐานะที่เคยเป็นอาณานิคมของอังกฤษ เขาจึงยังใช้ระบบเดิมอยู่
หน้าที่หลักของท่านเซอร์ของฮ่องกงคือเยี่ยมชมสถานที่กักขังเช่นเรือนจำ ยอมรับข้อร้องเรียนจากผู้ถูกควบคุมตัว หลีกเลี่ยงบทลงโทษที่นอกเหนือจากศาลกำหนด
รวมถึงการกำกับและยอมรับคำปฏิญาณและคำประกาศของประชาชน เพื่อให้คำปฎิญาณและคำประกาศของพวกเขามีผลทางกฏหมาย ขอบเขตงานส่วนนี้จะเป็นส่วนที่คุ้นเคยกันมากที่สุด จะเห็นได้บ่อยจากทีวีเป็นประจำว่า ทุกครั้งที่ประกาศผลลอตเตอรี่ฮ่องกง ร่วมกับตัวแทนขององค์กรที่ให้การสนับสนุน เช่น สมาคมการแข่งม้าแห่งฮ่องกง พวกเขามีหน้าที่ดูแลผลการจับฉลาก
ก่อนฮ่องกงกลับสู่จีน ตามกฏหมายของฮ่องกง ท่านเซอร์ทำหน้าที่เหมือนกับประเทศในเครือจักรภพอื่น ๆ ต้องมีการพิจารณาคดี หรือเป็นลูกขุนเพื่อตัดสินว่านักโทษมีความผิดหรือไม่ แต่ตอนนี้ หน้าที่นี้ถูกแทนที่ด้วยผู้พิพากษาซึ่งมีสิทธิชี้ขาดตามคุณสมบัติทางกฎหมายไปแล้ว
นับตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ผ่านมา ชาวฮ่องกงถือว่าท่านเซอร์เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่ง ดังนั้นผู้คนจำนวนมากในชุมชนจึงบริจาคเงินหรือดำรงตำแหน่งราชการ เพื่อที่จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นท่านเซอร์
แล้วต้นศตวรรษที่ผ่านมา ท่านเซอร์ได้รับการแต่งตั้งโดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงในนามของราชินีแห่งอังกฤษ ซึ่งผู้นั้นจักต้องเป็นคนที่มีผลงานดีเด่นด้านสังคม หรือเป็นบุคคลที่ได้รับการยกย่อง ถึงจะได้รับเกียรตินี้
แต่ว่าตั้งแต่ฮ่องกงกลับสู่จีนแล้ว ระบบท่านเซอร์แม้ว่าจะรักษาให้คงอยู่ต่อได้ แต่อำนาจของพวกเขากลับถูกแทนที่ด้วยประธานบริหารของฮ่องกงไปแล้ว ประธานบริหารมีอำนาจให้สิทธิผู้ที่สมควรจะเป็นท่านเซอร์ และเรียกตำแหน่งคืนหากมีเหตุผลที่สมควร
ส่วนท่านเซอร์เฮ่อที่เหลยหู่กล่าวถึง มีเบื้องหลังใหญ่มาก เขาเป็นถึงผู้สืบทอดของเหอตุงผู้ร่ำรวยที่สุดของฮ่องกงในสมัยนั้น ถึงแม้ว่าปัจจุบันตระกูลเหอจะแยกย้ายไปทำธุรกิจของตัวเองกันหมด แต่ชื่อเสียงของตระกูลนี้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าชาวจีนผู้ร่ำรวยของฮ่องกงเท่าไหร่
ตอนที่ลงจากรถ เยี่ยเทียนหยิบเช็คที่เขียนจำนวนตัวเลขยาวพรืดออกมา ยื่นให้เหลยหู่ กล่าวว่า
“กฏแห่งฟ้าดินเปลี่ยนไปแล้ว ช่วงนี้ในประเทศมีภัยบัติมากมาย เงินห้าสิบล้านดอลล่าร์นี้บริจาคออกไปในนามของสำนักเสื้อป่านเถอะ!”
……………………………