“ก็แค่รูปหญิงสาวเปลือยก้นรูปเดียว เห็นเป็นของมีค่ามากมายไปได้”
เยี่ยเทียนเห็นเหล่านักวิเคราะห์ศิลปะตรวจสอบรูปภาพสีน้ำมันอย่างละเอียดแล้วอดเบ้ปากไม่ได้ ภาพนี้เป็นภาพวาดหญิงสาว ใบหน้าไม่ชัดเจน เหมือนแค่สาดสีลงบนฉากหลังเท่านั้น เยี่ยเทียนมองไม่เห็นความสวยงามในศิลปะใดเลย
“เป็นภาพที่งาม นี่เป็นรูปวาดของปิกัสโซสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ซึ่งสอดแทรกการใช้ชีวิตประจำวันของเขาแล้วการไล่ล่าความสวยงามของชีวิต เป็นของแท้อย่างไม่ต้องสงสัย”
หลังจากนั้นอีกนานชายชราที่หนวดเคราของเขาเริ่มแซมสีขาวได้ละสายตามาจากรูปวาดแล้วเอ่ยขึ้นว่า
“คุณจาค็อกซ์ครับ รูปภาพนี้เป็นของปิกัสโซอย่างแน่นอน ทั้งยังเป็นงานศิลปะชิ้นเอกในชีวิตของเขาเลยทีเดียว ผมดูไม่มีทางผิดแน่”
“คุณเอ็ดสันเป็นสหายของปิกัสโซ คำพูดของคุณผมเชื่อ”
จาค็อกซ์พยักหน้า เบื้องหน้าเขาคนนี้เป็นศิลปินวาดภาพที่มีชื่อเสียง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับความสำเร็จของปิกัสโซแล้วยังเทียบกันไม่ได้
คนๆนี้เคยได้ติดตามปิกัสโซอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง จึงคุ้นเคยกับเส้นฝีแปรงบนภาพวาดของปิกัสโซดี เกือบทุกครั้งที่มีการประมูลผลงานของปิกัสโซ จะต้องเชิญเขาไปตรวจสอบงานศิลปะเหล่านั้น และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาพวาดของปิกัสโซตัวจริง
“ไล่ล่าความสวยงามกับผีน่ะสิ ชอบไล่ตามผู้หญิงมากกว่า?”
เยี่ยเทียนหมั่นไส้ในคำพูดของเอ็ดสัน เขารู้ว่าตอนมีชีวิตอยู่ปิกัสโซใช้ชีวิตอย่างไร เขาคนนี้ตลอดทั้งชีวิตไม่เคยขาดผู้หญิง จนอายุแปดสิบปียังคงติดพันผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ ตั้งแต่หนุ่มจนแก่เป็นคนมักมากในกามารมณ์คนหนึ่ง
แน่นอนว่าเขาไม่มีทางเอ่ยความคิดของตัวเองออกไป การที่ได้ใช้ภาพนี้แลกกับชิ้นส่วนตำราทุยเป้ยถูหนึ่งในสามมาได้ เยี่ยเทียนถือว่าคุ้มมากแล้ว
“คุณเยี่ย คุณยินยอมจะใช้ภาพวาดของปิกัสโซนี้แลกเปลี่ยนจริงหรือครับ?”
หลังจากนักวิเคราะห์ศิลปะออกไปแล้วจาค็อกซ์ถามเยี่ยเทียนอีกครั้ง ทั้งๆที่ตอนนี้แทบอยากจะให้เยี่ยเทียนเซ็นชื่อในเอกสารบริจาคชิ้นงานศิลปะทันที แต่ด้วยมารยาทตามแบบฉบับคนอังกฤษ เขาจึงต้องถามย้ำกับเยี่ยเทียนอีกครั้ง
“เยี่ยเทียน ตอนนี้เธอยังเปลี่ยนใจทันนะ”
การเป็นราชนิกูลคนหนึ่ง อลิซาเบธรู้ซึ้งถึงคุณค่าของรูปวาดของปิกัสโซรูปนี้ เธอคิดว่าเยี่ยเทียนอาจจะแค่ล้อเล่น คิดไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนจะนำภาพวาดของแท้ออกมาได้จริง
“ผมยินดีอย่างถึงที่สุดครับ คุณพ่อของผมชอบชิ้นส่วนตำราเล่มนี้มาก แลกก็แลกครับ!”
เยี่ยเทียนยิ้มแล้วเอ่ยต่อว่า
“คุณจาค็อกซ์ ผมยังมีธุระอีก อาจจะต้องจากลอนดอนไปเร็วๆนี้ ไม่ทราบว่าสามารถดำเนินการบริจาคตอนนี้เลยได้มั้ย ผมจะได้นำสมุดภาพนี้กลับไปด้วย?”
เยี่ยเทียนรู้ว่าตัวเองมีชื่ออยู่ในบัญชีดำของหลายประเทศ ตอนที่เขาเข้ามาในประเทศอังกฤษ ก็ใช้อีกชื่อหนึ่งเข้ามา ตั้งแต่ลงจากเครื่องบินจนมาถึงพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ หน่วยพิเศษต่างๆของอังกฤษยังไม่ทันรู้ตัว
แต่ถ้าเวลายืดเยื้อนานออกไปก็ไม่กล้ารับรองว่าจะเกิดเหตุใดขึ้นได้บ้าง ถ้าถูกรัฐบาลอังกฤษรู้ว่าตัวเองแอบหนีมาที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติเพื่อขอแลกเปลี่ยนสมุดภาพ ต่อให้สมุดภาพจะไม่มีประโยชน์กับพวกเขา แต่การแลกเปลี่ยนครั้งนี้จะถือเป็นโมฆะทันที
“แน่นอน คุณเยี่ย แค่คุณเซ็นชื่อลงบนเอกสารทั้งสองฉบับนี้ คุณก็สามารถนำสมุดภาพอันสวยงามนี้กลับไปได้เลย”
จาค็อกซ์รู้สึกว่าตอนที่เขาเอ่ยประโยคนี้ออกมาทำให้ตัวเองหน้าแดงขึ้น มูลค่าของของสองชิ้นนี้ต่างกันราวฟ้ากับดิน คำพูดของเขาจึงเหมือนกับการหลอกลวงเด็กน้อยที่ไม่รู้ประสีประสา
“ได้ ไม่มีปัญหา!”
เยี่ยเทียนไม่ต่อความยาวสาวความยืด หยิบปากกาขึ้นมาแล้วเซ็นชื่อลงไปในกระดาษทั้งสองแผ่น ยิ้มแล้วบอกว่า
“คุณจาค็อกซ์ ผมคิดว่าพวกเราเจรจาแลกเปลี่ยนกันเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย?”
“ไม่….ไม่ครับ คุณเยี่ย พวกเราบริจาคงานศิลปะให้กันเฉยๆ ฮ่าๆ ต้องขอบคุณคุณมากจริงๆ!”
พอเยี่ยเทียนเซ็นชื่อลงแล้ว จาค็อกซ์ก็ถอนใจยาว หัวเราะออกมา ใช้สมุดภาพโบราณเล่มหนึ่งแลกกับผลงานของปิกัสโซช่างคุ้มค่าเสียนี่กระไร
“คุณจาค็อกซ์เกรงใจเกินไปแล้ว ทุกท่านแค่มีความต้องการของตัวเองเท่านั้น”
เยี่ยเทียนยิ้ม เขาวางชิ้นส่วนตำราลงในกล่องนิรภัยแล้วพูดว่า
“ขอบคุณพี่วินด์เซอร์มากครับที่ช่วยเหลือ หากคุณไปที่ประเทศจีน ผมจะต้องพาคุณท่องเที่ยวในโบราณสถานที่มีชื่อเสียงของเรา ผมคิดว่า….คุณแม่ของผมก็อยากพบคุณเช่นกัน”
“เยี่ยเทียน ฝากทักทายแม่ของเธอแทนฉันด้วย ฉันไม่ได้เจอเธอมาหลายปีแล้ว หากมีเวลาฉันจะต้องไปแน่นอน”
พอพูดถึงสหายของเธอ เธอก็ทำท่าสำรวมขึ้นมาทันทีแต่แล้วความซุกซนก็เผลอหลุดออกมาอีก เธอมองเยี่ยเทียนแล้วพูดว่า
“เยี่ยเทียน เธอไม่อยากอยู่ที่อังกฤษให้นานกว่านี้หน่อยหรือ? ฉันจะพาเธอไปเที่ยวพระราชวังบักกิ้งแฮมได้นะ ในบรรดาหลานสาวของฉันมีคนสวยๆตั้งหลายคน”
“ถ้าอย่างนั้นน่าเสียดายมากเลยครับ พี่วินด์เซอร์ครับ ลูกชายผมใกล้จะเรียกพ่อได้แล้วครับ”
เยี่ยเทียนหัวเราะเสียงดังยื่นมือไปรับกล่องนิรภัยมา
“คุณจาค็อกซ์ครับ ผมขอตัวลาก่อน ถ้าวันหน้าคุณหาสมุดภาพส่วนที่เหลือได้ ผมอยาก…จะบริจาคภาพวาดของปิกัสโซอีกภาพก็เป็นไปได้”
“จริงเหรอครับ?”
สายตาของจาค็อกซ์ลุกวาวขึ้นอีกครั้ง แล้วรีบพูดว่า
“คุณเยี่ยครับ คุณอย่าเพิ่งรีบกลับ พิพิธภัณฑ์ของพวกเรามีของล้ำค่าของโลกตะวันออกอยู่หลายชิ้น ยังมีสมุดภาพโบราณอีกหลายเล่ม ผมจะสั่งให้คนไปหาในสารบัญ คงใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน!”
“ให้ตายเถอะ แค่ให้หารายชื่อในสารบัญยังต้องใช้เวลาหลายวัน ข้าวของพวกนั้นเป็นของที่ชิงมาจากประเทศจีนนั่นแหละ?”
เยี่ยเทียนได้ยินดังนั้นก็กลอกตาพูดไม่ออกโบกมือ
”ไม่ต้องหรอกครับ ผมยังมีธุระต่อที่สวิส ผู้อำนวยการจาค็อกซ์ ถ้าคุณหาสมุดภาพที่คล้ายกันเจอ ช่วยโทรศัพท์ติดต่อผมด้วยนะครับ”
ตอนที่นักวิเคราะห์ตรวจสอบรูปภาพของปิกัสโซอยู่นั้น เยี่ยเทียนได้ใช้ดวงจิตสำรวจรอบพิพิธภัณฑ์รอบหนึ่งแล้ว ในนั้นมีงานศิลปะของโลกตะวันออกเก็บรักษาอยู่หลายชิ้น
แต่ถึงแม้เยี่ยเทียนจะรู้สึกได้ถึงพลังวิเศษบางเบา แต่กลับไม่ได้มาจากชิ้นส่วนของตำราทุยเป้ยถู ถ้าเขารับปากอยู่ต่อละก็เกรงว่าคงทนไม่ไหวต้องไปกวาดล้างมาทั้งพิพิธภัณฑ์
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ รอให้ครั้งหน้าคุณเยี่ยมาอีก ผมจะเป็นคนพานำเที่ยวในพิพิธภัณฑ์นี่เอง”
จาค็อกซ์เซ็นชื่อลงในเอกสารอีกฉบับ นี่เป็นเอกสารที่จะนำสมุดภาพออกนอกอาณาจักร เขายื่นเอกสารให้เยี่ยเทียนแล้วจาค็อกซ์ก็เดินไปส่งเยี่ยเทียนกับโจวเซี่ยวเทียนออกไปนอกพิพิธภัณฑ์
“คุณเยี่ย ทางนี้ครับ!”
หูหู่ที่จัดการกับตำรวจเรียบร้อยแล้วยังรออยู่หน้าพิพิธภัณฑ์ เมื่อเห็นเยี่ยเทียนเดินออกมาก็รีบโบกมือเรียก
“เฮ้อ มีความสัมพันธ์อันดีกับต่างชาติช่างดีจริงๆ”
เห็นท่าทางหูหู่ที่สุขสบายใจ เยี่ยเทียนยิ้มออกมา ความจริงต่อให้ไม่มีใบรับรองที่จาค็อกซ์ออกให้ เขาก็สามารถแอบเอาชิ้นส่วนภาพตำราทุยเป้ยถูออกไปได้อยู่ดี
เยี่ยเทียนกับหูหู่ขึ้นรถแล้วหูหู่เอ่ยปากถามว่า
“คุณเยี่ย พวกเราจะไปไหนต่อครับ?”
เยี่ยเทียนยิ้ม
“ไปสนามบิน ผมจะกลับสวิสทันที ยังมีเวลาอีกครึ่งชั่วโมง ผมเชื่อว่าคุณหูจะพาผมไปถึงได้ทันเวลา?”
เยี่ยเทียนมีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่าทางอังกฤษน่าจะได้รู้เร็วๆนี้ว่าตัวเขาเข้าประเทศมาแล้ว ถ้าไม่รีบหลบออกไปก่อน อาจจะชักนำให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันตามมา เยี่ยเทียนไม่กลัวมีปัญหาแต่ไม่ชอบความวุ่นวาย
“ยังจะให้ขับแบบนั้นอีกเหรอ?”
ได้ฟังที่เยี่ยเทียนพูดแล้วหูหู่ยิ้มแหยออกมา เขาเป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ แต่ต้องเคารพกฎหมายของประเทศอังกฤษเหมือนกัน ถ้ามาอีกครั้งแล้วให้เขาขับรถเร็วอย่างนี้ เกรงว่าทางสถานทูตอาจจะต้องไปรับตัวเขาออกมาจากสถานีตำรวจ
แต่ดูท่าทางเยี่ยเทียนไม่ได้ล้อเล่น หูหู่กัดฟันแล้วเหยียบคันเร่งจนมิด รถทะยานตัวมุ่งไปสู่สนามบิน
“เยี่ยเทียน รูปวาดปิกัสโซของฉันถูกแกเอาไปแล้ว?”
พอรถเริ่มออกตัวโทรศัพท์ดาวเทียมของเยี่ยเทียนก็ดังขึ้น เมื่อรับสายเป็นเยี่ยตงผิงเองที่โทรมา
ภาพวาดสีน้ำมันของปิกัสโซนั้น เป็นสิ่งที่เยี่ยตงผิงใช้เงินเก็บสะสมทั้งหมดสามสิบล้านดอลลาร์สหรัฐประมูลมาจากงานประมูลครั้งหนึ่งในฮ่องกง
เมื่อได้ภาพนี้แล้วเยี่ยตงผิงก็ถือเป็นคนมีชื่อเสียงในวงการนักสะสม เพราะการจะมีภาพวาดของปิกัสโซในครอบครองได้ต้องเป็นนักสะสมระดับนานาชาติแล้ว อย่าว่าแต่ในปักกิ่งเลยทั้งประเทศจีนคงมีแค่เขาคนเดียว
แต่วันนี้เยี่ยตงผิงพาเพื่อนคนหนึ่งมาดูภาพวาดของปิกัสโซที่บ้านนั้น กลับพบว่าตรงที่แขวนภาพเหลือแต่กำแพงสีขาวว่างเปล่า ตอนที่เขาตกใจกำลังจะเรียกตำรวจนั้น ซ่งเวยหลันบอกเขาว่าภาพวาดถูกเยี่ยเทียนนำไปแล้ว
“พ่อ ไม่ใช่ว่าผมจะเอาหรอกนะ แม่เป็นคนให้ผมมาต่างหาก ไม่เกี่ยวกับผมสักหน่อย”
เยี่ยเทียนทำเป็นถูกใส่ความ เขารู้ว่าพ่อโปรดปรานรูปวาดนั่นขนาดไหน ถ้าตอนนี้เยี่ยเทียนยืนอยู่ในเรือนสี่ประสานละก็คงต้องถูกพ่อซ้อมเข้าสักยก
ได้ยินลูกชายบอกดังนั้นแล้วเยี่ยตงผิงกัดฟันกรอด
“ฉันไม่สนหรอก รูปนั่นไปอยู่ที่ไหนแล้ว?”
“อยู่ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติอังกฤษแล้ว พ่อสะสมแค่วัตถุโบราณก็ดีอยู่แล้ว ผมว่าพ่อยังจะสะสมของเล่นของพวกฝรั่งไปทำไม?”
เยี่ยเทียนยังพูดยุแหย่ว่า
“แม่เขาไม่ชอบที่พ่อดูรูปผู้หญิงเปลือยเห็นก้นหรอกนะ แม่เลยให้ผมเอาไปบริจาคให้พิพิธภัณฑ์อังกฤษแล้ว ถ้ามีอะไรพ่อก็ไปคุยกับแม่เอาเอง ไม่เกี่ยวกับผมสักนิด!”
“ไร้สาระ นั่นมันงานศิลปะนะ!”
ฟังที่ลูกชายพูดแล้วเยี่ยตงผิงโกรธจนตาลายเกือบจะเป็นลม คว้าโทรศัพท์เอาไว้แน่นแล้วตะโกนว่า
“ถ้าแกไม่เอารูปวาดนั่นกลับมา แกก็ไม่ต้องกลับมาบ้านนี้อีก สมบัติทั้งหมดของฉันใช้แลกไปกับรูปวาดนั่นหมดแล้ว!”
เยี่ยตงผิงไม่กล้าหือกับภรรยาที่ไม่ชอบให้เขาดูภาพหญิงเปลือยก้น เขาจึงได้แต่ขู่บุตรชายเพื่อจะได้ภาพมูลค่าสามพันล้านดอลลาร์กลับมา เขาเจ็บใจมากจริงๆ
………………………….