ได้ยินเสียงคำรามของบิดาดังมาจากปลายสายแล้ว เยี่ยเทียนอดหัวเราะไม่ได้
“พ่อ กลับไปผมจะโอนเงินคืนให้ พ่อจะซื้อภาพอีกสักกี่ภาพก็ได้ ปิกัสโซมีชีวิตอยู่ถึงแปดสิบกว่าปี ชิ้นงานของเขามีตั้งเยอะแยะ!”
“มีเงินแล้วซื้อมาได้ก็ดีน่ะสิ แกไม่รู้หรือว่างานประมูลที่ฮ่องกงครั้งก่อนถ้าไม่ได้ผู้เฒ่าถังช่วยเหลือ ภาพวาดนั่นไม่มีทางตกมาถึงมือฉันได้หรอก!”
เยี่ยตงผิงมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วเปลี่ยนเป็นเสียงกระซิบว่า
“เจ้าเด็กบ้า อย่าคิดว่าแม่แกช่วยแล้วฉันจะทำอะไรแกไม่ได้ ฉัน….ฉันไม่อยากมีปัญหากับแม่แก แต่ฉันลงที่หลานก็ได้!”
เยี่ยเทียนได้ยินคำพูดที่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ของผู้เป็นพ่อก็รู้ว่าเขาโกรธจนหน้ามืดตามัว รีบห้ามว่า
“อย่าทำอย่างนั้นนะ พ่อ เอาอย่างนี้แล้วกัน เอาไว้ให้ผมว่างแล้วผมจะไปที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ในปารีส ดูว่าพอมีภาพวาดของจริงของปิกัสโซอยู่อีกไหม!”
ปิกัสโซอายุยืนยาวถึงเก้าสิบสองปี ช่วงเวลาส่วนใหญ่ในชีวิตอยู่ที่ปารีส ดังนั้นพิพิธภัณฑ์ลูฟร์จะต้องมีภาพวาดผลงานของเขาอยู่หลายชิ้น เยี่ยเทียนไม่ได้พูดเล่น เขาคิดว่าหลังจากจบงานแสดงความสามารถพิเศษที่สวิสแล้วจะไปที่นั่นสักครั้งเพื่อสนองความต้องการของบิดาที่อยากจะเป็นนักสะสมระดับโลก
“ถือว่าแกรู้งาน!”
พอได้คำสัญญาจากบุตรชายแล้ว เยี่ยตงผิงถึงยอมวางสาย เขารู้ความเก่งกาจของลูกชายดี ถ้าบอกว่าจะหารูปภาพมาให้หลายรูปก็ต้องทำให้ได้ ส่วนจะทำด้วยการแย่งมาหรือขโมยมานั้น เขาไม่สนใจ เอาเป็นว่าตอนที่กองทัพแปดชาติที่มารุกรานจีนสมัยก่อนก็ได้ปล้นสมบัติของชาติจากจีนไปไม่น้อย
ขณะที่รถกำลังพุ่งไปข้างหน้าหูหู่แอบเหลือบมองเยี่ยเทียนที่เบาะหลังทีหนึ่ง บทสนทนาเมื่อครู่อย่างกับว่าพิพิธภัณฑ์ลูฟร์นั้นเป็นกิจการของบ้านเขาเอง ช่างมั่นอกมั่นใจอะไรขนาดนั้น
แต่หูหู่ไม่รู้ว่าทั้งสองประการนี้ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่ ขอแค่เยี่ยเทียนยินยอม คืนนี้เขาจะได้เข้าไปสัมผัสถึงหัวเตียงของประธานาธิบดีแห่งอเมริกาได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการไป “ขโมย” เอาภาพวาดไม่กี่ภาพของปิกัสโซเลย
ฝีมือการขับขี่ของหูหู่ไม่เลวเลย มีรถตำรวจคันใหญ่ขับไล่ตามมาติดๆ ทั้งยังมาถึงสนามบินอย่างปลอดภัย ตามกฎเดิม เยี่ยเทียนกับโจวเซี่ยวเทียนลงจากรถไปแล้ว หูหู่คอยสะสางกับพวกตำรวจทีหลัง
เส้นทางการบินของเยี่ยเทียนได้รับความช่วยเหลือจากสถานทูต หลังจากเข้าไปในสนามบินยี่สิบนาที เครื่องบินก็ได้ออกบินขึ้นสู่ท้องฟ้ามุ่งสู่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์
แต่หลังจากเครื่องบินของเยี่ยเทียนบินออกไปแล้วครึ่งชั่วโมง ชายใส่สูทชุดดำกลุ่มหนึ่งมาถึงพิพิธภัณฑ์แห่งชาติอังกฤษ คุมตัวผู้ที่ได้พูดคุยและเกี่ยวข้องกับเยี่ยเทียนทั้งหมดไปสอบสวน โดยคนแรกคือผู้อำนวยการจาค็อกซ์ที่คิดว่าตัวเองได้สร้างผลงานครั้งยิ่งใหญ่
การสอบสวนดำเนินไปถึงสามวันเต็ม หน่วยพิเศษของอังกฤษนำรูปถ่ายของสมุดภาพเล่มนั้นอย่างละเอียดมาวางเรียงเต็มห้อง แล้วเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรมจีนมาวิเคราะห์แยกชิ้นส่วนอย่างลึกซึ่ง
ผ่านไปอีกหลายวัน ถึงจะทราบว่าตำรานั้นเป็นตำราโบราณที่ใช้ในการผูกกว้าทำนาย พวกเขาไม่อาจเข้าถึงความลับอันลึกซึ้งในตำราได้สุดท้ายจึงได้แต่เก็บเรื่องนี้ไว้ในแฟ้มคดีลับต่อไป
…………
“อาจารย์ ชิ้นส่วนตำราทุยเป้ยถูเล่มนี้มีค่ามากพอจะใช้ภาพวาดของปิกัสโซแลกมาเชียวหรือ?”
พอเครื่องบินออกตัว โจวเซี่ยวทียนเอ่ยถามความสงสัยที่ติดค้างอยู่ในใจ ตอนนั้นเขาไปเป็นเพื่อนเยี่ยตงผิงเพื่อประมูลภาพนั้นมา เขาต้องรู้ถึงมูลค่าของมันเป็นอย่างดี ในมุมมองของโจวเซี่ยวเทียนการกระทำของเยี่ยเทียนเหมือนการล้างผลาญตระกูล
“ภาพวาดของปิกัสโซน่ะหรือ? จะเอาไปเทียบกับตำราทุยเป้ยถูได้?”
เยี่ยเทียนเบ้ปาก แล้วเปิดกล่องออกมา บอกว่า
“ถึงจิตดั้งเดิมของแกจะยังไม่สร้างขึ้น แต่จิตใจเข้มแข็งกว่าเดิมมากแล้ว แกลองใช้ดวงจิตสำรวจสมุดภาพนี้ดูสิ”
“ใช้ดวงจิตสำรวจสมุดภาพ?” โจวเซี่ยวเทียนงุนงง เขายังไม่เข้าใจ แต่ก็ลองทำตามที่เยี่ยเทียนบอก เขาปล่อยดวงจิตของตัวเองออกมา เมื่อดวงจิตของเขาได้สัมผัสกับสมุดภาพ ในสมองก็รู้สึกเหมือนถูกเข็มทิ่มแทงอย่างรุนแรงเป็นความเจ็บปวดมหาศาล
“นี่…นี่มันอะไรกัน?”
โจวเซี่ยวเทียนเอามือกุมหัวไว้แน่น ความเจ็บปวดเหมือนเข็มเป็นร้อยเป็นพันเล่มทิ่มแทงนั้นทำเอาเขาเกือบหมดสติ เวลาผ่านไปถึงห้านาทีเต็มๆ ใบหน้าที่ซีดขาวของโจวเซี่ยวเทียนถึงจะมีเลือดฝาดขึ้นมาบ้าง
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่แค่พลังงานที่แอบซ่อนอยู่ภายในก็มากเกินพอที่จะใช้ภาพวาดของปิกัสโซแลกมาแล้ว”
เยี่ยเทียนหน้าขรึมส่ายหัวไปมา ระดับขึ้นวิชาตอนนี้ของเขายังไม่กล้าพอจะใช้จิตดั้งเดิมเข้าไปสำรวจในชิ้นส่วนของตำราทุยเป้ยถู ในนั้นมีพลังไหลบ่าอย่างรุนแรงเหมือนน้ำหลากหรือไม่ก็สัตว์ประหลาดดุร้าย ถ้าได้ปลดปล่อยออกมาอาจทำให้จิตดั้งเดิมของเยี่ยเทียนดับสูญไปในทันที
โจวเซี่ยวเทียนมองดูชิ้นส่วนสมุดภาพนั้นอย่างหวาดหวั่น
“ก็คุ้มจริงๆ อาจารย์ว่าของสิ่งนี้เป็นอาวุธวิเศษแบบไหนกัน?”
“อาวุธวิเศษ? ฉันรู้แค่ว่ามันมีพลังอำนาจมากกว่ามีดสั้นประจำตัวของฉันเสียอีก”
เยี่ยเทียนสั่นหัว แล้วหยิบชิ้นส่วนอีกส่วนที่โจวเซี่ยวเทียนนำมาด้วย
“นี่น่าจะเป็นหน้าสุดท้ายกับส่วนตรงกลาง ส่วนแรกยังขาดไปอยู่ เอ๋ นี่มันอะไรกัน?”
เยี่ยเทียนนำชิ้นส่วนทั้งสองมาวางเข้าด้วยกันแล้ว เมื่อชิ้นส่วนสองชิ้นแตะต้องกันก็เกิดความเปลี่ยนแปลง
กระดาษชิ้นส่วนทั้งสองทีเหลืองเก่าราวกับกำลังเรียกร้องหากัน จู่ๆมันก็เชื่อมต่อกันเองด้วยแรงดึงดูดมหาศาลไหลเวียนออกมาจากตัวตำรา ทำให้กระจกเครื่องบินปริแตกดัง “เปรี๊ยะ”
“โอ้โห เจ้านี่ขึ้นเครื่องบินไม่ได้หรือนี่?”
เครื่องบินส่วนตัวของซ่งเวยหลันกำลังบินอยู่บนท้องฟ้าที่ระดับความสูงหมื่นเมตร ในห้องโดยสารมีกระจกทั้งหมดหกบาน และกระจกแตกทั้งหกบานที่แตกออก ทำให้ภายในห้องโดยสารกลายเป็นสภาวะไร้น้ำหนัก ลมเย็นจากภายนอกไหลเข้ามาเป็นระลอก
โชคดีที่ซ่งเวยหลันไม่ได้ให้พนักงานบริการบนเครื่องบินมาด้วย ใช้เพียงนักบินที่ปลดประจำการจากกองบินทหาร ตอนที่กระจกแตกออกทั้งโจวเซี่ยวเทียนและเยี่ยเทียนได้เปลี่ยนมาใช้วิธีการหายใจด้วยลมปราณ สองเท้ายึดแน่นอยู่กับพื้นอย่างมั่นคง แค่ลมที่กรรโชกพัดไม่อาจทำให้พวกเขาสั่นคลอนได้
“คุณเยี่ย เกิดอะไรขึ้นครับ?” เสียงของนักบินดังออกมาจากห้องนักบิน บนแผงหน้าปัดควบคุมของเขามีสัญญาณเตือนภัยสีแดงกระพริบไม่หยุด แสดงถึงอันตรายที่เกิดขึ้นในห้องโดยสาร
“ไม่เป็นไร ขับเครื่องบินต่อไป กำลังจะถึงกำหนดเวลาที่เครื่องบินจะลงจอดแล้ว!”
แค่กระจกแตกไม่อาจทำให้เยี่ยเทียนตื่นตกใจได้ ตอนนี้สมาธิของเขาทั้งหมดจดจ่อไปที่ตำราทุยเป้ยถูบนโต๊ะ
สภาพในห้องโดยสารเป็นสภาวะไร้น้ำหนัก ข้าวของลอยไปมากระจัดกระจาย มีเพียงตำราทุยเป้ยถูเท่านั้นที่วางนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับขเยื่อน และไม่พลิกหน้าตามแรงลมพัดด้วย แรงดูดมหาศาลทำให้ตำราทุยเป้ยถูประกอบเข้าเป็นเล่มเดียวกัน
“มันดูดกลืนพลังวิเศษเข้าไปเองด้วยหรือ?”
ในสมองของเยี่ยเทียนบังเกิดความคิดนี้ขึ้นมา ถ้าเทียบกับอากาศมลพิษบนพื้นดิน กลางท้องฟ้าที่สูงขนาดนี้ต้องมีพลังวิเศษสมบูรณ์ ตำราทุยเป้ยถูนี้เหมือนกับเป็นหลุมดำอันใหญ่ที่ดูดกลืนพลังวิเศษที่มีอยู่ในอากาศกลางท้องฟ้าเข้าไปสู่ตัวมันเอง
เมื่อพลังแห่งฟ้าดินเข้าไปสู่ภายในเต็มเปี่ยมแล้ว กระดาษสีเหลืองกรอบของตำราค่อยเปลี่ยนเป็นสีขาวสะอาดกลายเป็นความสดใหม่ สีขาวอมเหลืองเหมือนงาช้างหรือหยกที่มีความสดใส ภาพวาดที่แต่เดิมปรากฎอยู่บนหน้ากระดาษไม่รู้ว่าหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่
“คุณเยี่ย ไม่ได้ครับ สถานการณ์ฉุกเฉิน ผมจำเป็นต้องลงจอดเดี๋ยวนี้!”
เยี่ยเทียนสังเกตความเปลี่ยนแปลงของตำราทุยเป้ยถู เสียงนักบินก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง แม้การบินจะไม่มีปัญหา แต่ด้วยประสบการณ์ของเขาแล้ว กระจกเกิดแตกบนระดับความสูงหมื่นเมตร เกรงว่าภายในไม่ถึงสามนาทีคนที่อยู่ในห้องโดยสารจะต้องแข็งตายกันหมด
“บินต่อไป นี่คือคำสั่ง รอให้ไปถึงสนามบินสวิสก่อนค่อยเอาเครื่องบินไปซ่อม!”
เสียงของเยี่ยเทียนเหมือนเสียงระฆังลั่นอยู่ข้างหูของนักบิน แฝงไปด้วยการข่มขู่ มองดูหน้าปัดเวลาระยะห่างเส้นทางเหลือเวลาอีกเพียงสิบกว่านาทีเท่านี้ นักบินค่อยๆลดระดับความสูงลง และเริ่มติดต่อทางสนามบินสวิสเพื่อเตรียมตัวลงจอด
จากการลดระดับเพดานบินลง ลมกรรโชกที่พัดในห้องโดยสารลดความแรงลงเช่นกัน ส่วนตำราทุยเป้ยถูก็ดูดพลังวิเศษจากธรรมชาติลดน้อยลงเช่นกัน
หลังจากนั้นสิบนาทีในห้องโดยสารเหมือนถูกกวาดล้างเรียบ ค่อยๆลดระดับลงจอดบนลานจอดสนามบินสวิส พลังงานร้ายกาจรุนแรงที่ปลดปล่อยออกมาจากตำราทุยเป้ยถูหายไปหมดสิ้น
“เอ๋? บนนั้นทำไมไม่มีรูปอะไรแล้วล่ะ นี่….นี่มันยังเป็นภาพทุยเป้ยถูอีกเหรอ?”
เยี่ยเทียนมือไวคว้าตำรามาดูอย่างรวดเร็วแล้วก็พบว่า ตำราที่มีกระดาษสิบกว่าหน้าได้ประกอบเชื่อมต่อกัน ครึ่งเล่มหน้าเป็นกระดาษขาวแวววาวเหมือนทองเหมือนหยกเหลือเพียงสามแผ่น ตรงกลางเป็นกระดาษขาวกับสีดำ อย่างละแผ่น ส่วนหลังกระดาษหนากว่าส่วนอื่น บนนั้นยังเขียนคำว่า “ตาย” เป็นตัวอักษรสีแดงโลหิต
“โอ้โห นี่มันอะไรกันนี่?”
เยี่ยเทียนจ้องคำว่า “ตาย” บนหน้ากระดาษแล้วรู้สึกวิงเวียนเป็นพักๆ ดวงจิตดั้งเดิมที่อยู่ในสมองของเขาถูกคำว่า “ตาย”ชักนำ เยี่ยเทียนตกใจจนต้องกระพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่ภาพติดตาของตัวอักษรตัวนั้นออกไป
ยังไม่ทันวิเคราะห์ให้ละเอียด เยี่ยเก็บตำราทุยเป้ยถูที่มีขนาดเล็กเท่าฝ่ามือลงในกระเป๋าเสื้อ เพราะในสนามบินมีเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลอยู่ทั่วไปหมด รถพยาบาลหลายคันกำลังวิ่งตรงมาที่เครื่องบินที่กำลังร่อนลงจอด
“คุณเยี่ย คุณ…ไม่เป็นอะไรนะครับ?”
เมื่อนักบินเปิดประตูห้องโดยสารเข้ามาเห็นสภาพห้องโดยสารที่เละเทะแล้วมองดูเยี่ยเทียนอย่างไม่น่าเชื่อ
ด้วยประสบการณ์ชั่วโมงบินสูงของทหารประจำฝูงบินรบ หลังจากกระจกห้องโดยสารแตก ตั้งแต่สิบกว่านาที คนทั้งสองถ้าไม่แข็งตายก็จะกลายเป็นไอศกรีมแช่แข็งไปแล้ว เห็นว่าคนทั้งสองยังมีชีวิตอยู่และแข็งแรงดี เขาจึงรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก
“พวกเราไม่เป็นไร คุณรีบซ่อมเครื่องบินให้เสร็จภายในไม่กี่วันนี้!”
เยี่ยเทียนปลดเข็มขัดนิรภัยออก แล้วกระโดดลงจากเครื่องบิน เห็นว่ามีคนใส่ชุดทหารประจำชาติจีนเดินลงมาจากรถยนต์ที่จอดเทียบอยู่ข้างเครื่องบิน
“คุณเยี่ย ผมมารับคุณครับ เกิดเหตุอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ?”
เยี่ยเทียนเดาไม่ผิด ทหารคนนั้นจะต้องเป็นเจ้าหน้าที่ของสถานทูตจีนในสวิสเซอร์แลนด์ซึ่งได้รับข่าวแล้วมารอรับเขาถึงที่นี่
………………………..