“ดยุกแดร็กคูล่า?”
เยี่ยเทียนมองชายชาวตะวันตกสีหน้าซีดขาวคนนั้นด้วยความสนอกสนใจ จากบนร่างเขา เยี่ยเทียนสามารถสัมผัสลมปราณประเภทเดียวกับเคิร์ทได้ นั่นคือกลิ่นคาวเลือดเหม็นเน่าชนิดหนึ่ง ชายผู้นี้ดูแล้วราวอายุเพียงสี่สิบกว่าปี แต่ความจริงอาจไม่รู้ว่ามีชีวิตอยู่มากี่ปีแล้ว
“มีกลิ่นอายอย่างคนฝึกวิชาเต๋า หรือคนผู้นี้ในอดีตจะเคยมายังประเทศจีน?”
ดวงตาของเยี่ยเทียนหรี่ลงเล็กน้อย ในแก่นโลหิตของแดร็กคูล่า เขาได้กลิ่นอายบางอย่างคล้ายร่างของตนเอง ซึ่งมีเฉพาะในผู้ฝึกเคล็ดวิชาตะวันออกเท่านั้น เยี่ยเทียนจึงกล้าตัดสินว่า แดร็กคูล่าต้องเคยดูดเลือดผู้ฝีกวิชาเต๋าอย่างแน่นอน
“เขาคือเยี่ยเทียนที่แกพูดถึงคนนั้นหรือ?”
หัวคิ้วของแดร็กคิวล่าที่ประสานตากับเยี่ยเทียนขมวดมุ่น เอียงศรีษะอย่างไม่ค่อยแน่ใจ พูดว่า
“รูดอล์ฟ เขาดูไม่แข็งแกร่งอย่างที่แกพูดสักหน่อย? คนแบบนี้ไม่น่าเอาชนะอันเดรวิชกับแอนโทนี มาร์คัสได้เลย!”
ขณะที่พิจารณาเยี่ยเทียน แดร็กคูล่าก็มองเยี่ยเทียนไปด้วย ทว่าแตกต่างจากเยี่ยเทียนที่สามารถตรวจสอบเขาจนถึงแก่น แดร็กคูล่ากลับไม่สามารถสัมผัสถึงคลื่นพลังงานจากภายในร่างเยี่ยเทียนได้เลยแม้แต่น้อย ในสายตาของแดร็กคูล่า เยี่ยเทียนก็เป็นเช่นเดียวกับผู้รับรองธรรมดาภายในห้องประชุมเหล่านั้น เป็นแค่คนปกติ
นี่ยิ่งทำให้แดร็กคูล่ารู้สึกสับสนอย่างยิ่ง ต้องเข้าใจก่อนว่า ต่อให้เยี่ยเทียนไม่ได้ก่อกำเนิดพลังวิเศษ แต่ผลลัพธ์จากการสังหารแอนโทนี มาร์คัส ภายในร่างของเขาควรจะมีเลือดลมพุ่งพล่าน ทว่าเวลานี้สิ่งที่สำแดงออกมาจากภายในร่างเยี่ยเทียน ราวกับเป็นน้ำนิ่งในสระ สัมผัสถึงระลอกคลื่นไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว
หลังจากได้ยินข้อสงสัยของแดร็กคูล่าแล้ว ร่างสูงกำยำของรูดอล์ฟยังอดสั่นสะท้านขึ้นมาไม่ได้ รีบพูดว่า
“นายท่าน ผมยังไม่กล้าแหย่เขาเลยครับ คุณก็เคยเห็นวิดีโอบันทึกการแข่งมวยใต้ดินนั่นของเยี่ยเทียนแล้วนี่!”
หากคำพูดตอนนี้ของรูดอล์ฟถูกคนนอกได้ยินเข้า จะต้องตกตะลึงกันยกใหญ่เป็นแน่ รูดอล์ฟผู้มีอำนาจขนาดเรียกฟ้าเรียกฝนในวงการมวยใต้ดินลาสเวกัสและอเมริกาเหนือ กลับเป็นข้ารับใช้ให้บุคคลคนเดียวเท่านั้น เวลารูดอล์ฟยืนอยู่ต่อหน้าแดร็กคูล่า เพื่อแสดงถึงการเทิดทูนบูชา ยังแทบจะหมอบราบพื้นเลียแข้งเลียขาอีกฝ่าย
“คนคนนี้ ขนาดฉันยังดูไม่ออก แต่ก็ไม่ควรยั่วยุ ภายหลังแกอย่าไปยั่วเขาดีกว่า!”
หลังจากมองเยี่ยเทียนอยู่เนิ่นนาน แดร็กคูล่าหลุบตาลง ไม่สบตากับเยี่ยเทียนอีก ในฐานะเคานท์แวมไพร์ ที่สามารถใช้ชีวิตอยู่มานานถึงขนาดนี้ ไม่ได้อาศัยเพียงพละกำลังอันแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องอาศัยความสามารถในการดูสถานการณ์ด้วย ไม่อย่างนั้นแดร็กคูล่าคงจะถึงแก่ความตายตั้งแต่สงครามครูเสดเมื่อหลายร้อยปีก่อนแล้ว
ถึงแม้จะสัมผัสถึงคลื่นพลังจากเยี่ยเทียนไม่ได้ แต่สัญชาติญาณที่อยู่มาเกือบพันปีบอกแดร็กคูล่าว่า เจ้าเด็กหนุ่มคนนี้ต้องเป็นบุคคลอันตรายแน่ บางครั้งสิ่งที่เห็นด้วยตาก็ไม่จำเป็นต้องจริงแท้เสมอไป
ส่วนเคิร์ทที่ตายไป ก็เป็นเพียงแค่คนรับใช้ของแดร็กคูล่าเท่านั้น ด้วยนิสัยเย็นชาของแวมไพร์ มีหรือจะคิดแค้นผู้แข็งแกร่งเพียงเพื่อคนรับใช้หนึ่งคน? การแลกเปลี่ยนขาดทุนอย่างนั้นแดร็กคูล่าคงไม่ยอมทำ
“ในอดีตเรานี่ช่างกบในกะลาจริงๆ หากเป็นเมื่อสองปีก่อน เราคงไม่อาจเป็นคู่มือของแดร็กคูล่า”
หลังจากหลบสายตาจากแดร็กคูล่า เยี่ยเทียนเองก็ลอบถอนหายใจ หากใช้ระดับของผู้ฝึกวิชาเต๋ากำหนดพลังที่แท้จริงของแดร็กคูล่า เขาควรจะมีวรยุทธ์อยู่ในระดับยอดเซียนเทียน บวกกับพลังฟื้นฟูอันแข็งแกร่งของเหล่าแวมไพร์ เกรงว่าคนที่อยู่ระดับเซียนเทียนขั้นปลายยังไม่อาจเป็นคู่มือของเขาได้
“ตำแหน่งสูงกว่าดยุกก็คือเจ้าชาย ไม่รู้ว่าปัจจุบันในสังคมแวมไพร์ยังมียศเจ้าชายหลงเหลืออยู่หรือเปล่า?”
จากร่างกายของแดร็กคูล่า เยี่ยเทียนรู้ว่าวิทยายุทธ์ระดับใดที่ดยุกอยากประมือด้วย ดังนั้นถ้าหากยังคงมียศเจ้าชายอยู่ น่ากลัวว่าพลังอำนาจของเขาคงจะไม่อ่อนด้อยไปกว่าตน ไม่แน่อาจจะเป็นสัตว์ประหลาดระดับจินตัน ใครเล่าจะรู้ว่าสิ่งมีชีวิตพิสดารจากตะวันตกเหล่านี้ อาจสามารถข้ามขั้นระดับจินตัน แล้วจากนั้นก็ยึดมิตินี้เป็นที่อยู่อาศัย?
หลังจากระแวดระวังพวกแวมไพร์ขึ้นส่วนหนึ่งแล้ว เยี่ยเทียนก็เบือนหน้าหนี แต่ว่ากลับมองไปยังอีกทิศหนึ่ง เขารู้สึกถึงสายตาแหลมคมราวทิ่มแทงผิวหนังด้านหลังศรีษะมานานแล้ว สายตาที่มองมายังตนเองนั้น จะต้องไม่มีเจตนาดีอย่างแน่นอน
“หือ ปะ…เป็นไปได้ยังไง?”
เวลาเดียวกันกับที่เยี่ยเทียนหันหน้าไป รอยยิ้มของเขาก็พลันแข็งทื่อขึ้นมา ดวงตาฉายแววไม่เชื่อสายตานัก ยามก้าวเท้าไปข้างหน้า ยังเผลอหยุดฝีเท้าลง
“ท่านอาจารย์ เป็นอะไรไปครับ?”
โจวเซี่ยวเทียนที่เดินอยู่ข้างกายเยี่ยเทียน มองไปตามสายตาของเยี่ยเทียนแล้วขมวดคิ้วพลางพูดว่า
“ท่านอาจารย์ คนผู้นั้นคงจะเป็นนายทักษิณ สวรรค์ ศักดิ์ สิทธ์ ราชครูแห่งประเทศไทยหรือเปล่าครับ?” ลมปราณจากร่างของคนผู้นี้ก็แค่แข็งแกร่งกว่าผมนิดหน่อยเท่านั้น เกรงว่าคงไม่ต้องถึงท่านตาหรอก เดี๋ยวลูกศิษย์คนนี้จะท้าทายมันเอง!”
ท่านตาที่โจวเซี่ยวเทียนพูดถึงก็คือจั่วเจียจวิ้นนั่นเอง เขาแต่งงานกับหลานสาวอาจารย์ลุงสอง ความอาวุโสจึงลดลงเพียงรุ่นหนึ่ง ซึ่งในปัจจุบัน คนส่วนใหญ่ล้วนไม่ได้นับอาวุโสในสำนักจริงจังเท่าเมื่อก่อนอีกแล้ว หากเป็นในยุคปลดแอก โจวเซี่ยวเทียนแต่งงานกับหลิวติงติง ต้องนับเป็นเรื่องผิดประเพณีร้ายแรงอย่างแน่นอน
ในอดีตจั่วเจียจวิ้นถูกนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ลอบทำร้ายปางตาย ความแค้นนี้สั่งสมมาหลายสิบปี เมื่อพบกันตอนนี้ ในฐานะหลานเขยและหลานศิษย์ของจั่วเจียจวิ้น โจวเซี่ยวเทียนย่อมคิดหาทางแก้แค้นให้ท่านตา
“นายไม่ใช่คู่มือของเขา”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า พูดเน้นย้ำทีละคำ ทว่าสายตากลับไม่หันไปมองทางนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับจ้องเขม็งไปยังคนร่างสูงที่นั่งข้างกายเขา
“เซี่ยวเทียน นายรู้ไหมว่าคนที่นั่งข้างสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์คือใคร?”
“ใครเหรอครับ? เอ๋ อาจารย์ คนนั้นดูประหลาดพิลึก ดูยังกับคนตายเลย”
พอได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว ความสนใจของโจวเซี่ยวเทียนก็จรดลงยังร่างคนนั้น ฉับพลันนึกเฉลียวใจบางอย่าง
“ไม่ผิดแน่ เขาคือคนตาย!”
เยี่ยเทียนที่จิตใจสงบราวสายน้ำตั้งแต่เข้ามาภายในห้อง เวลานี้ภายในยังเผลอสั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อย นั่นเพราะคนไร้พลังชีวิตที่นั่งด้านข้างนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ ก็คือชาญ ทองทวนผู้ถูกเยี่ยเทียนใช้ฝ่ามือสลายอวัยวะภายในเมื่อในอดีตนั่นเอง
ตนเองลงมือหนักแค่ไหน เยี่ยเทียนย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ เขารู้ว่าภายใต้บาดแผลระดับนั้น ต่อให้ชาญทองทวนเป็นยอดฝีมือโยคีระดับร้ายกาจที่สุดของอินเดีย ก็ยังยากจะเอาชีวิตรอด
ดังนั้นชาญ ทองทวนที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าจึงมีคำอธิบายเพียงแค่อย่างเดียว ว่าเขาคือคนที่ตายไปแล้ว แต่กลับถูกนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ใช้วิธีการคุณไสยแปรเปลี่ยนให้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่มนุษย์ไม่อาจอธิบาย เช่นเดียวกับสัตว์ประหลาดร่างคนที่ติดตามนายชาญ ทองทวนเข้าไปยังฮ่องกงเมื่อในอดีต
“คนตาย? ท่านอาจารย์ หรือว่าจะเป็นผีดิบ? ผมดูแล้วไม่เห็นเหมือนเลย!”
โจวเซี่ยวเทียนถูกคำพูดของอาจารย์หลอกให้ตกใจกลัว จนเผลอกระชับกระเป๋าในมือเอาไว้แน่นขึ้น ภายในนั้นใส่กระดิ่งซานชิงเอาไว้ ซึ่งก่อนมาโก่วซินเจียมอบไว้ให้เขาใช้
“จากนี้แกห้ามวู่วาม ถ้าไม่มีคำสั่งจากฉันห้ามลงมือ!”
สีหน้าของเยี่ยเทียนเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมยิ่งขึ้น นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์รู้พลังที่แท้จริงของตนเองแล้ว แต่เขายังกล้ามายังที่นี่ คิดว่าคงมีวิธีรับมือ จากร่างไร้ซึ่งพลังชีวิตของชาญ ทองทวน กระทั่งเยี่ยเทียนยังสัมผัสได้ถึงแรงข่มขวัญ
เคลื่อนย้ายสายตามองไปยังคู่ดวงตาราวอสรพิษของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ แล้วเยี่ยเทียนก็ยิ้มเย็นขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นค่อยสาวเท้ายาวเดินไปข้างหน้า เขาเชื่อมั่นว่าต่อให้นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์หมอผียุคใหม่จะเก่งกาจสักเท่าไหร่ ก็ไม่อาจต้านทานมีดบินคู่กายไร้พ่ายของเขา
“คืนนี้คงเป็นคืนที่หลับไม่ลงคืนหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะมีคนสักเท่าไหร่ที่ต้องสละชีวิต!”
จากทางเข้าถึงที่นั่งของพวกเยี่ยเทียน ระยะทางสั้นๆ เพียงแค่สามสิบเมตรเท่านั้น แต่ระหว่างทางสามสิบเมตรนี้ นอกจากแดร็กคูล่าและนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ เยี่ยเทียนยังสัมผัสถึงลมปราณอันแข็งแกร่งอีกหลายระลอก
ตรงตำแหน่งห่างจากนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ไม่ไกล มีพระสงฆ์ร่างผอมแห้งสามรูปนั่งอยู่ ผิวหนังของพวกเขาแนบสนิทติดกับร่าง มองดูแวบแรกราวกับโครงกระดูก คล้ายว่าเมื่อลมโชยมาจะพัดพวกเขาปลิวไป แต่ลมปราณภายในร่างพระสงฆ์สามรูปนั้นกลับมีพลังอย่างยิ่ง แตกต่างจากคนที่ใกล้จะลงโลงโดยสิ้นเชิง
“น่าจะเป็นพระสงฆ์อินเดีย พวกเขาสามารถกักพลังปราณไว้ภายในร่างกายได้ทั้งหมด โดยไม่ให้เล็ดรอดออกมาแม้เพียงเศษเสี้ยว ดูแล้วประมาทไม่ได้เลย!”
มองยังเบ้าตาลึกโหลของพระสงฆ์ชราทั้งสามรูปแล้ว ภายในใจของเยี่ยเทียนก็ได้คำตอบ ในฐานะแหล่งกำเนิดศาสนาพุทธ อินเดียจึงยังมีรายละเอียดเชิงลึกอยู่บ้าง หากเทียบกับประเทศจีน นอกจากศาสนาพุทธแบบทิเบต ลัทธิและวัดวาอารามที่เหลืออยู่คู่กับสังคมมาจนปัจจุบัน ก็ไม่ใช่ลัทธิซึ่งเผยแพร่จากพระศากยมุนีในอดีตอีกต่อไป
นอกจากนั้นยังมีอีกบางกลุ่มที่ดึงดูดความสนใจเยี่ยเทียน คนเหล่านี้สวมใส่เสื้อผ้าราวกับอัศวินโบราณ ภายในร่างมีพลังศรัทธากลุ่มหนึ่งไหลเวียน ซึ่งนับว่าค่อนข้างแข็งแกร่งเช่นกัน
แต่ว่าคนเหล่านี้ไม่ได้ใส่ใจในตัวเยี่ยเทียน แต่กลับจดจ้องแดร็กคูล่าที่นั่งอยู่ตรงข้ามพวกเขาอย่างไม่วางตา โดยไม่ปิดบังความเป็นปฏิปักษ์เลยแม้แต่น้อย เยี่ยเทียนเองก็รู้สถานะของคนเหล่านี้ นอกจากคนของวาติกันแล้ว ใครจะจ้องมองคนจากโลกแห่งความมืดอย่างแค้นเคืองเช่นนี้อีก?
“คุณเยี่ยครับ ตรงนี้แหละครับคือที่นั่งของพวกเรา!”
มาถึงยังด้านหน้าของที่นั่ง กู้ต้าจวินก็หยุดฝีเท้า ตำแหน่งที่นั่งของประเทศจีนนี้นับว่าไม่เลว ยกสูงกว่าพื้นที่ตรงกลางขึ้นกว่าหนึ่งเมตร ล้อมรอบด้วยโซฟารูปวงกลม ราวกับห้องส่วนตัวที่แยกออกมา หลังจากนั่งลง นอกจากแสตนด์ที่นั่งตรงข้าม สายตาที่ล้อมรอบก็ถูกกันออกไปทันใด
“เหล่ากู้ งานประชุมวันนี้ มีกฎอะไรบ้างหรือครับ?”
เยี่ยเทียนมองไปยังกู้ต้าจวิน เมื่อมาถึงที่นี่เขาจึงพบว่า ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติจากต่างแดนเหล่านี้ไม่ได้อ่อนแอขนาดที่เขาจินตนาการเอาไว้ ซึ่งกลับยิ่งทำให้เยี่ยเทียนออกจะใจจดใจจ่อ อยากเห็นว่ายอดฝีมือจากต่างแดนเหล่านี้ จะแสดงวิชาแบบไหนกันบ้าง
“คุณเยี่ยครับ กฎข้อแรกของงานประชุม แต่ละประเทศต้องแสดงความสามารถของตัวเอง”
กู้ต้าจวินยกกระดาษถ่ายเอกสารในมือขึ้น กล่าวว่า
“หลังจากแนะนำตัวเสร็จแล้ว จะเป็นเวลาพูดคุยกันอย่างอิสระ ทุกคนสามารถแลกเปลี่ยนมุมมองสู่กันและกัน และสามารถลงแข่งขันในลานประลองหลังลงชื่อในข้อตกลงเสร็จสิ้น เป็นตายไม่เกี่ยง!”
พูดถึงตรงนี้ ใบหน้าของกู้ต้าจวิ้นก็ฉายแววผิดปกติ หลังจากเข้ามาในงานแล้ว สายตาจากที่นั่งบนอัฒจันทร์ซึ่งพุ่งตรงมายังพวกเขา ราวกับสัตว์ป่ากระหายเลือด ทิ่มแทงผิวหนังกู้ต้าจวินจนเจ็บแผ่วๆ
……………………