หมอดูยอดอัจฉริยะ – ตอนที่ 929 ปิดฉาก

อัศวินโต๊ะกลมทั้งสามยืนอยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียนอย่างสงบนิ่ง นอกจากแสงสีขาวที่สว่างวาบขึ้นมาเมื่อครู่แล้ว ก็ดูเหมือนจะไม่ได้เกิดอะไรขึ้นเลย

แต่หลังจากผ่านไปหลายวินาที คนทั้งหลายในที่ประชุมกลับเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากล เพราะที่ลำคอของอัศวินทั้งสองนายที่ยืนขนาบข้างเรธเวทอยู่นั้น พลันมีโลหิตพุ่งกระฉูดออกมาเป็นสาย ขณะที่ชุดเกราะสีขาวบนร่างของทั้งสองถูกย้อมเป็นสีแดง ร่างทั้งร่างก็ล้มคะมำไปข้างหน้า เพียงไม่นานโลหิตก็ไหลบ่าท่วมพื้นราวกับสายน้ำสองสาย

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ พวกเขาตายได้ยังไงกัน?”

คำถามนี้ผุดขึ้นมาในใจของทุกคน สายตาทั้งหมดมองไปยังเรธเวทซึ่งยังคงยืนประจันหน้ากับเยี่ยเทียนอยู่

แต่ในขณะที่คนทั้งหลายยังไม่ทันได้มองดูอย่างละเอียด โลหิตก็สาดกระเซ็นไปทั่วสนามประลองราวกับสายฝน ร่างของเรธเวทพลันระเบิดออกมา โดยที่ร่างนั้นแยกออกเป็นสองซีก อวัยวะภายในสีสดไหลออกมากองเต็มพื้น เป็นภาพที่คาวเลือดอย่างยิ่ง

ส่วนดาบศักดิ์สิทธิ์ในมือของเรธเวทนั้นก็หักสะบั้นไปแล้ว ชุดเกราะศักดิ์สิทธิ์ก็ถูกผ่าออกจากกันเป็นสองซีกเช่นเดียวกับร่างของเขา ขณะเดียวกันกับที่ร่างกายระเบิดออกมา เสียงโลหะกระทบกันก็ดังกังวานขึ้น เป็นเสียงของชุดเกราะที่ตกลงบนพื้นตามร่างไปนั่นเอง

“พระเจ้าช่วย ม…มันฆ่าผู้พิพากษาเรธเวทตายไปแล้วหรือนี่?”

“พระผู้เป็นเจ้า นี่ท่านละทิ้งบุตรของพระองค์ไปแล้วหรืออย่างไร?”

“เป็นไปไม่ได้ เรธเวทมีของศักดิ์สิทธิ์ที่ตกทอดมาจากพระองค์อยู่ แล้วเขาจะถูกฆ่าตายได้อย่างไรกัน?”

หลังจากที่ร่างของเรธเวทระเบิดออกมา ในที่ประชุมก็มีสภาพราวกับถูกระเบิดลง เกิดความโกลาหลขึ้นมาในชั่วพริบตา ในบรรดาคนเหล่านี้ มีผู้ที่ศรัทธาในพระเยซูคริสต์อยู่เป็นจำนวนมาก ถึงอย่างไรศาสนาคริสต์ก็เป็นศาสนาที่มีสาวกมากที่สุดในโลก

แต่เรธเวทผู้มีตำแหน่งเป็นรองเพียงพระสันตะปาปาแห่งสำนักวาติกันนั้น กลับถูกเยี่ยเทียนสังหารอย่างง่ายดายราวกับเชือดไก่เชือดสุนัข และยังเป็นเหตุการณ์ที่คาวเลือดและโหดเหี้ยมอย่างยิ่ง ในชั่วขณะนั้น บรรดาสาวกผู้ศรัทธาในพระเยซูเหล่านี้จึงเริ่มเกิดความกังขาในความเชื่อของตนขึ้นมาเป็นครั้งแรก

“น…นี่มันวิชาอะไรกัน?”

แดร็กคูล่าที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์ก็ลุกพรวดขึ้นมาเช่นกัน ขณะที่เยี่ยเทียนปล่อยมีดบินออกมานั้น แม้แต่วิญญาณของแดร็กคูล่ายังรู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมาวูบหนึ่ง จนเกือบจะไปปลุกสายเลือดแวมไพร์ในร่างกายของเขา และแปลงร่างขึ้นมาในที่ประชุมแล้ว

แม้แต่สิ่งมีชีวิตจากโลกมืดอย่างแดร็กคูล่าก็ยังมองเห็นวิถีโคจรของมีดบินได้ไม่ชัดเจน ดังนั้นแม้ว่ายามนี้ศัตรูเก่าแก่ที่กวนใจเขามาเป็นพันปีจะกลายเป็นศพอยู่บนสนามประลองแล้ว แต่ในใจแดร็กคูล่าก็ไม่ได้รู้สึกยินดีเลยสักนิด ทว่ากลับรู้สึกพรั่นพรึงอยู่ไม่หาย

“ยังมีใครอยากจะมาวัดพลังกับผู้แซ่เยี่ยอีกไหม?”

ขณะที่ฝูงชนในที่ประชุมกำลังตกอยู่ท่ามกลางความตื่นตระหนก เสียงของเยี่ยเทียนก็พูดขึ้นมา เคราะห์ดีที่เจ้าหน้าที่ล่ามแปลภาษาเหล่านั้นไม่ได้เห็นภาพในสนามประลองด้วย ไม่อย่างนั้นละก็ พวกเขาคงจะแตกตื่นจนแปลคำพูดของเยี่ยเทียนออกมาได้ไม่เป็นประโยคแน่ๆ

เยี่ยเทียนไม่ได้พูดเสียงดังเลย แต่กลับทำให้ที่ประชุมอันอึกทึกนั้นเงียบกริบไปทันทีราวกับมีเวทมนตร์บางอย่าง บรรดาผู้คนที่กำลังปลดปล่อยความตื่นตระหนกในใจออกมาด้วยวิธีการกรีดร้องนั้น ต่างหยุดชะงักไปทันทีราวกับไก่โต้งที่ถูกบีบคอไว้

ในชั่วขณะนั้น ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าเปล่งเสียงออกมา เพราะกลัวว่าจะเป็นการยั่วโทสะของปีศาจในร่างมนุษย์ที่อยู่บนลานประลองนั้นเข้า และชักนำภัยพิบัติมาสู่ตน ในใจของคนเหล่านี้ เยี่ยเทียนสามารถเทียบชั้นได้กับวายร้ายใหญ่ๆ ในตำนานเทพปกรณัมของทางตะวันตกอย่างซาตานและคาอินเลยทีเดียว

เยี่ยเทียนยังไม่หยุดการท้าทาย เขาหยิบหนังสือเล่มนั้นออกมาจากในอกเสื้อ แล้วพูดเสียงดังขึ้นกว่าเดิม

“พวกคุณไม่สงสัยกันเลยหรือ ว่าผมได้ใช้หนังสือเล่มนี้ฆ่าพวกเรธเวทไปรึเปล่า?”

ในจีนมีคำกล่าวโบราณว่า ฆ่าหนึ่งคนคือฆาตกร ฆ่าร้อยคนคือผู้กล้า ถ้ากวาดล้างได้เก้าหมื่นสิบหมื่น นั่นยิ่งนับเป็นผู้กล้าในหมู่ผู้กล้า ในวัยเด็กเยี่ยเทียนได้รับอิทธิพลจากอาจารย์หลี่ซั่นหยวนมามาก จึงมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อชาวต่างชาติทั้งหมด ถ้าจะต้องก่อการประหัตประหารขึ้นที่สวิตเซอร์แลนด์นี่ เขาก็ไม่ได้รู้สึกลำบากใจอะไร

แต่ยามนี้สายตาของทุกคนในที่ประชุมที่มองมายังหนังสือเล่มนั้น กลับไม่มีความโลภหลงเหลืออยู่อีกเลย แต่มีความหวาดกลัวมาแทนที่ และเป็นความหวาดกลัวชนิดที่ออกมาจากใจจริงๆ หนังสือเล่มนี้เป็นสิ่งที่นำมาซึ่งความตายและความพรั่นพรึงอันไร้ที่สิ้นสุด ซึ่งก็เหมือนกับตัวเยี่ยเทียนเอง

“ค…คุณฆ่าหัวหน้าอัศวินไปแล้ว?”

ในตำแหน่งที่นั่งของประเทศอังกฤษมีคนผู้หนึ่งลุกขึ้นมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ จนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาถึงเพิ่งจะได้สติขึ้นมา กองซากศพเละเทะที่แยกเป็นสองกองบนลานประลองนั้น ก็คือหัวหน้าอัศวินที่มีชีวิตอยู่มานับพันปีแล้วผู้นั้นน่ะหรือ?

หลังจากที่คนผู้นั้นเปล่งเสียงอุทานออกมาแล้ว ก็รีบหยิบโทรศัพท์มือถือมาต่อสายทันที โดยไม่สนใจแล้วว่าตนกำลังอยู่ในสถานการณ์เช่นใด ไม่ใช่ว่าเขาเป็นปาปารัสซีที่กำลังจะทำข่าวใหญ่ ผู้ที่รับโทรศัพท์สายนั้นก็คือองค์ราชินีสมัยปัจจุบันนั่นเอง

เมื่อเห็นการกระทำของคนผู้นั้น ในที่ประชุมก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นไปทั่ว คนเหล่านี้ต่างก็เป็นเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองที่ประเทศต่างๆ ส่งมาเพื่อศึกษาดูงานประชุมใหญ่ครั้งนี้ ที่จริงแล้วถึงจะไม่ต่อโทรศัพท์ออกไป เครื่องจับภาพแบบเรียลไทม์ที่อยู่ในที่ประชุมนั้นก็จะถ่ายทอดเหตุการณ์จริงทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่นั่นไปถึงประเทศต่างๆ อยู่ดี

กู้ต้าจวินซึ่งนั่งอยู่ที่ตำแหน่งของประเทศจีนก็กำลังคุยโทรศัพท์อยู่เช่นกัน แน่นอนว่า เทียบกับคนที่กำลังรายงานข่าวร้ายเหล่านั้นแล้ว สำหรับเขากลับเป็นข่าวดีอย่างไม่ต้องสงสัย น้ำเสียงก็ดังกังวานเป็นพิเศษ เมื่อเยี่ยเทียนสามารถสยบคู่ต่อสู้ในงานประชุมครั้งนี้ได้ทุกคำท้า กู้ต้าจวินเองก็พลอยรู้สึกภาคภูมิไปด้วย

“หวังว่าคราวนี้พอกลับไปแล้ว ตาแก่พวกนั้นจะไม่หาเรื่องมากวนเราอีกแล้วนะ!”

เยี่ยเทียนส่ายหน้า เดินกลับไปยังที่นั่งท่ามกลางที่ประชุมอันวุ่นวาย แต่ไหนแต่ไรมาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศก็ไม่ใช่เรื่องของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติอย่างที่คนนอกกล่าวกันเลย หากต้องการให้ผู้อื่นเคารพยำเกรง ก็มักจะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของเหตุการณ์นองเลือดทั้งนั้น

เยี่ยเทียนเองก็อยากให้มาตุภูมิของตนเป็นประเทศที่แข็งแกร่งเช่นกัน จึงได้ตอบตกลงมาร่วมงานประชุมครั้งนี้ เขาตัดสินใจไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะมาเพื่อประกาศศักดาและข่มขู่

เพียงแต่ว่า ตอนที่ใช้คัมภีร์เป็นตายสังหารนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์นั้น แม้สถานการณ์จะแปลกพิสดาร แต่ก็ไม่ได้แสดงพลังอันแข็งแกร่งของเขาออกมา พวกเรธเวทที่กำลังถูกความโลภครอบงำจิตใจนั้นมาตกเป็นเหยื่อเข้าพอดี จึงได้เกิดเหตุการณ์อันสยดสยองคาวเลือดเช่นนี้ขึ้น

“อ…อาจารย์ นั่นคือมีดบินคู่กายของอาจารย์หรือครับ?”

หลังจากเยี่ยเทียนกลับไปถึงที่นั่งแล้ว แม้แต่โจวเซี่ยวเทียนก็ยังอดรู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาไม่ได้ เนื่องจากแรงอาฆาตที่ก่อตัวขึ้นจากการสังหารพวกเรธเวทนั้นรุนแรงมาก ขนาดเยี่ยเทียนท่องคาถารอดพ้นในใจแล้ว ก็ยังไม่อาจสลายแรงอาฆาตนั้นไปได้เลย กระแสพลังพิฆาตบนร่างของเยี่ยเทียนจึงทำให้คนอื่นๆ ที่นั่งอยู่บริเวณนั้นต่างรู้สึกราวกับตกลงไปในโพรงน้ำแข็ง

“อืม ไว้พอแกเข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว ฉันจะหาวัตถุดิบมาหลอมมีดให้แกเล่มหนึ่งนะ!”

เยี่ยเทียนมองลูกศิษย์แวบหนึ่ง แล้วพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์

“ฟ้าดินไร้ลำเอียง ทุกชีวิตเฉกเช่นสุนัขฟาง มีเกิดแล้วก็ต้องมีตาย แกจะกลัวอะไรของแกหา?”

แม้จะเพิ่งสังหารผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแห่งสำนักวาติกันและหัวหน้าอัศวินแห่งอังกฤษไป แต่ไม่ได้ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกสะทกสะท้อนใจใดๆ เลย และเขาก็ไม่กลัวว่าสำนักวาติกันจะมาแก้แค้นด้วย ในทวีปยุโรปนั้นพวกแวมไพร์และสำนักวาติกันต่อสู้ขับเคี่ยวกันมาตั้งนานแล้ว แต่เห็นแดร็กคูล่าก็ยังอยู่ดีๆ อยู่เลย ถ้าฝ่ายนั้นจะมาล่วงเกินเยี่ยเทียนจริงๆ เขาก็ไม่ลังเลที่จะบุกสังหารเข้าไปในวาติกันเช่นกัน

“อาจารย์ พูดจริงหรือครับ?”

หลังจากได้ยินเยี่ยเทียนพูดอย่างนั้น โจวเซี่ยวเทียนก็ตาลุกวาวขึ้นมา เห็นได้ชัดว่า การที่เยี่ยเทียนบอกว่าจะหลอมมีดบินให้นั้น ได้สร้างแรงจูงใจให้แก่เขาอย่างใหญ่หลวง

“ไว้แกไปถึงระดับเซียนเทียนก่อนค่อยว่ากัน”

เยี่ยเทียนพยักหน้า ช่วงนี้ที่เขากำลังรวบรวมทองคำอยู่ ก็เพื่อเตรียมการที่จะถลุงทองคำบริสุทธิ์มาช่วยหลอมมีดบินให้พวกศิษย์พี่นั่นเอง แต่ปริมาณทองคำที่จำเป็นต้องใช้นั้นมากมายมหาศาลเหลือเกิน แม้แต่ทรัพย์สมบัติมูลค่าหลายพันล้านเหรียญสหรัฐของเยี่ยเทียน ก็ยังเกรงว่าจะใช้ถลุงทองคำออกมาพอให้หลอมมีดบินได้เพียงสองเล่มเท่านั้น

“ก…การประลองเมื่อครู่นี้ คุณเยี่ยจากประเทศจีนเป็นผู้ชนะ ก…การประชุมจะดำเนินต่อไป ณ บัดนี้ ย…ยังมีท่านไหนที่ต้องการจะขึ้นเวทีอีกไหมครับ?”

ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังสนทนากับลูกศิษย์อยู่บนอัฒจันทร์ เสียงของแฟรงก์ก็ประกาศขึ้นมาจากข้างล่าง ที่มุมปากของเขายังมีเศษหูฉลามที่กินไปตอนมื้อค่ำติดอยู่เลย เพราะเมื่อครู่พอเห็นสภาพการตายอย่างอนาถของเรธเวทแล้ว เขาก็อาเจียนอาหารมื้อค่ำอันหรูหราที่กินลงท้องไปออกมาจนหมดเกลี้ยง

หลังจากเสียงของพิธีกรประกาศขึ้น ทั่วทั้งที่ประชุมก็กลับเงียบไปทันที สายตาของทุกคนมองไปยังตำแหน่งที่นั่งของประเทศจีน ไม่มีใครกล้าตอบคำถามของแฟรงก์เลยสักคน เหตุการณ์จริงอันนองเลือดนั้นได้ทำลายความมั่นใจของพวกเขาไปจนหมดสิ้นแล้ว

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงกว่าๆ ก็ยังไม่มีใครลงไปที่สนามประลองเลย งานประชุมผู้มีพลังพิเศษครั้งนี้จึงปิดฉากลงอย่างอึมครึม

แต่ในใจของผู้เข้าร่วมประชุมทุกคน กลับมีเงาร่างของปีศาจปรากฏขึ้นมาหนึ่งเงา ในตลอดชีวิตอันยาวนานที่เหลือต่อจากนี้ไป พวกเขาก็จะไม่อาจลืมสิ่งที่ได้เห็นในวันนี้ไปได้ เหล่าผู้มีพลังพิเศษที่กองทัพต่างๆ ส่งมานั้น ก็ไม่อาจจะทำงานในกองทัพต่อไปได้อีก เพราะเยี่ยเทียนได้กลายเป็นฝันร้ายที่พวกเขาไม่มีวันจะลบเลือนไปได้เลยชั่วชีวิต

“ในที่สุดก็กลับได้เสียที เก็บข้าวของ พรุ่งนี้กลับฮ่องกงกัน ศิษย์พี่หนานกำลังจะไปถึงระดับเซียนเทียนแล้วละ!”

 ระหว่างทางกลับสถานทูต เยี่ยเทียนได้รับโทรศัพท์จากโก่วซินเจียว่า หนานไหวจิ่นซึ่งติดอยู่ที่ระดับโฮ่วเทียนขั้นสูงสุดมาหลายสิบปีนั้น ในที่สุดก็เลื่อนขั้นได้แล้ว

หลังจากกลับไปถึงสถานทูต เยี่ยเทียนก็ลืมเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไปจนหมดสิ้น สำหรับเขาซึ่งเคยฆ่าคนญี่ปุ่นเกือบร้อยคนที่พม่ามาแล้วนั้น งานประชุมผู้มีพลังพิเศษครั้งนี้ก็เป็นแค่ตลกคาเฟ่ฉากหนึ่งเท่านั้นเอง เขาทำหน้าที่ของตัวเองไปแล้ว เรื่องการแสวงหาผลประโยชน์ต่อจากนั้น ก็เป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป

เยี่ยเทียนไม่ได้กังวลในเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องนี้จะสงบลงไป หลังจากงานประชุมผู้มีพลังพิเศษยุติลงอย่างเงียบๆ ทั่วโลกก็เกิดความปั่นป่วนโกลาหลที่คนทั่วไปไม่ได้รับรู้ขึ้นมาระลอกหนึ่ง

ฝ่ายที่มีปฏิกิริยาขึ้นมาก่อนคือรัฐบาลญี่ปุ่น กองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลของญี่ปุ่นเข้าสู่สถานการณ์ฉุกเฉินระดับหนึ่ง จากนั้นทางรัฐบาลอังกฤษก็มีคำสั่งลับให้กองทัพราชนาวีเตรียมการพร้อมรับศึกเช่นกัน ส่วนกองเรือบรรทุกอากาศยานของสหรัฐที่ประจำการอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ก็มีประกาศให้กองกำลังแนวร่วมสหรัฐ ญี่ปุนและเกาหลีดำเนินการซ้อมรบ

เห็นได้ชัดว่า ความแข็งแกร่งของเยี่ยเทียนได้ไปจี้ต่อมประสาทอันอ่อนไหวของบางประเทศเข้า คนเหล่านั้นได้ลืมความตั้งใจในตอนแรกเริ่มไปแล้ว ซึ่งนั่นก็คือการใช้กำลังในการสู้รบระดับบุคคลขั้นสูง เป็นตัวกำหนดอำนาจและอิทธิพลของแต่ละประเทศขึ้นใหม่ บัดนี้พวกเขากลับพยายามใช้พลังอำนาจของประเทศในทุกๆ ด้านมาปกปิดความหวาดกลัวที่มีต่อเยี่ยเทียน

ตั้งแต่สงครามเย็นระหว่างสหรัฐและโซเวียตเป็นต้นมา นี่เป็นครั้งแรกที่สถานการณ์ทั่วโลกตึงเครียดขึ้นมาถึงเพียงนี้ และทั้งหมดนี้ก็มีต้นเหตุมาจากเยี่ยเทียนเพียงคนเดียว ขณะเดียวกับที่คนเหล่านั้นกำลังวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของเยี่ยเทียนผ่านภาพที่บันทึกไว้อย่างทุ่มเท ทวีปเอเชียก็ถูกปกคลุมไปด้วยเงาของสงคราม

แต่เพียงไม่นานสถานการณ์ก็ได้รับการคลี่คลาย หลังจากที่แต่ละประเทศเริ่มดำเนินการจัดกำลังพลไปได้ไม่กี่ชั่วโมง พวกเขาก็กลับยกเลิกคำสั่งเตรียมออกรบไปอย่างกะทันหัน

ตามข้อมูลที่เปิดเผยจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงในกองทัพของบางประเทศ การตัดสินใจนี้มีสาเหตุมาจากสาสน์ฉบับหนึ่งที่ส่งมาจากประเทศจีน ซึ่งมีเนื้อความว่า ทางจีนจะมีการดำเนินการส่งเยี่ยเทียนไปเยี่ยมเยือนประเทศต่างๆ อย่างไม่เป็นทางการ

………………………………

หมอดูยอดอัจฉริยะ

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ในยุคสมัยหลังการปฏิวัติวัฒนธรรมครั้งใหญ่ ประเทศจีนเริ่มพัฒนาสู่ความทันสมัย ผู้คนต่างหันไปพึ่งวิทยาการตะวันตก ถ้าใครแสดงออกว่าสนใจเกี่ยวกับ “ศักดินางมงาย” อาจมีตำรวจมาเยี่ยมถึงบ้าน เยี่ยเทียน เด็กชายจากหมู่บ้านชาวนาผู้มีชะตาไม่ธรรมดา มีโอกาสได้รับการถ่ายทอดศาสตร์โบราณที่ถูกตีตราว่าล้าหลังและงมงาย เสี่ยงทาย ฮวงจุ้ย คำนวณชะตา โหงวเฮ้ง ทำนายฝัน ดูฤกษ์… เขาจะใช้ทักษะเหล่านี้ (และอื่นๆ) อย่างไรในยุคสมัยเช่นนี้?

Options

not work with dark mode
Reset