“แม่ผม?”
เมื่อได้ยินเยี่ยตงผิงเปล่งคำนั้นออกมาจากปาก เยี่ยเทียนก็ตะลึงจังงัง จิตสังหารตลอดร่างอันตรธานไปหมดทันที ตั้งแต่โตมาจนป่านนี้ พ่อก็เพิ่งจะเคยเอ่ยถึงเรื่องแม่กับเขาเป็นครั้งแรกนี่แหละ
เยี่ยเทียนยื่นมือออกไปแตะหน้าผากพ่อ แล้วถามว่า “พ่อ นี่พ่อ…ดื่มเหล้าเยอะไป จนหัวมึนคิดถึงแม่ผมขึ้นมารึเปล่าเนี่ย?”
ในความคิดของเยี่ยเทียน พ่อของเขาเป็นคนที่ยึดมั่นในความรักอย่างลึกซึ้ง ทั้งที่มีชีวิตอยู่ตามลำพังมาตั้งหลายปีแล้ว แต่เยี่ยเทียนก็ยังไม่เคยเห็นพ่อมีความคิดที่จะหาแม่ใหม่ให้เขาเลย มีแต่เฝ้ารอผู้หญิงคนนั้นอย่างเงียบๆ มาตลอด
ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าพ่อมีความสามารถมากแค่ไหน ลำพังเฉพาะประเด็นนี้ ก็ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกยกย่องนับถือบิดาอย่างสุดใจแล้ว จะว่าไปแล้วในสังคมปัจจุบันนี้ ไม่ว่าใครๆ พอมีเงินเข้าหน่อยก็ต้องไปหาอีหนูมาเลี้ยงกันทั้งนั้น ความแน่วแน่มั่นคงของเยี่ยตงผิงนั้น ทำให้คุณธรรมประจำใจของบิดาได้เป็นที่ประจักษ์แก่เยี่ยเทียนแล้ว
เยี่ยตงผิงปัดมือของลูกชายออก แล้วตอบอย่างขุ่นเคือง “ไปไกลๆ เลยไป พ่อแกดื่มเหล้าแค่นี้เองจะนับเป็นอะไรได้ แกอยากจะฟังเรื่องเกี่ยวกับแม่แกไหมหา?”
“พ่อ นี่พูดจริงหรือครับ?” เยี่ยเทียนได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งไป พยายามปกปิดรอยยิ้มกรุ้มกริ่มของตัวเอง พลางมองไปที่บิดาอย่างจริงจังเต็มที่
“ก็ต้องจริงน่ะสิ เมื่อสองปีก่อนแม่แแกมาเจอกับพ่อแล้ว ก็คือช่วงที่แกขึ้นไปอยู่บนเขาเป็นเพื่อนอาจารย์นั่นแหละ…”
ที่แท้ ตอนที่เยี่ยตงผิงกลับไปที่ปักกิ่งเมื่อสองปีก่อน จู่ๆ เขาก็ได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง ซึ่งทำให้เยี่ยตงผิงในขณะนั้นตะลึงอึ้งไปเลย เพราะลายมือบนซองจดหมายนั้น เป็นลายมือที่เขาไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต
ในจดหมายที่เขียนไว้เต็มกระดาษสิบกว่าหน้านี้ ซ่งเวยหลันได้เล่าประสบการณ์ที่เธอต้องบากบั่นอยู่ต่างประเทศตลอดสิบกว่าปีมานี้ และเปิดเผยว่า เธอเฝ้าติดตามดูชีวิตของเยี่ยเทียนกับพ่อมาตลอด ความรักและคิดถึงที่เธอมีต่อลูกชายนั้นเอ่อล้นออกมาเป็นถ้อยคำในจดหมาย
ตอนท้ายของจดหมาย ซ่งเวยหลันบอกเยี่ยตงผิงว่า เธอครองสถานะเป็นโสดมาตลอด และเยี่ยตงผิงก็เป็นสามีเพียงคนเดียวของเธอ เพื่อที่จะได้มาอยู่พร้อมหน้ากับพวกเขาสองพ่อลูก ซ่งเวยหลันเองก็กำลังดำเนินการตระเตรียมอยู่
ในสองปีที่ผ่านมานี้ เยี่ยตงผิงยังใช้ช่องทางเร้นลับบางอย่างเพืื่อรับการติดต่อจากภรรยาอีกหลายครั้ง จึงรู้ว่าเธอเริ่มย้ายศูนย์กลางธุรกิจมาไว้ในประเทศแล้ว เพื่อให้เยี่ยเทียนสามารถรับสืบทอดอาณาจักรธุรกิจอันยิ่งใหญ่นั้นในอนาคตได้ ที่ผ่านมาเธอจึงได้ทุ่มเทความพยายามลงไปมาก
หลังจากเล่าเรื่องเหล่านี้ให้เยี่ยเทียนฟังจนจบ เยี่ยตงผิงก็ถอนหายใจ “แม่แกน่ะทั้งเก่งกาจ ทั้งชอบเอาชนะ แล้วก็รักแกเอามากๆ ด้วย ไม่ยอมให้แกต้องรับความลำบากในอนาคตเลยแม้แต่นิดเดียว!”
“พ่อ แม่คอยเฝ้าดูเรามาตลอดเลยหรือครับ?” พอฟังพ่อเล่าจบ เยี่ยเทียนก็นิ่งอึ้งไป
เขาไม่นึกเลยว่า มารดาที่ตนครุ่นคิดถึงมาสิบกว่าปีนั้น จะคอยเฝ้าดูการเติบโตของเขามาโดยตลอด เรื่องนี้ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกอัดอั้นตันใจขึ้นมาว่า อุปสรรคอะไรกันแน่ ที่ทำให้แม่ลูกไม่อาจได้พบกัน สามีภรรยาไม่อาจได้อยู่ร่วม?
เยี่ยตงผิงพยักหน้าแล้วตอบว่า “ใช่แล้ว เพราะฉะนั้นเวลาแกจะทำอะไรก็อย่าวู่วาม อย่าให้กระทบไปถึงการงานของแม่แกเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นแม่เขาต้องตกเป็นเป้าโจมตีแน่…”
เยี่ยตงผิงก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ของภรรยาอยู่เหมือนกัน เขารู้ว่า ซ่งเวยหลันมีทรัพย์สินอยู่ในครอบครองอยู่มากมายมหาศาล ดังนั้นการตัดสินใจแต่ละอย่างของเธอจึงกลายเป็นที่จับตาของผู้คนมากมาย
ภาษิตว่า ทรัพย์สินสั่นคลอนใจคนได้ โดยเฉพาะในครอบครัวตระกูลใหญ่ๆ มักจะมีเหตุพ่อลูกบาดหมางกัน รึไม่ก็พี่น้องกลายเป็นคู่แค้นเกิดขึ้นอยู่ถมเถไป ถ้าเรื่องที่ซ่งเวยหลันมีลูกชายเผยแพร่ออกไป ผ่านไปไม่นานอาจจะมีข่าวการตายของเยี่ยเทียนเกิดขึ้นมาก็เป็นได้
เพื่อความปลอดภัยของลูกชาย เยี่ยตงผิงจึงเห็นด้วยกับความคิดของภรรยาอย่างยิ่ง ว่าควรจะรอให้สถานการณ์มีความมั่นคงก่อน แล้วถึงจะให้เยี่ยเทียนปรากฏตัวได้ เยี่ยตงผิงถึงได้บอกให้ลูกชายใจเย็นๆ ไว้ อย่าเปิดเผยสถานะของตัวเองเร็วเกินไป
“ยุ่งเพราะเรื่องเงินอีกแล้ว…”
เมื่อได้ฟังพ่ออธิบาย เยี่ยเทียนก็ชักจะซึมเซาลงไป แล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “พ่อ ถ้าแม่ยอมตัดใจละทิ้งเงินพวกนั้นไปได้ แม่ก็จะมาอยู่กับพวกเราได้แล้วใช่ไหมครับ?”
ความใฝ่ฝันอันสูงสุดตั้งแต่เยี่ยเทียนยังเด็กก็คือ การได้อยู่กันพร้อมหน้ากับพ่อแม่ ความปรารถนานี้ต่อให้มีเงินมากมายแค่ไหนก็ซื้อมาไม่ได้ ถึงเยี่ยเทียนจะไม่รู้ว่ามารดามีเงินอยู่เท่าไร แต่เขายอมที่จะไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว แลกกับการให้มารดากลับมาอยู่กับตน
เยี่ยตงผิงหัวเราะอย่างขมขื่น “ตอนนี้ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ว่าแม่แกจะยอมหรือไม่ยอมแล้วล่ะ เพราะมีทรัพย์สินตั้งมากมายปานนั้นอยู่ในครอบครอง แม่เขาก็เลยไม่มีอิสระในหลายๆ เรื่องอยู่เหมือนกัน”
“ก็ได้ครับพ่อ ผมรู้แล้วครับ ผมจะไม่วู่วาม หลังจากเสร็จงานหมั้นกับชิงหย่าแล้ว เราก็กลับปักกิ่งกันเลยนะ!”
เยี่ยเทียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบไป แต่เขาก็ไม่ได้บอกพ่อเรื่องที่เขาทำนายได้ว่าจะมีคนปองร้าย เพราะถึงจะบอกเยี่ยตงผิงไป ก็มีแต่จะเพิ่มเรื่องเครียดให้พ่อไปเปล่าๆ
แต่ในใจเยี่ยเทียนก็มีความระแวงตื่นตัวมากขึ้น ดูท่าคงจะมีใครบางคนรู้เกี่ยวกับตัวตนของเขามานานแล้ว และก็เหมือนจะเริ่มเคลื่อนไหวแล้วด้วย
“จะเป็นใครกันนะ?” เยี่ยเทียนเอนกายพิงพนักเก้าอี้ แล้วหลับตาลงเบาๆ แต่สมองกำลังโลดแล่นอย่างรวดเร็วราวกับคอมพิวเตอร์
“ซ่งอิงหลัน ตอนที่เราถูกคนอื่นพบ จะต้องเป็นตอนที่เกิดเรื่องในสโมสรอิงหลันแน่ๆ!”
เยี่ยเทียนลืมตาโพลงขึ้นมาในฉับพลัน ที่จริงแล้วตั้งแต่เกิดเรื่องที่สโมสรอิงหลันเมื่อครั้งนั้น เยี่ยเทียนก็รู้สึกเหมือนถูกคนจับตาดูอยู่มาเป็นเวลานานได้ระยะหนึ่งแล้ว
แต่เมื่อเขาออกจากปักกิ่ง ความรู้สึกนี้ก็หายไป เยี่ยเทียนจึงไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย แต่ตอนนี้เมื่อลองคิดเชื่อมโยงดูแล้ว เยี่ยเทียนก็ได้คำตอบในทันที
“เป็นคนตระกูลซ่งเหมือนกัน แม่คงจะจัดการกับพวกนั้นไม่ลงหรอกมั้ง?เอาเถอะ…ถ้าจะมาหาเรื่องกับเราจริงๆ ละก็ ไม่แน่นี่อาจเป็นโอกาสที่จะได้ช่วยแม่ขจัดขวากหนามก็ได้นะ!”
หลังจากครุ่นคิดจนกระจ่างแล้ว รอยยิ้มเย็นเยียบก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเยี่ยเทียน อาศัยพลังฝีมือทางศาสตร์พยากรณ์ของเขาในตอนนี้ และความสามารถในการรับมือกับภัยอันตรายแล้ว ขอเพียงฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ยกพลทั้งกองทัพมาล้อมจับเขา เยี่ยเทียนก็มั่นใจว่าตนจะต้องรอดพ้นไปได้โดยปลอดภัยอย่างแน่นอน
……………………
“เยี่ยเทียน ทำไมฉันไม่เห็นเคยรู้มาก่อนเลยล่ะว่านายหล่อขนาดนี้?ไม่ได้การ นายถอดชุดสูทฝรั่งออกซิ แล้วเปลี่ยนเป็นชุดจีนให้ฉันดูหน่อย…”
ชุดจากร้านเสื้อผ้าแนวตะวันตกส่งมาถึงบ้านของอวี๋เฮ่าหรานในตอนเช้าวันมะรืน และขณะนี้อวี๋ชิงหย่าก็กำลังบังคับให้เยี่ยเทียนลองชุดอยู่พอดี ปกติเห็นเยี่ยเทียนนุ่งแต่เสื้อผ้าสบายๆ มาจนชินตา ตอนนี้พอเปลี่ยนมาใส่ชุดที่เป็นทางการ ก็ทำให้เห็นแล้วรู้สึกแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
เดิมทีเยี่ยเทียนก็หน้าตาหล่อเหลาเอาการอยู่แล้ว แต่คนที่ทำอาชีพอย่างเขาไม่ควรจะทำตัวโอ่อ่าเกินไป ดังนั้นเยี่ยเทียนก็เลยต้องสำรวมกิริยาท่าที ปกติจึงดูเป็นคนประเภทที่เห็นแล้วไม่สะดุดตาเลย แต่ก็ไม่ได้ดูน่ารังเกียจอะไร
ภาษิตว่า พระต้องปิดทอง คนต้องนุ่งอาภรณ์ ร้านเสื้อผ้าแนวตะวันตกร้านนี้ถึงจะคิดราคาแพงน่าดู แต่ฝีมือตัดเย็บนั้นถือว่าไม่เลวเลย เมื่อได้สวมใส่ชุดสูทที่ตัดมาพอดีทรง รูปร่างและบุคลิกของเยี่ยเทียนก็ดูโดดเด่นขึ้นมาทันที ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยก็ไม่ปาน
ปกติเยี่ยเทียนไม่พิถีพิถันเรื่องการแต่งกายเลย เคยโดนจู้จี้จุกจิกแบบนี้ที่ไหนกัน?จึงตอบไปอย่างหน้านิ่วคิ้วขมวด “จะเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ต้องถอดออกก่อนน่ะสิ เธอคงไม่มาคอยยืนดูอยู่ข้างๆ หรอกนะ?”
“ใครจะไปดูกันยะ?รีบไปเปลี่ยนเร็วเข้า ฉันอยากเห็นว่าใส่ชุดจีนแล้วจะเป็นแบบไหน!” อวี๋ชิงหย่าทำจมูกย่น ยื่นกำปั้นเล็กๆ ใส่หน้าเยี่ยเทียน แล้วก็ผลุบหายออกไปจากห้อง
“ชุดนี้ไม่เลวเลยนี่นา!” พอเปลี่ยนเป็นชุดสูทคอจีนแล้วส่องกระจกดู เยี่ยเทียนเองก็รู้สึกพึงพอใจมาก ชุดสูทแบบจีนทรงตรงนั้นขับเน้นรูปร่างสูงโปร่งของเขาออกมาได้เป็นอย่างดี เห็นแล้วดูสูงสง่าอย่างยิ่ง
พอเขานุ่งชุดสูทจีนเดินออกมาที่ห้องรับแขก อวี๋เฮ่าหรานและคนอื่นๆ ก็ตะลึงอึ้งกันหมด ไม่นึกเลยว่า พอเยี่ยเทียนเปลี่ยนชุดแล้วจะดูเหมือนกับเปลี่ยนเป็นคนละคนแบบนี้ สุดท้ายจึงลงความเห็นเป็นเอกฉันท์ให้เยี่ยเทียนใส่ชุดสูทแบบจีนไปเข้าพิธีหมั้น
ตระกูลอวี๋แม้จะไม่ได้เป็นตระกูลที่มีอิทธิพลอันดับต้นๆ ของเมืองเซี่ยงไฮ้ แต่ก็เป็นตระกูลผู้ดีที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงมาตั้งแต่สมัยก่อนสถาปนาประเทศแล้ว การหมั้นหมายของลูกสาวตระกูลอวี๋นี้ จึงกลายเป็นข่าวดังขึ้นมาในบางแวดวง
และนี่ก็ทำให้ผู้คนมากมายคาดเดากันใหญ่ว่าฝ่ายชายนั้นเป็นใคร แต่ที่น่าเสียดายคือ ตระกูลอวี๋เชิญแขกเฉพาะในหมู่ญาติมิตรกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น ส่วนบรรดาคู่ค้าธุรกิจและคนรู้จักในวงสังคมกลับไม่ได้เชื้อเชิญมาเลยสักคน
“เยี่ยเทียน นี่ป้าใหญ่ของฉันเอง”
“เยี่ยเทียน นี่คุณปู่รองนะ ท่านเอ็นดูฉันที่สุดเลยละ”
“เยี่ยเทียน นี่อาสามของฉันนะ หยิบของขวัญมาซิ!”
เวลาหกโมงเย็นในวันเทศกาลแห่งความรักนี้ เยี่ยเทียนและอวี๋ชิงหย่าติดตามอวี๋เฮ่าหรานมายืนอยู่ที่หน้าประตูห้องอาหารของสโมสรแห่งหนึ่งซึ่งได้จองไว้แล้ว เพื่อต้อนรับญาติมิตรที่เดินทางมาถึง
แม้จะเชื้อเชิญมาเพียงส่วนน้อย แต่แม้กระนั้นผู้ที่มาร่วมงานก็ยังมีถึงหนึ่งร้อยกว่าคน เคราะห์ดีที่เยี่ยเทียนมีความจำดี จึงสามารถจดจำญาติโกโหติกาทั้งจากฝั่งพ่อและฝั่งแม่ของอวี๋ชิงหย่าได้หมดทุกคน
“ตอนแต่งงานคงต้องจัดที่ปักกิ่งแล้วละ ไม่อย่างนั้นถ้าเจอแบบนี้อีกรอบนึงละก็ ได้ตายจริงๆ แน่คราวนี้…”
เยี่ยเทียนยิ้มจนหน้าค้างไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นว่าทั้งชีวิตจะมีงานนี้อยู่แค่ครั้งเดียว ด้วยนิสัยที่ไม่ชอบการถูกจำกัดของเขา ป่านนี้ก็คงคิดที่จะแอบหนีไปแล้ว
เมื่อถึงเวลาหกโมงครึ่ง แขกเหรื่อก็มากันเกือบครบแล้ว ขณะที่อวี๋เฮ่าหรานกำลังจะพาเยี่ยเทียนกลับไปที่ห้องอาหาร เสียงหนึ่งก็พูดขึ้นมาว่า “ลุงอวี๋ครับ พิธีหมั้นหมายของน้องสาวบ้านอวี๋นี่ กระผมมาโดยไม่ได้รับเชิญ คุณลุงคงไม่ถือสาหรอกนะครับ?”
พร้อมกับเสียงนั้น ชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปีคนหนึ่งเดินมาถึงหน้าประตูด้วยใบหน้ายิ้มระรื่น พร้อมทั้งหอบช่อดอกไม้ใหญ่เท่าครึ่งตัวคนมาด้วย
เมื่อเห็นว่าผู้ที่มาเป็นใคร ถึงในใจอวี๋เฮ่าหรานจะรู้สึกเซ็งสุดขีด แต่ใบหน้าก็ยังคงยิ้มแย้ม กล่าวทักทายว่า “ผมจะไปกล้ารบกวนประธานซ่งให้มางานหมั้นของลูกสาวได้ยังไงกันล่ะครับ มาครับ เชิญนั่งด้านในเลย!”
“ฮ่ะๆ น้องชิงหย่ากับคุณคนนี้ ยินดีด้วย ยินดีด้วยนะครับ!”
ซ่งเสี่ยวเจ๋อวางช่อดอกไม้ไว้ตรงทางเข้าห้องอาหาร รอยยิ้มบนใบหน้านั้นแลดูจริงใจเป็นที่สุด จนดูไม่ออกเลยว่า ช่วงก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน เขายังเพิ่งจะส่งช่อดอกไม้มาจีบอวี๋ชิงหย่าวันละช่ออยู่เลย
“ขอบคุณครับ คุณคือคุณซ่งสินะ?เชิญด้านในเลยครับ…” เยี่ยเทียนเองก็มีใบหน้ายิ้มแย้มเช่นกัน หลังจากจับมือทักทายฝ่ายตรงข้ามแล้ว ก็มีคนมาพาซ่งเสี่ยวเจ๋อไปนั่งตรงที่นั่งด้านใน
“ไม่รู้จักเจียมตัวเลยนะแก ยังจะกล้ามาโผล่หน้าอีกรึ?” เยี่ยเทียนยิ้มแฉ่งยิ่งกว่าเดิมอีก เขากำลังคิดอยู่พอดีเลยว่า ต้องทำอย่างไรถึงจะไปหาคุณชายซ่งคนนี้ได้ ไม่นึกเลยว่าวันนี้ฝ่ายนั้นจะมาหาเองถึงที่
ชั่วขณะที่จับมือกันเมื่อครู่นี้ เยี่ยเทียนดูจากรอยยิ้มของซ่งเสี่ยวเจ๋อแล้วสัมผัสได้ว่ามีจิตสังหารแฝงอยู่ ทำให้ได้รู้ว่าข้อสันนิษฐานของเขาเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ได้ผิดไปเลย ฝ่ายตรงข้ามรู้มาก่อนนานแล้วว่าเขาเป็นใคร
“ไว้ฉันเสร็จธุระวันนี้ก่อนเถอะ แล้วจะมาจัดการกับแก…” เยี่ยเทียนเหลือบตามองซ่งเสี่ยวเจ๋อแวบหนึ่ง แล้วเดินตามหลังอวี๋เฮ่าหรานไปยังมุมหนึ่งในห้องอาหารที่มีตัวอักษรมงคลประดับไว้
ซ่งเสี่ยวเจ๋อซึ่งกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะจะต้องคาดไม่ถึงแน่ๆ ว่า คนที่เขาวางอุบายหมายมั่นที่จะจัดการนั้น กลับเห็นเขาเป็นเหมือนคนตายคนหนึ่งตั้งแต่แรกแล้ว