เมื่อเห็นว่าเยี่ยเทียนท่าทางจะไม่เห็นด้วย ประธานอู๋จึงเอ่ยขึ้นว่า
“เยี่ยเทียน แต่เราก็ยังจำเป็นต้องมีการเจรจาแลกเปลี่ยนอยู่ดีนั่นละ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวก็กลายเป็นว่าเราปิดหูปิดตาตัวเองจนตามโลกไม่ทันอีกน่ะสิ ความผิดพลาดสมัยราชวงศ์ชิงน่ะจะปล่อยให้เกิดขึ้นซ้ำอีกไม่ได้แล้วนะ”
ความแข็งแกร่งทางการเมืองการปกครองนั้น ไม่ได้เพียงขึ้นอยู่กับว่า ประเทศไหนมีอาวุธนิวเคลียร์มากกว่า หรือประเทศไหนมีบุคลากรทางการทหารที่แข็งแกร่งกว่ากันเท่านั้น แต่จะสะท้อนออกมาในด้านอื่นๆ เช่นการทูตหรือเศรษฐกิจด้วย และในขั้นตอนเหล่านี้ การประนีประนอมและการโอนอ่อนผ่อนผันตามความเหมาะสมก็เป็นสิ่งที่จะขาดไปไม่ได้เลย
“เยี่ยเทียน เราแค่แนะแนวบางอย่างไปแบบคร่าวๆ ก็พอแล้ว ส่วนที่เป็นแก่นแท้ เราไม่มีทางให้คนต่างชาติพวกนั้นได้รู้ได้เห็นกันอยู่แล้วละ…”
ทันทีที่ประธานอู๋พูดจบ ประธานเยวี่ยก็กล่าวเสริมขึ้นบ้าง พวกเขารู้ว่า สถานการณ์ระหว่างประเทศในปัจจุบันซึ่งกำลังดำเนินไปด้วยดีนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ถ้าในอนาคตไม่มีการข่มขู่จากเยี่ยเทียนแล้ว เกรงว่าประเทศเหล่านั้นก็อาจจะกลับไปมีท่าทีอย่างในอดีต ขู่ว่าจะตัดขาดกับประเทศจีนในระดับนานาชาติอีก
“ท่านทั้งหลาย ลืมข้อตกลงเมื่อก่อนหน้านี้ไปแล้วหรือครับ”
เมื่อได้ยินผู้มีอำนาจทั้งสองท่านพูดเองเออเองกันแบบนั้น เยี่ยเทียนก็มีสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง
“ตอนนั้นเราก็คุยกันเรียบร้อยแล้วนี่ครับว่า ผมจะทำงานให้รัฐครั้งนี้ครั้งเดียว แล้วต่อไปอย่ามารบกวนผมอีก!”
เยี่ยเทียนยังไม่ทันพูดจบ นายพลจ้าวผู้มีนิสัยโผงผางก็ตบโต๊ะลุกขึ้นมา แล้วพูดเสียงดังว่า
“เยี่ยเทียน เธอมาพูดแบบนี้ได้ยังไง การทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติก็เป็นสิ่งที่พลเมืองทุกคนควรทำอยู่แล้ว…”
“นี่ๆ เหล่าจ้าว อย่าหุนหันไป มีอะไรก็พูดจากันดีๆ!”
เมื่อเห็นนายพลจ้าวอารมณ์ร้อนขึ้นมาเช่นนี้ ประธานเยวี่ยจึงรีบกล่าวขัดขึ้น เยี่ยเทียนไม่ได้เป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของพวกเขา ที่พวกเขานึกอยากจะตำหนิอย่างไรก็ได้ แต่เป็นชาวยุทธตัวจริงที่ตัดสินเรื่องราวต่างๆ โดยการต่อสู้ใช้กำลัง มิหนำซ้ำยังมีความสามารถเหลือล้นอีกด้วย พวกเขาจึงได้แต่คล้อยตามเท่านั้น
ประธานเยวี่ยมองเยี่ยเทียนอย่างอึดอัดลำบากใจ แล้วพยายามปั้นสีหน้าให้ดูเป็นมิตร
“เยี่ยเทียน เธอก็รู้ว่า พลังของประเทศเราน่ะเทียบกับบางประเทศทางตะวันตกไม่ได้เลย ในบางครั้ง…”
“พอเถอะ ไม่ต้องพูดแล้วละครับ”
เยี่ยเทียนโบกมือ
“เรื่องการเจรจาแลกเปลี่ยนที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ ผมจะส่งลูกศิษย์ในสำนักไปเอง ท่านทั้งหลายคงมีภารกิจมากมาย กระผมไม่รบกวนละนะ!”
ถึงอย่างไรเยี่ยเทียนก็เป็นคนจีน เขาเองก็อยากจะเห็นประเทศชาติของตนแข็งแกร่งเหมือนกัน แม้ว่าเขาจะไม่อยากวุ่นวายกับเรื่องเหล่านี้ แต่ก็ไม่อาจจะหักใจตัดขาดได้ทั้งหมด การเจรจาแลกเปลี่ยนที่ว่านั้นเขาก็ไม่ได้จำเป็นที่จะต้องไปด้วยตนเอง อาศัยพลังฝีมือของเหลยหู่และโจวเซี่ยวเทียนซึ่งใกล้จะเข้าสู่ระดับเซียนเทียน ก็เพียงพอที่จะจัดการกับเรื่องเหล่านี้ได้แล้ว
“ดี งั้นก็ตกลงตามนี้เลยนะ!”
เมื่อเห็นว่านายพลจ้าวดูท่าทางจะไม่ค่อยพอใจ ประธานเยวี่ยจึงรีบตอบตกลงไปทันที ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือต่างก็พยักหน้ากันหมด ในใจพวกเขาต่างรู้กันดีว่า ด้วยนิสัยเหมือนแม่วัวหวงลูกของเยี่ยเทียนแล้ว ถ้าลูกศิษย์ของเขาเกิดพลาดท่าเสียทีขึ้นมา มีหรือที่จะอยู่นิ่งเฉย? หากถึงเวลานั้นเขาย่อมต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือแน่นอน
เยี่ยเทียนประสานมือคารวะ
“อย่างนั้นผมก็ขอลาละนะ!”
ผู้ที่มีพลังฝีมือระดับสูงอย่างเยี่ยเทียนนี้ ย่อมไม่จำเป็นที่จะต้องพยายามป้องกันตัวใดๆ เลย หากในที่นั้นมีคนคิดมุ่งร้ายต่อเขา เยี่ยเทียนก็จะสามารถรู้สึกได้ทันที และถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เยี่ยเทียนก็ไม่รังเกียจที่จะกระทำการเชือดไก่ให้ลิงดูเช่นกัน
แม้ว่าคนเหล่านี้จะไม่รู้ว่า เยี่ยเทียนมีความสามารถแบบนี้อยู่ด้วย แต่ไม่ว่าจะดูจากยาวิเศษที่เยี่ยเทียนนำมาให้ หรือว่าดูจากพลังที่เขาได้แสดงออกมา ขอเพียงเป็นคนที่มีความสามารถในการขบคิดเป็นปกติ ไม่ว่าใครก็คงไม่กล้าใช้วิชามารต่างๆ ไปจัดการกับเขาอีกแล้ว ถึงอย่างไรผู้ที่จะสามารถดำรงตำแหน่งของพวกเขาเหล่านี้ได้ ก็ไม่ใช่ว่าอาศัยเพียงลูกไม้ต่างๆ แล้วก็จะขึ้นตำแหน่งได้เช่นกัน
……………………
ภูเขาเขียวลำน้ำใสที่เหมาซานยังคงปลอดจากมลพิษจากโลกภายนอก โดยเฉพาะจุดที่ฝังร่างของหลี่ซั่นหยวนไว้ บนภูเขาลูกนั้นถูกเยี่ยเทียนเหมาไปทั้งลูก บนภูเขาปลูกไม้ดอกไม้ผลต่างๆ ไว้เต็มไปหมด ยามนี้ตรงกับช่วงฤดูสารทพอดี จึงมีกลิ่นของผลไม้ต่างๆ หอมโชยไปทั่วภูเขา
“อาจารย์ พวกเราเหล่าศิษย์ทั้งหลายมาเยี่ยมท่านแล้ว และยังมีศิษย์รุ่นหลานของท่านอีกด้วย สำนักเสื้อป่านเราเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาแล้วละครับ!”
หน้าสุสานของหลี่ซั่นหยวนมีของเซ่นไหว้ต่างๆ จัดวางไว้เต็มไปหมด เยี่ยเทียนถือธูปเซ่นไหว้สามดอกชูขึ้นเหนือศีรษะ พาศิษย์ทั้งหลายไปคุกเข่ากราบคารวะ แล้วปักธูปเซ่นไหว้ลงตรงหน้าสุสาน จากนั้นก็หยิบสุราอู่เหลียงเย่ขวดหนึ่งมาราดรดลงไป และเอ่ยขึ้นว่า
“อาจารย์ คัมภีร์ทุยเป้ยถูหรือก็คือคัมภีร์เป็นตายนั้น ศิษย์ได้รวบรวมจนครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ท่านที่อยู่ในโลกหน้าก็วางใจได้แล้วนะครับ”
เยี่ยเทียนลุกขึ้นยืน มองดูคนทั้งหลายที่กำลังคุกเข่าอยู่ข้างหลังตน แล้วเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจขึ้นมา
เดิมทีเยี่ยเทียนนึกว่า สำนักเสื้อป่านคงจะเหลือตนอยู่เพียงคนเดียว แต่ตอนนี้นอกจากจะมีศิษย์พี่ทั้งสองซึ่งมีการบำเพ็ญถึงระดับเซียนเทียนแล้ว ยังได้รับศิษย์เพิ่มมาอีกสามคนด้วย
โดยเฉพาะเจียงซานซึ่งเป็นลูกศิษย์ที่อายุน้อยที่สุดนั้น มีพรสวรรค์ในด้านศาสตร์การเสี่ยงทายและนรลักษณ์ศาสตร์อย่างยิ่ง เฉพาะแค่ในด้านการอ่านกว้าเสี่ยงทาย เจียงซานก็เหนือล้ำกว่าอาจารย์แล้ว เรื่องหลายๆ อย่างที่แม้แต่เยี่ยเทียนยังอ่านได้ไม่ชัดเจน เจียงซานกลับพอจะสรุปคำพยากรณ์ออกมาได้บ้างเล็กน้อย
ส่วนโก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นเอง ก็ได้รับลูกศิษย์หลายคนที่มีคุณสมบัติสูงอย่างยิ่งจากบรรดาเด็กที่เหลยหู่หามา คนจีนนั้นยึดถือเรื่องการสืบทอดเป็นที่สุด ถ้าพวกเขาทั้งสองไม่ถ่ายทอดวิชาของตนสืบไป หลังจากตายไปแล้วก็คงจะไม่มีหน้าไปพบอาจารย์แน่
ศิษย์สำนักเสื้อป่านที่มาชุมนุมกันที่นี่ในขณะนี้มีจำนวนถึงยี่สิบกว่าคน ศิษย์ใหม่ผู้มีพรสวรรค์และอุปนิสัยที่ดีงามเหล่านี้จะกลายเป็นรากฐานในการพัฒนาสำนักเสื้อป่านต่อไปในอนาคต เยี่ยเทียนพยากรณ์ได้เลยว่า หนึ่งร้อยปีหลังจากนี้ สำนักเสื้อป่านจะเจริญก้าวหน้าขึ้นอย่างไรบ้าง
“เยี่ยเทียน ทีนี้วิญญาณของอาจารย์ที่อยู่บนสวรรค์ก็คงจะหมดห่วงแล้วละนะ”
หลังจากจุดธูปที่หน้าสุสานของหลี่ซั่นหยวนอย่างเคารพนอบน้อมเสร็จแล้ว โก่วซินเจียเองก็รู้สึกสะทกสะท้อนใจเช่นกัน ตลอดชีวิตอันผันผวนของเขานี้ ได้ประสบความยากลำบากมาไม่น้อย เดิมทีนึกว่าตนคงจะต้องแก่ตายอยู่กลางป่าเขาแล้ว แต่คาดไม่ถึงว่า หลังจากที่ได้รู้จักศิษย์น้องเล็ก ชีวิตก็เกิดการเปลี่ยนแปลงราวกับพลิกฟ้าดิน ได้เปิดประตูบานใหญ่สู่โลกอีกใบหนึ่ง
หลังจากไล่ศิษย์อื่นๆ ในสำนักเหล่านั้นไปแล้ว ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสามคนก็ยังคงนั่งตรงหน้าสุสานของหลี่ซั่นหยวนอยู่เนิ่นนาน แม้จะกล่าวว่า อาจารย์เพียงรับเข้าสำนัก ส่วนการบำเพ็ญนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลก็ตาม แต่ถ้าไม่มีหลี่ซั่นหยวน โชคชะตาของพวกเขาทั้งสามก็จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ไม่มีทางประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ได้แน่นอน
เยี่ยเทียนหันไปพูดกับโก่วซินเจีย
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านกับศิษย์พี่รองก็อายุมากแล้ว ไม่จำเป็นต้องรอเข้าไปในดินแดนผนึกพร้อมกับผมหรอกครับ หรือไม่อย่างนั้นพวกเราก็เดินทางไปที่จุดเชื่อมต่อดินแดนแห่งทวยเทพ แล้วผมส่งพวกพี่เข้าไปดีไหมครับ?”
โก่วซินเจียนั้นไม่เหมือนกับเยี่ยเทียน เขาอายุมากกว่าหนึ่งร้อยปีแล้ว ถึงจะมีอายุขัยเพิ่มขึ้นมาหลังจากที่บรรลุสู่ระดับเซียนเทียนได้ แต่ก็เป็นระยะเวลาเพียงร้อยสองร้อยปีเท่านั้น ถ้าไม่สามารถบรรลุถึงขั้นบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคภายในระยะเวลานี้ได้ ในท้ายที่สุดสังขารของเขาก็ยังคงต้องสลายกลับสู่พื้นปฐพี
แต่แม้กระทั่งในดินแดนแห่งทวยเทพซึ่งมีผู้บำเพ็ญระดับเซียนเทียนอยู่มากมาย การบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคก็ยังเป็นเรื่องที่ยากจะสำเร็จได้อยู่ดี ถ้าโก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นอาศัยอยู่ในโลกของปุถุชนซึ่งขาดแคลนปราณวิเศษนี้ต่อไป การที่จะก้าวหน้าต่อไปอีกขั้นนั้น จึงนับว่าเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่ายากเสียอีก
“ศิษย์น้องเล็ก พวกเราจะรอเธอ”
โก่วซินเจียส่ายหน้า “
ไม่ใช่ว่าฉันกับศิษย์พี่รองของเธอกลัวตาย จนไม่กล้าเข้าสู่แดนต่างมิติเองหรอกนะ แต่เพราะพวกเราเองก็อยากจะหาประสบการณ์อยู่ในโลกนี้อีกสักระยะ หลังจากจิตใจพัฒนาขึ้นแล้ว คาดว่าการฝึกบำเพ็ญในภายหน้าจะต้องได้ผลดียิ่งขึ้นแน่นอน”
โก่วซินเจียแม้จะไม่ได้ออกเคลื่อนไหวมานานกว่าครึ่งศตวรรษแล้ว แต่ที่จริงแล้วพรสวรรค์ของเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าหนานไหวจิ่นเลย เขามีพื้นฐานจากทางเต๋า แต่ก็มีความสัมพันธ์อันดีกับอาจารย์ซิงอวิ๋น และมักจะเสวนาเกี่ยวกับจิตแห่งเต๋าและธรรมะร่วมกันอยู่เสมอ จึงได้ศึกษาทั้งทางพุทธ เต๋า และขงจื่ออย่างลึกซึ้ง
หลังจากอ่านบันทึกส่วนหนึ่งของจางซันเฟิงที่เยี่ยเทียนเขียนออกมาจากความทรงจำแล้ว โก่วซินเจียก็ได้ข้อสรุปประการหนึ่งคือ บำเพ็ญพรตนั้นไซร้คือการฝึกใจ หลังจากเข้าสู่ระดับเซียนเทียน การฝึกใจก็จะยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น หากฝึกจนถึงขั้นได้เมื่อไร การบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคก็ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว
“ได้ครับ อย่างนั้นพอถึงเวลาแล้ว เราสามคนค่อยไปตะลุยแดนของผู้บำเพ็ญพรตด้วยกัน!”
เยี่ยเทียนเองก็เข้าใจในเหตุผลที่โก่วซินเจียกล่าวมา เมื่อนึกถึงชีวิตที่เต็มไปด้วยสีสันอันหลากหลายในภายภาคหน้าแล้ว เยี่ยเทียนก็อดรู้สึกเลือดร้อนคุกรุ่นขึ้นมาไม่ได้
หลังจากนั่งอยู่บนเขาไปครึ่งค่อนวัน พวกเยี่ยเทียนก็กลับมาที่อารามเต๋าบนสันเขา เนื่องจากที่นี่เป็นสถานที่กำเนิดสำนักเสื้อป่านในสมัยปัจจุบัน อีกทั้งทุกปีเยี่ยเทียนยังมาพักอาศัยอยู่ที่นี่ครั้งละหลายๆ วัน ดังนั้นอารามแห่งนี้จึงได้รับการบูรณะต่อเติมจนใหญ่โตขึ้นมาก และภายในอารามก็มีควันธูปสักการะจากผู้ศรัทธาโชยอยู่ไม่ขาด
“ลุงทึ่ม เป็นไงบ้าง ร่างกายยังแข็งแรงดีอยู่ไหมครับ? นี่ก็จ้างคนมาทำความสะอาดแล้วไม่ใช่หรือ ลุงไม่ต้องมาทำเรื่องพวกนี้หรอกครับ!”
เมื่อมาถึงหน้าอารามเต๋า เยี่ยเทียนก็ก้าวเข้าไปหยิบไม้กวาดมาจากมือของคนผู้หนึ่ง
ผู้ดูแลอารามเต๋ายังคงเป็นลุงทึ่มและภรรยาเช่นเดิม แต่ชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ในอดีตนั้น ตอนนี้เริ่มมีผมหงอกขาวที่ขมับทั้งสองข้างแล้ว แต่เพราะใช้ชีวิตอยู่บนเขามานาน ร่างกายจึงแข็งแกร่ง หลายวันมานี้ก็ลงเขาไปวันละหลายเที่ยว เพื่อลำเลียงสิ่งของที่จำเป็นต่างๆ ขึ้นมาบนเขา
“เยี่ยเทียน นี่จะดูถูกลุงทึ่มของแกรึไง?”
ลุงทึ่มแย่งไม้กวาดมาจากมือของเยี่ยเทียน แล้วพูดอย่างไม่พอใจ
“ฉันยังกินเนื้อได้ตั้งมื้อละสองชั่ง นี่ถ้าไม่ออกกำลังเสียหน่อย แล้วมันจะไปเผาผลาญได้ยังไงล่ะ? พอเลย ไปทำธุระของแกเถอะ เจ้าเฟิงค่วงนั่นก็มาแล้ว กำลังตามหาแกอยู่พอดีเลย”
“ครับลุงทึ่ม เจ้าหนุ่มบ้านลุงที่ไปปักกิ่งคนนั้นก็สบายดีอยู่นะ ผมคอยดูแลอยู่ตลอดเลย ลุงวางใจได้เลยนะครับ” เยี่ยเทียนพยักหน้ายิ้มๆ แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
สมัยก่อนคนในหมู่บ้านตระกูลหลี่เคยช่วยเหลือเยี่ยเทียนและพ่อมาไม่น้อยเลย หลายปีที่ผ่านมานี้เยี่ยเทียนจึงไม่เคยลืมที่จะกลับมาเยี่ยมเยือนบรรดาผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านตระกูลหลี่
ไม่ว่าเด็กคนไหนที่มาจากหมู่บ้านตระกูลหลี่ เขาก็จะช่วยส่งไปเรียนในมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่ปักกิ่งทุกคน รวมถึงรับผิดชอบค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันทั้งหมดให้ด้วย มีหลายคนที่หลังจากจบการศึกษาแล้วก็อยู่ในเมืองต่อไปเลย นับว่าเป็นการยุติวิถีชีวิตแบบเกษตรกรรมของคนรุ่นก่อนไป
หลังจากอยู่บนเขาสามวัน และไปพักที่บ้านของเฟิงค่วงอีกหลายวัน เยี่ยเทียนจึงจะเดินทางกลับกรุงปักกิ่ง ส่วนโก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นนั้นไม่ได้กลับฮ่องกง แต่ร่วมกันออกท่องทัศนาจรไปทั่วประเทศ ตามที่ทั้งสองได้กล่าวไว้ ผู้บำเพ็ญจะต้องเข้าสู่โลกีย์เสียก่อน จึงจะสามารถหลุดพ้นออกมาจากโลกีย์ได้
เมื่อกลับไปถึงกรุงปักกิ่ง เยี่ยเทียนผนึกพลังฝีมือทั้งหมดของตัวเองไว้ และก็ไม่ได้พยายามที่จะหลีกเลี่ยงการหายใจรับอากาศที่มีมลพิษนั้นเลย กลายเป็นเหมือนคนธรรมดาคนหนึ่ง ในแต่ละวันนอกจากศึกษาตำราเกี่ยวกับเต๋าแล้ว ก็เพียงแต่เล่นสนุกกับลูกชาย เป็นชีวิตที่สงบราบเรียบอย่างแท้จริง
กาลเวลาผ่านไปดั่งกระสวยทอผ้า เพียงชั่วพริบตาก็ผ่านไปสิบปีแล้ว เยี่ยชิวที่ตอนนั้นเพิ่งจะกำลังหัดพูด ตอนนี้ก็ได้ขึ้นชั้นประถมแล้ว ส่วนพวกป้าๆ ของเยี่ยเทียนก็ชราลงทุกวัน แม้แต่ใบหน้าอันงดงามของซ่งเวยหลันก็เริ่มปรากฏร่องรอยของกาลเวลาแล้ว
เยี่ยเทียนยับยั้งการบำเพ็ญของตัวเองมาสิบปีเต็ม ในสิบปีนี้ เขาไม่ได้โคจรพลังหรือนั่งสมาธิเลยสักครั้งเดียว เพียงแต่ดื่มด่ำรับรู้ความหลากหลายของชีวิตสารพัดรูปแบบอย่างตั้งใจ ร่างกายระดับเซียนเทียนของเขาจึงเปี่ยมด้วยมลภาวะปนเปื้อนต่างๆ ในโลกมนุษย์
……………………….