“เยี่ยเทียน ลูกยังเด็ก นายเที่ยวพาลูกไปแบบนี้ ฉันไม่ไว้ใจเลยนะ…”
ในเรือนสี่ประสานของเยี่ยเทียน อวี๋ชิงหย่ากำลังพูดคุยอยู่กับสามีตัวเอง แม้อายุใกล้สี่สิบแล้ว แต่รอยย่นตามกาลเวลาบนใบหน้าของหล่อนไม่มีเลย ยังคงเหมือนสาวน้อยวัยใส ณ วันรายงานตัวที่หวาชิง
“เยี่ยชิวไม่เด็กแล้ว ตอนฉันอายุเท่านี้ ฉันตามอาจารย์ไปรอบประเทศแล้ว ตอนนั้นการรักษาความปลอดภัยไม่ดีเท่าตอนนี้เลย!”
เยี่ยเทียนพูดกับภรรยาและฝึกเขียนหนังสืออยูใต้ต้นไม้พร้อมกัน สิบปีที่ผ่านมา นอกจากอ่านคัมภีร์พุทธ เต๋า และหรู จนครบ เขายังเริ่มเขียนพู่กันที่เรียนมาตั้งแต่เด็ก ถ้าวันไหนไม่ได้เขียน จะรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว
ส่วนเยี่ยเทียนก็เปลี่ยนไปมาก หากมองจากภายนอก เยี่ยเทียนเหมือนพ่อบ้านธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่ไม่มีลมปราณแบบผู้ฝึกพลังวิชาเลย ทุกๆ วัน เขาจะตื่นเช้าอย่างสม่ำเสมอ คอยเตรียมอาหารเช้าให้กับทุกคน
“นายอย่าเอาลูกไปเทียบกับนายสิ นายมันดื้อตั้งแต่เด็ก แต่ลูกเป็นคนซื่อมาก”
อวี๋ชิงหย่าถึงกับเหลือกตาขาว เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนตอบกลับแบบนั้น ลูกชายเธอไม่เหมือนเยี่ยเทียนตอนเด็กๆ ที่มักจะกระโดดโลดเต้น แต่กลับเป็นเด็กสงบนิ่ง กิริยาท่าทาง คำพูดคำจา ไม่ต่างจากผู้ใหญ่ และที่สำคัญไม่เคยก่อเรื่องให้อวี๋ชิงหย่าเลย
ช่วงเวลาแบบนี้ การเป็นคนซื่อมักจะเสียเปรียบ ฉะนั้นอวี๋ชิงหย่าจึงไม่พึงพอใจการตัดสินใจของเยี่ยเทียนมากนัก ที่ทุกวันหยุดของฤดูหนาว ให้ลูกชายเดินทางทั่วประเทศกับโก่วซินเจีย สองสามีภรรยามีปากเสียงกันหลายครั้งเพราะเรื่องนี้
เมื่อเห็นภรรยาโกรธ เยี่ยเทียนวางพู่กันลง ล้างมือในอ่างที่วางอยู่ข้างๆ จากนั้นหันไปพูดกับภรรยา
“ชิงหย่า เดินทางหมื่นลี้ ดีกว่าอ่านหนังสือหมื่นเล่ม เธอไม่ต้องเป็นห่วง ลูกฉลาดเฉลียวมาก!”
เมื่อพูดถึงลูกชาย ใบหน้าของเยี่ยเทียนจะเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขารู้จักลูกชายตัวเองดีกว่าภรรยาเสียอีก ตั้งแต่เกิดมา เยี่ยเทียนหยุดระดับพลังของเยี่ยชิวไว้ที่ขั้นเซียนเทียน หลังจากสามขวบ ลูกชายของเขาก็ไม่สามารถต่อต้านสิ่งต่างๆ ในโลกมนุษย์ได้ จึงได้กลายเป็นเด็กธรรมดาเหมือนเด็กคนอื่นไปแล้ว
กับเยี่ยเทียน ความซนของลูกจะแตกต่างออกไป เยี่ยชิวจะเงียบสงบกว่ามาก เวลาพูดหรือกระทำสิ่งใด จะคล้ายกับผู้ใหญ่
แต่เยี่ยเทียนรู้ ลับหลัง ลูกชายของตนก็สร้างเรื่องไว้ไม่น้อย ตอนอายุห้าขวบ เคยเอาสมุนไพรในบ้านออกมาฝึกทำเป็นยา จนทุกคนในบ้านพากันท้องเสียไปหนึ่งอาทิตย์ หลังเกิดเรื่องยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
ส่วนของเก่าของเยี่ยตงผิงก็โดนไปด้วย ตั้งแต่เยี่ยชิวอายุหกขวบ เข้าเรียนแล้ว ของจะหายไปอย่างไร้ร่องรอยปีละชิ้นสองชิ้น
แล้วเยี่ยเทียนก็พบว่า ของเก่าที่หายไป ไปอยู่ที่พานเจียหยวน พอถามลูกชาย กลับได้คำตอบว่าตนนั้นกินดีอยู่ดี ไม่อยากใช้เงินของพ่อกับแม่ จึงไปหาคุณปู่แทน แน่นอนว่า เรื่องนี้กลายเป็นความลับระหว่างพ่อกับลูกไปแล้ว แม้แต่อวี๋ชิงหย่าก็ไม่รู้เรื่องนี้
เยี่ยเทียนเริ่มสอนวิชาลัทธิเต๋าให้ตอนอายุแปดขวบ บางทีอาจเป็นเพราะรากฐานที่เยี่ยเทียนวางเอาไว้ให้ ทำให้พรสวรรค์ของเยี่ยชิวที่แสดงออกมาให้เห็น ถึงกับต้องอ้าปากตาค้างกันทีเดียว ในทุกๆ ปี ระดับพลังวิชาของเยี่ยชิวจะเพิ่มขึ้นหนึ่งขั้น จนถึงอายุสิบเอ็ดขวบ ระดับพลังของเยี่ยชิวไปถึงระดับจุดสูงสุดของโฮ่วเทียนแล้ว
ด้วยเหตุนี้ เยี่ยเทียจึงไม่กลัวว่าลูกชายจะเสียเปรียบใครเมื่อต้องใช้ชีวิตอยู่ข้างนอก ยังไม่นับว่ามีศิษย์พี่ใหญ่ตามไปด้วย ถึงแม้เยี่ยชิวจะไปตัวคนเดียว ด้วยนิสัยเจ้าเล่ห์ของเขา ไม่แน่ วันไหนที่หักหลังคนอื่นแล้วได้เงินมา เขายังมีคนช่วยเขานับเงินอีกด้วย
“นายนะเหรอ ตอนเด็กนายตามใจลูกชายจนมากเกินไป ตอนนี้ไม่สนใจไยดี จะทำยังไงกันดีเนี่ย!”
อวี๋ชิงหย่าชกเข้าที่หัวไหล่ของเยี่ยเทียนเบาๆ แต่ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความสุข สิบปีที่ผ่านมา สามีอยู่กับเธอมาโดยตลอด มันเลยทำให้เธอรู้สึกพึงพอใจกับสิ่งที่มีอยู่มาก
“พูดถึงเจ้าลูกชาย มาพอดีเลย ชิงหย่า พวกเขากลับมาแล้ว”
จู่ ๆ เยี่ยเทียนก็รู้สึกบางอย่างในใจ พอเงยหน้ามองประตูใหญ่ เสียงตะโกนของอาใหญ่ก็ดังขึ้น ครั้งนี้เยี่ยชิวไปเกือบสองเดือนกว่า คุณย่ายายในเรือนคิดถึงจะแย่อยู่แล้ว
ไม่นานนัก เยี่ยชิวถูกเหล่าคุณย่าล้อมอยู่รอบตัว พากันเดินเข้ามาถึงกลางเรือน เด็กผู้ชายอายุสิบเอ็ดขวบ โตมาคล้ายอวี๋ชิงหย่ามาก หน้าตาสะอาดสะอ้าน ในดวงตาของเขาให้ความรู้สึกที่โตเป็นผู้ใหญ่เกินวัยนี้มาก แต่พอเจอหน้าพ่อกับแม่ ก็เผยความดีใจออกมา
“เยี่ยชิว ทำไมตากแดดจนดำขนาดนี้ละลูก”
อวี๋ชิงหย่ากอดลูกชายเอาไว้ด้วยความเอ็นดู แต่เยี่ยชิวรู้สึกไม่ค่อยชินเท่าไหร่ หลังจากที่สัมผัสความรักจากแม่แล้ว เขาขยับร่างกายเล็กน้อย จากนั้นก็ไม่ขยับอีก
“พ่อ ผมกลับมาแล้วครับ อาจารย์ลุงกลับฮ่องกงแล้วนะครับ!”
ถึงแม้ว่าเยี่ยเทียนจะตามใจลูกชายมากเมื่อตอนลูกชายยังเป็นเด็กน้อย แต่พอเยี่ยชิวโตขึ้นมาหน่อย คนที่เขากลัวมากที่สุดกลับเป็นพ่อที่ไม่เคยโมโหคนนี้ ซึ่งทำให้อวี๋ชิงหย่าอิจฉามาโดยตลอด
“อืม ไปพักเถอะ คืนนี้มาเล่าให้พ่อฟังนะว่าครั้งนี้พบเจออะไรมาบ้าง”
เยี่ยเทียนพยักหน้า และขยำกระดาษที่ฝึกเขียนเป็นก้อน เมื่อสามปีก่อน ลายมือของเยี่ยเทียนเคยหลุดออกไป จนวงการเขียนพู่กันถึงกับสะเทือน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทุกครั้งที่เขียนเสร็จ เยี่ยเทียนจะทำลายทิ้งจนเป็นความเคยชิน
เยี่ยชิวก็เหมือนกับเยี่ยเทียน เป็นผู้สืบทอดคนเดียวของตระกูล การกลับมาของเขา ทำให้สมาชิกตระกูลเยี่ยมารวมตัวกัน หลังจากคึกคักกันไปทั้งคืนเสร็จ สองพ่อลูกก็เริ่มพูดคุยกันอยู่ท้ายเรือน เยี่ยเทียนไม่ได้พูดอะไรเท่าไหร่ เขาแค่นั่งฟังลูกชายเล่าเรื่องต่างๆ ที่พบเจอในครั้งนี้
“อืม? ตะวันออกเฉียงเหนือ หรือว่าจะเป็น…”
เสียงของลูกชายที่แฝงความเด็ก ลอยผ่านหู แล้วเยี่ยเทียนก็ขมวดคิ้ว มองไปทิศตะวันออกเฉีนงเหนือ
“พ่อ มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
เยี่ยชิวเห็นท่าทีของพ่อแปลกๆ จึงได้ถามออกไป ตั้งแต่จำความได้ เขาไม่เคยเห็นพ่อพบเจอปัญหาที่แก้ไม่ได้ และไม่เคยเห็นพ่อแสดงสีหน้าแบบนี้ออกมาเช่นเดียวกัน
“ไปโทรศัทพ์หาอาจารย์ลุง บอกให้พวกเขาไปเทือกเขาฉางไป๋ซาน”
เยี่ยเทียนลุกขึ้นสั่งลูกชาย แล้วก็เดินไปยังห้องนอนของพ่อกับแม่ เจ็ดแปดปีมานี้ เขาไม่ออกไปข้างนอกเลย แต่ครั้งนี้เขาจำเป็นต้องไป เพราะสัมผัสได้ถึงพรหมลิขิตของเพื่อนเก่าคนหนึ่งกำลังจะมาถึง
แม้ว่าหลายปีมานี้เยี่ยเทียนจะใช้ชีวิตในโลกมนุษย์ พลังของเองก็ไม่มีการพัฒนา แต่จิตใจของเขากลับนิ่งลงมาอย่างชัดเจน และมันพัฒนาขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะมาก ผลกระทบต่างๆ นานาที่เกิดจากการสังหารคนมามาก มันถูกกำจัดทิ้งไปหมดแล้ว
ด้วยจิตใจที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เยี่ยเทียนยังพบอีกว่า การรับรู้ของเขามันชัดเจนขึ้นมาก ไม่ว่าคนที่เอ่ยชื่อเขาจะอยู่ไกลแค่ไหน แค่มีคนเอ่ยถึงชื่อ เขาจะสัมผัสมันได้ทุกครั้ง สำหรับคนและเรื่องราวที่ตัวเขาให้ความสนใจ เขาก็สัมผัสได้ถึงสถานการณ์ของคนและเรื่องนั้นๆ ได้บ้าง
และเมื่อครู่ เยี่ยเทียนสัมผัสได้ถึงมังกรดำที่อยู่ในเทือกเขาฉางไป๋ซาน เหมือนมีบางอย่างเปลี่ยนไป เขามีความรู้สึกว่า หากครั้งนี้เขาไม่ไปที่นั่น เขาอาจไม่ได้เจอเพื่อนเก่าคนนี้อีกตลอดไป
หลังจากบอกกล่าวพ่อแม่เสร็จแล้ว เยี่ยเทียนพาลูกชายขับรถตรงไปยังสนามบิน และขึ้นเครื่องบินลำหนึ่ง ที่จอดรอมาแล้วทั้งปี เครื่องบินทุกลำล้วนเลื่อนเวลาออกไป เพื่อให้เครื่องบินของเยี่ยเทียนบินขึ้นก่อน
…………………
“เยี่ยเทียน เกิดอะไรขึ้น?”
หลังจากเครื่องลงจอดที่สนามบินฉางไป๋ซานเรียบร้อย หูหงเต๋อนั้นมารอรับแล้ว อายุแปดสิบแล้ว แต่ดูหนุ่มกว่าสิบกว่าปีก่อนมาก ใบหน้าเป็นสีแดงระรื่อ ผมขาวหงอกกลายเป็นผมดำเงา ดูแล้วราวกับหนุ่มวัยกลางคนที่อายุแค่สี่สิบกว่า
ซึ่งล้วนเป็นเพราะหูหงเต๋อเข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้วตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อน หากไม่ใช่เพราะได้รับบาดเจ็บ เมื่อหลายปีก่อน หูหงเต๋อคงขึ้นไปอยู่ระดับนั้นตั้งนานแล้ว และเมื่อห้าปีก่อน ก็คือเยี่ยเทียนนั่นแหละ ที่ปกป้องช่วยเขาเอาไว้
“มังกรดำน่าจะถึงเวลาผ่านภัยสวรรค์แล้ว ผมเลยมาหาสักหน่อย”
เยี่ยเทียนไม่คิดจะปิดบังอะไร ตอนที่เขารู้จักกับมังกรดำ หูหงเต๋อเองก็อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย นอกจากตัวเขาแล้ว มังกรดำน่าจะรู้จักแค่หูหงเต๋อคนเดียว
หลังจากกลับไปพักที่บ้านพักของหูหงเต๋อ ซึ่งอยู่ในเมืองฉางไป๋ซานแล้วหนึ่งคืน เช้าวันที่สอง โก่วซินเจียและคนอื่นๆ ก็มาถึงพอดี คนที่เดินทางไปด้วยยังมี หนานไหวจิ่น จั่วเจียจวิ้น เหลยหู่และโจวเซี่ยวเทียน นอกจากหนานไหวจิ่นแล้ว คนอื่นๆ ล้วนแต่เป็นศิษย์สำนักเสื้อป่านที่อยู่ระดับเซียนเทียนหมดแล้ว
โจวเซี่ยวเทียนเข้าสู่ระดับเซียนเทียนสำเร็จตั้งแต่เมื่อแปดปีก่อน หลายปีมานี้ งานพบปะผู้มีความสามารถเหนือธรรมชาติของสากลโลก ก็เขาและเหลยหู่นั่นแหละที่เป็นคนไปเข้าร่วม ระหว่างนั้น การสังหารและการสั่นสะเทือน ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เขาสองคนมีชื่อเสียง
แม้ว่าอำนาจทางการเมืองของประเทศจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ท่านประธานเยวี่ย ท่านประธานอู๋และคนอื่นๆ จะลุกจากเก้าอี้ไปหมดแล้ว แต่สำนักเสื้อป่านก็ยังคงอยู่เป็นดั่งเซียนที่คอยปกป้องประเทศ แล้วท่านประธานคนใหม่ที่เพิ่งได้ตำแหน่ง เมื่อหกปีก่อน ยังมาหาตระกูลเยี่ยบ่อยมาก ถือว่าเป็นแขกประจำของเรือนสี่ประสานก็ว่าได้
“เยี่ยเทียน พลังของเธอตอนนี้อยู่ระดับไหนแล้วกันแน่? ทำไมฉันถึงสัมผัสปราณแท้ในตัวเธอไม่ได้เลยล่ะ?”
เนื่องจากชื่อเสียงที่โด่งดังมากเกินไป ทำให้ความสงสัยของหนานไหวจิ่นอดกลั้นต่อไปไม่ไหว เมื่อหลายปีก่อน เขาเคยกำกับและเข้าร่วมการถ่ายละครเกี่ยวกับการแกล้งตาย ด้วยตัวเองทั้งหมด จากนั้นก็ปลีกตัวอยู่แต่ในคฤหาสน์ที่ฮ่องกง ทำให้ไม่ได้เจอเยี่ยเทียนเกือบห้าหกปี
“นั่นนะสิศิษย์น้องเล็ก เธอปิดผนึกตัวเองไว้แบบนี้ พลังในตัวไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
โก่วซินเจียมองเยี่ยเทียนด้วยความสงสัยเช่นเดียวกัน ตอนนี้เยี่ยเทียนไม่ต่างจากคนธรรมดาเลย แถมยังมีรอยย่นที่หางตาด้วย ด้วยพลังวิชาระดับเซียนเทียนแบบพวกเขา แยกไม่ออกเลยว่าเยี่ยเทียนกับคนทั่วไปต่างกันตรงไหน สัมผัสได้แค่ว่า ในร่างกายของเยี่ยเทียนเต็มไปด้วยลมปราณขุ่นหมอง ไม่มีความพิเศษของผู้ฝึกวิชาสักนิด
“ศิษย์พี่ใหญ่ ไม่เป็นอะไรครับ”
เยี่ยเทียนหัวเราะฮ่าๆ จากนั้น เจี่ยตันที่ถูกปิดผนึกมานาน ก็เริ่มเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ ปราณแท้ซึมออกมาจากตันเถียนทีละเล็กน้อย รูขุมขนของเยี่ยเทียนเปิดออก แล้วลมปราณสีดำก็พุ่งออกมาจากร่างของเขา
เวลาผ่านไปเพียงครู่เดียวเท่านั้น แสงเรืองรองก็ส่องสว่างออกมาจากร่างกายของเยี่ยเทียน เลือดลมที่ไหลเวียนพลุ่งพล่านเร็วราวกับแม่น้ำ ถูกเยี่ยเทียนกดทับเก็บเข้าไปข้างใน ไม่มีเล็ดลอดออกมาแม้แต่นิดเดียว เพราะเขากลัวจะชักนำภัยสวรรค์จินตันมาสู่เขา
จากนั้นเขาพ่นมีดบินคู่กายที่ยาวไม่เกินสามนิ้วออกมา พอเจอลมมันก็ยืดออกเกือบหนึ่งเมตรในพริบตาเดียว เยี่ยชิวที่ไม่เคยเห็นพ่อแสดงพลังวิชามาก่อน ถึงกับอ้าปากตาค้าง
………………………….