ตอนนั้นในปี 97 ที่ทำการไปรษณีย์ยังไม่ได้แยกการสื่อสารโทรคมนาคมออกอย่างชัดเจน ระบบส่งข้อความโทรศัพท์มือถือยักษ์ใหญ่ ในยุคหลังก็ไม่ได้แยกออกจากโทรคมนาคมเช่นกัน ดังนั้นร้านขายโทรศัพท์มือถือร้านนี้ความจริงก็คือที่ทำการไปรษณีย์สาขาหนึ่ง
ถึงแม้ปักกิ่งจะเป็นเมืองใหญ่ไม่เป็นสองรองจากใครในประเทศ แต่ว่าในยุคนี้ โทรศัพท์มือถือยังคงนับว่าเป็นของใช้ฟุ่มเฟือย ด้านหน้าตู้กระจกที่วางโทรศัพท์อยู่ภายในร้าน ไม่มีคนเข้ามาสอบถามโดยสิ้นเชิง ทว่าแผงขายเครื่องส่งข้อความอย่างเพจเจอร์กลับขายดีมาก
“ใหญ่เกินไป พกติดตัวจะไม่เกะกะแย่หรือ?”
ขณะที่มองยังโทรศัพท์จำนวนไม่กี่เครื่องในตู้ เยี่ยเทียนก็เผลอขมวดคิ้วขึ้นมา แม้ว่าโทรศัพท์มือถือพวกนี้จะเล็กกว่าของที่พ่อใช้ค่อนข้างมาก แต่เยี่ยเทียนยังไม่รู้สึกพอใจเท่าไหร่
แม้เสียงพูดของเยี่ยเทียนจะแผ่วเบา แต่ก็ยังเข้าหูพวกป้าๆ ที่กำลังแทะเม็ดก๋วยจี๊อยู่ข้างหลังตู้ พวกเธอใช้สายตาเหยียดหยามเหลือบมองเยี่ยเทียน ถ่มเปลือกเม็ดก๋วยจี๊ในปากทิ้ง พูดขึ้น “นี่ พูดอย่างนั้นได้ยังไง? โทรศัพท์เครื่องนี้ถือว่าเล็กแล้ว ทนทานกว่ารุ่นปีก่อนๆ ตั้งเยอะ ซื้อไม่ไหวก็อย่ามาเตร็ดเตร่แถวนี้……”
คนที่เคยไปปักกิ่งเมื่อหลายปีก่อนต่างรู้กัน ว่าชนชั้นแรงงานให้ความสำคัญกับตัวเองเป็นหลัก ในสมองของพวกเขาไม่ได้มีความคิดเหมือนอย่างทางใต้ว่าลูกค้าคือเทพเจ้า ต่อให้ซื้อเยอะก็ไม่มีลดราคา คุณจะซื้อหรือไม่ ท่าทีนั้นไม่ต่างกันเท่าไหร่
ในอดีตยังมีเรื่องขำขัน ว่าพนักงานขายในห้างสรรพสินค้า หากวันไหนไม่ทะเลาะกับชาวบ้านสักแปดถึงสิบครั้ง ผู้จัดการก็ชมเชยแล้ว จะเห็นได้ว่าอุตสาหกรรมการบริการในเมืองซื่อจิ่วมีท่าทีที่แย่มาก
เยี่ยเทียนอาศัยอยู่ในปักกิ่งมาสองสามวันแล้ว รู้นิสัยใจคอคนทำงานประจำพวกนี้ดี จึงไม่นึกโกรธ เขายิ้มกล่าว “พี่สาว มีเล็กกว่านี้สักหน่อยไหมครับ?”
ปกติเยี่ยเทียนชอบใส่ชุดฝึกวิชาสีขาวที่สุด ชุดอย่างนั้นมีกระเป๋าเพียงตำแหน่งเดียว เมื่อใส่กระเป๋าสตางค์เข้าไปแล้ว ก็ยากจะใส่มือถือเข้าไปได้อีก
โบราณเขาว่าคนเงื้อมือไม่ตบคนยิ้ม แม้จะหยุดแทะเม็ดก๋วยจี๊ของตัวเองแล้ว เจ๊อ้วนคนนั้นก็ยังชี้มือชี้ไม้มาทางตู้โชว์อย่างขอไปที บอกว่า “มีรุ่นใหม่อยู่เครื่องหนึ่ง อีริคสัน768 แต่ไม่มีสินค้า เธอรออีกสองวันค่อยมาแล้วกัน……”
ในยุคนั้นคนที่มาดูโทรศัพท์มือถือ เก้าในสิบคนที่มาถามจะไม่ซื้อ เจ๊อ้วนเห็นเยี่ยเทียนไม่น่าอายุเกินยี่สิบอย่างนั้น จึงไม่เห็นเขาสำคัญแม้แต่น้อย
“พี่สาว ผมอยากซื้อจริงๆ พี่ดูหน่อยว่ายังมีเก็บในสต็อกอยู่ไหม?”
เยี่ยเทียนรู้เล่ห์กลกักตุนสินค้าพวกนี้ ที่ว่าไม่มีสินค้า ความจริงคือถูกคนภายในเอาออกไปแล้ว ขอเพียงยินดีจ่าย อยากได้เท่าไหร่ก็มีคนขายให้
“เธอจะซื้อจริงเรอะ?” เจ๊อ้วนโยนเม็ดก๋วยจี๊ในมือลงบนกระดาษหนังสือพิมพ์ จ้องพิจารณาเยี่ยเทียนอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“ซื้อแน่นอน ผมหรือจะกล้าทำให้พี่เสียเวลา?”
เยี่ยเทียนแค่นหัวเราะออกมาหนึ่งเสียง ปฎิรูปเศรษฐกิจจีนมาเกือบยี่สิบปีแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะซื้อของยังต้องมาขอร้องคน ทำให้เขารู้สึกเหมือนย้อนกลับไปราวยุคที่ยังใช้ตั๋วแลกอาหารในปี 80
ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว เจ๊อ้วนก็ไม่ได้ทำให้เยี่ยเทียนลำบากใจอีก ชี้ไปยังชายผอมแห้งที่นั่งยองๆ อยู่ตรงบันไดหน้าประตู พูดขึ้น “ได้ เธอไปซื้อกับเขา แล้วเดี๋ยวมาเลือกเบอร์……”
“ขอบคุณครับ……”
เยี่ยเทียนพบว่า ขณะที่ตนเองพูดคุยกับพนักงานขาย ชายผอมแห้งคนนั้นมองมาทางนี้อย่างลุกลี้ลุกลน ในใจพลันกระจ่างขึ้นมาทันที ในร้านค้าไม่มีของ ทว่าคนในมี ก็สามารถหาคำตอบได้แล้ว
แต่ว่าเส้นทางธุรกิจแต่ละประเภทล้วนมีหนทางทำกินของตัวเอง เยี่ยเทียนไม่อยากใส่ใจ เดินไปหาคนนั้นที่อยู่หน้าประตูแล้วถามขึ้น “พี่ชาย รุ่นนั้นที่เล็กที่สุด เอ่อ อีริคสัน768น่ะ พี่มีของไหม?”
“เฮ้ คุณมาหาถูกคนแล้ว มีสี่สี อยากได้สีไหนล่ะ?”
ใบหน้าของชายคนนั้นเผยความยินดี โทรศัพท์มือถือพวกนี้ขายในราคาเจ็ดพันกว่า เขาบวกราคาขึ้นอีกนิดหน่อย ถึงแม้จะต้องแบ่งส่วนให้กับที่ทำการไปรษณีย์ ก็ยังได้หลายร้อย
“สีน้ำเงินครับ ราคาเท่าไหร่? ดูสินค้าได้ที่ไหน?” เดิมทีใจเยี่ยเทียนอยากได้สีดำ แต่ว่าเขาเพิ่งเห็นจากตู้โชว์ว่าในสี่สีล้วนไม่มีสีดำ จึงเปลี่ยนใจเลือกสีรองลงมาเป็นสีน้ำเงิน
“สีน้ำเงินราคาเจ็ดพันแปดร้อยหยวน……” ชายผู้นั้นมองกระเป๋ากางเกงชุดฝึกวิชาของเยี่ยเทียนอย่างสงสัย กระเป๋าเงินที่อยู่ข้างในคงใส่เงินเยอะขนาดนั้นไม่ได้หรอกกระมัง?
เยี่ยเทียนมองไปรอบทิศ พบว่าด้านข้างมีตู้เอทีเอ็มอยู่ จึงพยักหน้า เอ่ยขึ้นทันที “ตกลง พี่ไปเอาเถอะ ผมจะไปถอนเงินเดี๋ยวนี้!”
“คุณรอสักครู่ ห้านาที แค่ห้านาทีก็เอามาได้แล้ว!” พอเห็นว่าเยี่ยเทียนต้องการซื้อจริงๆ คนผู้นั้นก็ดีอกดีใจ วันนี้นับว่าเป็นวันที่ดาวนำโชคส่องแสง ตกลงการค้าได้สำเร็จตั้งแต่เช้าตรู่
เห็นคนผู้นั้นจากไป เลี้ยวยังตรอกเล็กด้านหลังร้านค้า เยี่ยเทียนก็ถอนเงินออกมาหนึ่งหมื่นหยวนจากตู้เอทีเอ็ม นับออกมายี่สิบสองใบแล้วถือเอาไว้ในมือ
“พี่ชาย ดูสิ ยังไม่แกะกล่องเลย รับประกันว่านำเข้ามาทั้งหีบห่อ ใบรับประกันกับใบเสร็จอยู่ข้างในหมด……” คนผู้นั้นกลับมาค่อนข้างเร็ว เยี่ยเทียนถอนเงินออกมาเสร็จ เขาก็ถือถุงเดินมาหาแล้ว
“โอเค คุณนับเงินนี่นะ ผมจะไปทำบัตร……”
เยี่ยเทียนรู้ว่านี่คือรูปแบบการทำงานของที่ทำการไปรษณีย์ สินค้าไม่ปลอมแน่นอน จึงรับถุงมาแล้วส่งเงินในมือให้
คราวนี้เมื่อเยี่ยเทียนกลับไปยังตู้โชว์อีกครั้ง ใบหน้าเจ๊อ้วนคนนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ตั้งอกตั้งใจเลือกเบอร์โทรศัพท์ที่มีเลข1390แถมท้ายด้วย888 แน่นอนว่าเบอร์นี้ราคาย่อมไม่ถูก จึงรับเงินจากเยี่ยเทียนไปเต็มๆ อีกแปดร้อยหยวน
ท่ามกลางสายตาริษยาของพวกคนที่ซื้อเพจเจอร์ เยี่ยเทียนคว้าโทรศัพท์มือถือเดินออกมา แต่เขาพบว่าแทบทุกคนที่เดินอยู่บนถนนต่างก็ใช้สายตาอิจฉาริษยาจ้องตรงมายังเขา ทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจที่จะใช้โทรศัพท์ตรงนั้น
จนกระทั่งเดินออกห่างจากบ้านคนมายังสวนสาธารณะเล็ก ๆ ไม่ไกลแห่งหนึ่ง เยี่ยเทียนจึงกดเบอร์โทรของพ่อ แล้วบอกหมายเลขนี้กับพ่อ
“ชิงหย่า นี่เบอร์โทรศัพท์ผม เธอบันทึกเอาไว้นะ!” โทรศัพท์ครั้งที่สอง แน่นอนว่าเยี่ยเทียนต้องโทรหาชิงหย่า
“เยี่ยเทียน น่าจะให้เธอซื้อโทรศัพท์ตั้งนานแล้ว เยี่ยมไปเลย วันนี้มีเรื่องจะเล่าให้เธอฟังพอดี……”
เสียงที่ดังมาจากโทรศัพท์ออกจะตื่นเต้น แต่ว่าจากนั้นก็ห่อเหี่ยวลงเล็กน้อย เอ่ยว่า “ช่างเถอะ ตอนนี้ฉันกำลังทำงาน เย็นนี้เธอมารับฉันหน่อยนะ ค่อยเบาใจหน่อย!”
“เอ๋ เอ๋?”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น ฝั่งชิงหย่าก็วางสายเสียแล้ว แต่ว่าแปดหรือเก้าในสิบก็คงเป็นเรื่องของหัวหน้าฉีคนนั้น เยี่ยเทียนไม่ได้คิดอะไรมาก ก้าวเดินต่อแล้วเลี้ยวกลับเรือนสี่ประสาน
“ป้าครับ เงินนี่ให้ป้านะ ไปซื้อปลาให้คุณอากินหน่อย ซื้อปลาน้ำจืดล่ะ อย่าซื้อปลาทะเล……”
พอกลับถึงบ้าน เยี่ยเทียนก็เอาเงินกว่าพันหยวนส่งให้กับเยี่ยตงหลัน ตอนนี้ภายในบ้านมีคนป่วยอยู่สองคน ลำพังค่าข้าวในแต่ละวันจึงไม่น้อยเลย
“ป้ามีเงินอยู่ แกเป็นเด็กยังไม่ทำงาน เอาเงินมาให้ป้าทำไม?” คุณป้าจ้องมองเยี่ยเทียนอย่างไม่สบอารมณ์นัก กล่าวต่อ “แกเอาเงินนี่เก็บไว้เป็นเงินสำรองตัวเองเถอะ ผู้ชายน่ะออกจากบ้านต้องมีเงินติดตัว”
คุณป้าในอดีตก็มาจากครอบครัวชนชั้นสูง ในความคิดจึงไม่มีความเคยชินเรื่องการมัธยัสถ์หมั่นเพียรเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งธุรกิจของเยี่ยตงผิงก็ทำเงินได้ เวลากินดื่มปกติจึงเลือกของดีเป็นพิเศษเสมอ
“ป้าครับ ผมมีเงิน นี่เป็นเงินที่เหลือจากซื้อมือถือ……”
เยี่ยเทียนรู้จักนิสัยป้าใหญ่ดี ว่าไม่เคยเห็นเงินทองเป็นเรื่องใหญ่มาแต่ไหนแต่ไร หากเปลี่ยนเป็นพ่อเขาเห็นโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่นี้ ไม่แน่ว่าอาจจะสวดส่งเขาเป็นชุด
เยี่ยเทียนย้ายม้านั่งเล็กมานั่งข้างป้าสะใภ้เพื่อช่วยเธอลอกเปลือกถั่วลันเตา แล้วถามขึ้น “จริงสิ ป้าสะใภ้ ที่พักที่ป้าหาให้ผม หาที่เหมาะสมได้หรือยัง?”
แม้ว่าเยี่ยเทียนเองจะมีความสุขที่ได้อยู่ร่วมกับครอบครัวอย่างอบอุ่นแต่หากตัวเองยังไม่สามารถจัดการปัญหา พื้นฐาน ความต้องการในชีวิตได้ ก็ควรรักษาระยะห่างจากครอบครัวไว้ดีกว่า หากเขาเกิดมาภายใต้ดาวอับโชคล่ะ?
“เจ้าเด็กคนนี้ อยู่ด้วยกันกับครอบครัวออกจะดีไม่ใช่หรือ? รอไว้ถึงเวลาแต่งงานค่อยย้ายออกก็ยังไม่สาย…….”
คุณนายใหญ่ไม่ค่อยพอใจกับเรื่องหาห้องพักให้เยี่ยเทียนนักแต่เธอรู้ว่าหลานตนเองคนนี้มีความคิดเป็นของตัวเองตั้งแต่เด็ก ช่วงนี้เธอก็ช่วยเยี่ยเทียนเสาะหาอยู่
“ถ้าพูดถึงเรือนสี่ประสาน นับว่าโดยรอบเขตพระราชวังดีที่สุด เรือนตะวันออกบ้านเหล่าหวังก็เหมาะสมดี ลูกชายเขาไปเป็นเศรษฐีที่ประเทศอเมริกาเมื่อปี 85 กำลังเตรียมรับไปอยู่ทั้งครอบครัว……”
คุณนายใหญ่มองเยี่ยเทียน แล้วว่าต่อ “แต่ว่าเรือนสี่ประสานขนาดใหญ่นั่น แกอยู่คนเดียวจะกว้างไปหรือเปล่า? อีกอย่างข้างในมีคนเช่าอยู่ไม่น้อย ล้วนเป็นครอบครัวเก่าอยู่กันมายี่สิบสามสิบปีแล้ว ไล่ออกไปคงไม่ดีหรอก!”
ก่อนจะมีการควบคุมประชากร จำนวนพลเมืองไม่ว่าเมืองไหนๆ ในประเทศล้วนมีปริมาณสองเท่า ปักกิ่งเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น คนพวกนี้จำนวนมากไม่มีที่อยู่ รัฐบาลเองจะไม่สนใจก็ไม่ได้ ดังนั้นบ้านส่วนตัวมากมายในอดีต จึงแออัดไปด้วยครอบครัวจำนวนไม่น้อย
ถึงแม้ว่าสิทธิ์ครอบครองทรัพย์สินตัวบ้านจะเป็นของเอกชน แต่ว่าคนพวกนั้นอยู่กันมายี่สิบสามสิบปี แถมยังทำเหมือนบ้านหลังนั้นเป็นของตัวเอง ดังนั้นพอเข้าสู่ยุค90 จึงกลายเป็นคดีความมากมาย
เจ้าของบ้านแม้สามารถยืนยันได้ว่าเป็นของตนเอง แต่เหล่าผู้เช่าก็รู้จักเจรจา ตอนนั้นรัฐบาลเป็นคนจัดหาที่พักให้ตัวเอง ตอนนี้จะให้ย้ายไปก็ย่อมได้ แต่ต้องหาบ้านใหม่ให้อีกสิ?
หากใครรั้งอยู่ไม่ยอมไป เจ้าของบ้านก็จนปัญญา ด้วยเหตุนี้ปัญหาจึงยืดเยื้อต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด ดูเหมือนว่าเรือนสี่ประสานทุกหลังล้วนมีปัญหาอย่างครอบครัวเหล่านี้
จะไล่คนที่อยู่มานานพวกนั้นออกไป ก็เหมือนกับการตะกายขึ้นท้องฟ้า ใครจะยอมปล่อยห้องที่จ่ายเพียงไม่กี่สิบหยวนแล้วไปเช่าห้องข้างนอกล่ะ? อีกอย่างไม่กี่สิบหยวนนี่คือหน่วยงานเป็นคนให้ จึงไม่แตกต่างอะไรกับบ้านส่วนตัวเลย
หลายปีก่อนคุณนายใหญ่ทำงานอยู่ที่ทำการชุมชน จัดการปัญหาพวกนี้มาไม่น้อย เข้าใจเรื่องภายในประตูบ้านพวกนี้ดี
หลังอธิบายเรื่องยุ่งยากภายในให้เยี่ยเทียนฟังแล้ว ป้าสะใภ้ก็เอ่ยปากต่อ “เยี่ยเทียน เหล่าหวังเองก็ให้ราคาไม่ต่ำ ต้องการถึงแปดแสนเชียว ป้าว่า……แกซื้อบ้านชานเมืองไว้ใช้สำหรับตอนแต่งงานดีกว่า เวลาปกติก็อยู่ที่นี่ บ้านเราหลังนี้ให้อยู่ถึงเจ็ดแปดคนก็ยังไม่นับว่ามากนะ”
“แปดแสนผมก็ยังซื้อไหว ป้าสะใภ้ ตอนบ่ายป้าพาผมไปดูที ถ้าเหมาะสมเราก็ค่อยซื้อ แต่ว่าพวกเรื่องขั้นตอน ป้าต้องช่วยผมจัดการนะ……”
สำหรับราคานี้เยี่ยเทียนยังพอรับได้ อีกอย่างเขาซื้อบ้านใหญ่หลังนี้ เพราะมีเจตนาจะใช้ภายในใจ