หลังจากที่เสียงสวดมนต์บทสุดท้ายของเยี่ยเทียนกล่าวออกไป เมฆทะมึนบนท้องฟ้าก็มลายสลายราวกับปาฏิหารย์ เหมือนว่าสายฟ้าแปลบปลาบเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เกราะกำบังไร้รูปหนึ่งชั้น ก็เข้ามาห่อหุ้มเรือนสี่ประสานอีกครั้ง
“แม่เอ๊ย โชคดีทีไม่ผ่ามาใส่เรา ไม่อย่างนั้นชีวิตน้อย ๆ คงจบกันแน่!” เยี่ยเทียนที่นั่งอยู่บนพื้นหน้าซีดเผือด มองยังท้องฟ้าด้วยหัวใจหวาดหวั่น นึกกลัวว่าถ้าสวรรค์ไม่พอใจขึ้นมา เดี๋ยวจะฟาดสายฟ้าลงมาอีกรอบ
ที่สำคัญ แม้ฟ้าผ่าเมื่อครู่เยี่ยเทียนไม่ได้เป็นสื่อกระแสไฟฟ้า แต่กลับเป็นเยี่ยเทียนที่เหนี่ยวนำลงมา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแม้การฝึกฝนของเขาถึงขั้นฝึกลมปราณให้กลายเป็นพลังวิญญาณได้แล้ว ก็ยังไม่สามารถต้านทานพลังแห่งฟ้าดิน
เงยหน้าขึ้นเห็นอวี๋ชิงหย่ายืนอยู่กลางวงเวท ใช้มือน้อยอุดปากอย่างแนบแน่น เยี่ยเทียนก็ยิ้มแย้ม โบกมือกล่าว “ชิงหย่า ไม่เป็นไรแล้ว เธอออกมาได้แล้วล่ะ!”
“เยี่ยเทียน นาย……นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว อวี๋ชิงหย่าก็วิ่งออกมาจากวงเวท พอถึงตัวก็กอดเยี่ยเทียนนิ่ง เผลอตัวร้องไห้เสียงดังออกมา
แม้จะรู้ว่าเยี่ยเทียนมีเวทมนตร์หายตัวได้ แต่ไม่ว่ายังไงอวี๋ชิงหย่าก็คิดไม่ถึงว่า เยี่ยเทียนจะสามารถดลบันดาลให้ฟ้าผ่า นั่นแทบไม่ต่างจากพลังอำนาจในตำนานและเทพนิยาย เธอตกใจกลัวจนขวัญหาย
เยี่ยเทียนส่ายหัว ใช้มือลูบผมสลวยของอวี๋ชิงหย่า กล่าวว่า “ไม่เป็นไร แค่ถูกพลังย้อนกลับนิดหน่อยเท่านั้น พักสักวันสองวันก็หายแล้ว……”
เทียบกับตอนฝืนลิขิตเปลี่ยนชะตาให้หลี่ซั่นหยวนเจ็ดวันเจ็ดคืนไม่หลับไม่นอนแล้ว เปลี่ยนชะตาให้อวี๋ชิงหย่านับว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ยิ่งตอนนี้เยี่ยเทียนสามารถดึงพลังชี่จากฟ้าดินมาซ่อมแซมร่างกาย เพียงไม่นานก็สามารถรักษาบาดเจ็บให้หายดี
“เยี่ยเทียน……ถ้า ถ้าอย่างนั้นผมของนายจะไม่กลายเป็นสีขาวแล้วใช่ไหม?” อวี๋ชิงหย่าถามด้วยความกังวล เธอรู้เหตุผลที่ผมของเยี่ยเทียนกลายเป็นสีขาวเมื่อคราวก่อน
“ไม่อยู่แล้วล่ะ ชิงหย่า เธอพยุงฉันนั่งทางนั้นหน่อย ฉันอยากพักผ่อนสักนิด!” แม้ว่าอาการบาดเจ็บจะไม่หนักมาก แต่เวลาเยี่ยเทียนสูดลมหายใจ ยังสามารถรู้สึกถึงความเจ็บปวดเล็กน้อยจากอวัยวะภายใน
“ฉัน……ฉันพยุงนายไปข้างในห้องดีกว่า!” ถึงแม้ว่าอุณภภูมิบ้านหลังนี้จะสูงกว่าข้างนอกไม่น้อย แต่อย่างไรเสียตอนนี้ก็ยังเป็นฤดูหนาว นั่งบนเก้าอี้หินก็ยังเยือกเย็นอยู่
เยี่ยเทียนพยักหน้า “ได้ ชิงหย่า เดี๋ยวเธอช่วยเอามีดเล็กเล่มนั้นกับหินหยกในเขตวงเวทเก็บกลับเข้ามาในบ้านที……”
เมื่อใช้ของขลังจัดเรียงวงเวท จะมีการใช้พลังจากของขลัง ของขลังหินหยกสองสามชิ้นนั้นออกจะฝืนกำลังไปสักหน่อย เยี่ยเทียนกลัวว่าหากปล่อยไว้นานไปจะทำให้พลังแห่งโชคลาภข้างในสูญไปจนหมด
หลังกลับเข้ามาในห้อง เยี่ยเทียนก็นั่งขัดสมาธิบนแคร่ไม้ไผ่ที่ใช้เป็นประจำ ไอร้อนกลุ่มหนึ่งลอยขึ้นมาจากจุดตันเถียน อัดแน่นอยู่ตรงช่วงอกระยะหนึ่งแล้วจึงล่องลอยออกไป
ในเวลานั้นเอง จิตวิญญาณฟ้าดินเข้มข้นในเรือนสี่ประสาน กลับกลายราวลำแสงสว่างซึมซาบเข้ามาภายในร่างกายเยี่ยเทียน ฟื้นฟูชีพจรที่บาดเจ็บของเยี่ยเทียน
สองชั่วโมงถัดมา เยี่ยเทียนค่อย ๆ ลืมตาขึ้น พอเห็นอวี๋ชิงหย่าที่นั่งอยู่ไม่ไกลมีสีหน้าวิตกกังวลก็ยิ้มกล่าว “ชิงหย่า ไม่เป็นไรแล้ว!”
“เยี่ยเทียน ฉันเป็นห่วงแทบแย่ ถ้ารู้ว่ามันจะอันตรายอย่างนี้ ฉันคงไม่ให้เธอแก้ไขชะตาแล้ว……” เห็นใบหน้าของเยี่ยเทียนมีเลือดฝาดกลับคืนมา อวี๋ชิงหย่าก็เดินไปยังข้างกายเยี่ยเทียน ค่อย ๆ เอนซุกตัวลงในอ้อมอกของเขา
“หึ ๆ เพื่อชะตาอีกครึ่งที่เหลือของพวกเรา ถึงอันตรายก็ต้องทำ!” เยี่ยเทียนหัวเราะหึ ๆ ประคองร่างอวี๋ชิงหย่าให้ตัวตรง พูดขึ้น “เธอยืนขึ้นสิ ให้ฉันสัมผัสผลลัพธ์หน่อยว่าเป็นอย่างไร”
ระหว่างที่พูดเยี่ยเทียนก็ปลดปล่อยทิศทางขับเคลื่อนพลังชี่ของตนเอง ขณะที่สัมผัสร่างกายของอวี๋ชิงหย่าแล้ว กลับพบว่า ลมปราณเดิมที่คุ้นเคยในร่างกายของอวี๋ชิงหย่า ตอนนี้ได้สลายไปจนหมดสิ้นแล้ว
แทนที่ลมปราณชนิดนั้น กลับทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกเลือนรางไม่แน่ชัด ราวกับความไม่แน่นอนของสวรรค์ ล้วนไร้ซึ่งกฎเกณฑ์
“นี่……คงจะสำเร็จแล้วล่ะมั้ง? ชิงหย่า ตอนนี้เธอรู้สึกยังไงบ้าง?” เยี่ยเทียนไม่เคยแก้ไขชะตาให้กับมนุษย์มาก่อน อีกทั้งไม่รู้ว่าพลิกชะตาแล้วจะกลายเป็นอย่างไร ดังนั้นเยี่ยเทียนเองจึงไม่แน่ใจว่าประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง
อวี๋ชิงหย่าครุ่นคิดชั่วขณะ หลับตาลงสัมผัสดูสักพัก แล้วกล่าวว่า “รู้สึกว่าร่างกายเบาขึ้นกว่าเมื่อก่อนเล็กน้อย เหมือนพันธนาการบางอย่างที่บอกไม่ถูกสลายออกไปแล้ว”
“งั้นก็คงสำเร็จแล้วล่ะ ชิงหย่า เดือนนี้ทุก ๆ อาทิตย์เธอมาอยู่ที่นี่สามวัน สังเกตอาการก่อนสักพักแล้วค่อยว่ากัน!”
จากวิชาลับในความทรงจำ ให้ใช้หินหยกแทนตัวอวี๋ชิงหย่า แล้วนำการขับเคลื่อนพลังชี่แปดอักษรใส่ไปข้างใน ภายในระยะเวลาไม่นาน ก็จะสามารถปกปิดลิขิตสวรรค์ ทำให้ไม่อาจแยกแยะถูกผิด
ในขณะเดียวกัน เยี่ยเทียนก็ใช้วิชาลับ สะบั้นสายใยเชื่อมโยงระหวางหินหยกและสวรรค์ แต่สวรรค์ไร้น้ำใจ ไยจะยอมให้คนปรับเปลี่ยนเส้นทางโคจรได้อย่างง่ายดายเล่า?ดังนั้นจึงนำมาซึ่งสายฟ้าแห่งสวรรค์พิโรธ ทำให้หินหยกที่เป็นตัวแทนอวี๋ชิงหย่าแตกสลายกลายเป็นผุยผง
แต่ผู้ได้รับแรงพิโรธจากสวรรค์กลับไม่ใช่อวี๋ชิงหย่า ทว่าเป็นหินหยกแทนตัวของอวี๋ชิงหย่าชิ้นนั้น ดังนั้นหากว่ากันตามหลักการแล้ว ตัวตนของอวี๋ชิงหย่า เวลานี้จะไม่อยู่ภายในเส้นทางโคจรแห่งสวรรค์อีกต่อไป..
หากใช้คำพูดของนักทำนายสมัยโบราณ ก็คือหลุดพ้นจากทั้งสามโลก ไม่อยู่ในเส้นทางทั้งห้า อวี๋ชิงหย่าจะไม่ถูกสกัดกั้นด้วยขนบทางโลก ไม่เกี่ยวพันด้วยเรื่องบนพิภพ ไม่โดนควบคุมด้วยกฎแห่งสวรรค์อีกต่อไป!
“เยี่ยเทียน งั้น……งั้นนี่ก็หมายความว่า พวก……พวกเราสามารถแต่งงานกันได้แล้วเหรอ?” ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้วใบหน้าของอวี๋ชิงหย่าก็แดงซ่านขึ้นมา
“ได้แน่นอนอยู่แล้ว ทำไม รีบร้อนอยากแต่งงานกับฉันขนาดนั้นเชียว?” เยี่ยเทียนยิ้มพลางกอดอวี๋ชิงหย่าในอ้อมแขน ลูบไล้หยอกล้อจนอวี๋ชิงหย่ากระเง้ากระงอดไม่หยุด
แต่ว่าร่างกายยังบาดเจ็บอยู่ แถมเยี่ยเทียนเองก็ยังไม่กล้าฟันธงว่าแก้ไขชะตาสำเร็จ ในที่สุดหลังจากทั้งสองใกล้ชิดกันแล้ว ก็ยังไม่ได้ผ่าเส้นเขตแดนสุดท้ายอยู่ดี
คืนที่อวี๋ชิงหย่านอนหลับในห้องของเยี่ยเทียนนั้น ทำให้ “ปรมาจารย์เยี่ย” ต้องท่องมนต์สงบจิตภายในใจอยู่เนิ่นนานถึงจะหลับสนิท
ในเรือนสี่ประสานของเยี่ยเทียนยังมีโสมและถั่งเฉ้าของบำรุงกำลังเหลืออยู่ ด้วยผลลัพธ์เป็นสองเท่าจากพลังจิตและอาหารบำรุงกำลังภายในบ้าน จุดที่บาดเจ็บภายในร่างกายเยี่ยเทียนจึงฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงวันที่สาม ก็ไม่มีอะไรติดขัดอีกแล้ว
อีกทั้งหลังจากอาการบาดเจ็บของเยี่ยเทียนหายดีแล้ว อวี์ชิงหย่าก็เข้าเรียนพอดี นี่เป็นครึ่งเทอมสุดท้ายของเธอที่มหาวิทยาลัยหวาชิง ยังมีเรื่องอีกมากมายที่ต้องจัดการ
………………
“พ่อว่านะไอ้หนู ตอนนี้แค่หมั้นกันยังไม่ได้แต่งงาน อย่าเพิ่งก่อเรื่องอะไรขึ้นมาเชียว เดี๋ยวถึงเวลาหน้าตาของเหล่าอวี๋กับพ่อจะดูไม่จืด!”
เช้าวันนี้ตอนไปกินข้าวเช้าที่บ้านเก่า เยี่ยเทียนถูกพ่อดึงหู เจ้าหนูคนนี้ชักจะเหลวไหลมากเกินไป พาอวี๋ชิงหย่าไปกกอยู่ในบ้านใหม่ตั้งสามวัน กระทั่งหน้าตายังไม่โผล่มาให้เห็น
ในความคิดของเยี่ยตงผิง หนุ่มสาวมีความยับยั้งชั่งใจต่ำ ทั้งสองคนจะต้องทำพิเรนทร์ต่อฟ้าท้าทายสวรรค์อยู่ข้างในแน่นอน ในฐานะผู้ใหญ่ เยี่ยตงผิงจะไปว่าอวี๋ชิงหย่าก็ไม่ได้ จับตัวลูกชายครั้งนี้ จึงว่ากล่าวขึ้นมาอย่างดุเดือด
เยี่ยเทียนแกะมือพ่อ เหมือนจะหัวเราะก็ไม่ได้จะร้องไห้ก็ไม่ออก พูดว่า “พ่อ เดามั่วอะไรอยู่เนี่ย? ผมแก้ลิขิตพลิกชะตาให้อวี๋ชิงหย่า แถมยังได้รับบาดเจ็บ รักษาตัวอยู่ตั้งหลายวัน ไม่ได้เป็นอย่างที่พ่อคิดนะ……”
“แก้ลิขิตพลิกชะตา? งั้นที่ฟ้าผ่าเมื่อคืนก่อน เป็นแกก่อเรื่องขึ้นมาล่ะสิ? ทำไมแกถึงทำเรื่องแบบนี้ขึ้นมาอีกหา?”
ได้ยินคำพูดของลูกชายแล้ว เยี่ยตงผิงก็วิตกกังวลขึ้นมาทันที ครั้งก่อนแก้ลิขิตพลิกชะตาให้ท่านนักพรตแล้ว ท่าทางอิดโรยของเยี่ยเทียนนั้นยังทำให้เขาเจ็บปวดใจไม่หาย
“พ่อ ไม่เป็นไรหรอก พ่อดูสิผมก็ยังสบายดีไม่ใช่หรือไง”
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว แกต้องรู้จักคิดให้ดีซะบ้าง!”
เยี่ยตงผิงมองพิจารณาลูกชายตัวเองอยู่สักพัก จากนั้นกล่าวว่า “จริงสิ ถ้าแกไม่เป็นอะไรจริง ๆ แล้วล่ะก็ไปพบเหล่าถังหน่อยเถอะ เมื่อวานนี้ตาแก่นั่นมาถึงในบ้านอีกแล้ว แกอย่าทำตัวเสียมารยาทมากนัก!”
บ้านตระกูลเยี่ยในสมัยก่อนถือว่าเป็นตระกูลร่ำรวยใหญ่โต ให้ความสำคัญกับมารยาทอย่างมาก
แม้ว่าเยี่ยตงผิงจะไม่มีอะไรที่ต้องการจากบ้านของถังเหวินหย่วน และไม่จำเป็นต้องไปเอาอกเอาใจเขา แต่ด้วยวัยกว่าเจ็ดแปดสิบปีของอีกฝ่าย ทั้งยังมาแวะเวียนถึงหน้าประตูหลายต่อหลายครั้ง หากเยี่ยเทียนยังไม่ไปอีก จะกลายเป็นว่าตระกูลเยี่ยไม่รู้จักสัมมาคารวะ
เยี่ยเทียนเข้าใจความหมายของพ่อ ส่ายหัวตอบ “พ่อ ไม่ต้องรีบร้อนหรอก ผมตกลงสัญญาไว้ว่าภายในครึ่งปี นนี่เพิงจะผ่านมาได้แค่ห้าเดือนเท่านั้น เป็นเขาที่รีบร้อนเอง ไม่น่าสงสัยเลยว่าพวกเรา……”
เยี่ยเทียนไม่ได้มีความหมายเป็นอื่น เขาแค่อยากจะคอยยันถังเหวินหย่วนเอาไว้ ตาแก่นั่นจะได้ไม่คิดว่าเขาคุยง่าย ภายหลังมีเรื่องหรือไม่มีเรื่องอะไรก็คอยจะมาหาเขา เยี่ยเทียนไม่มีความคิดที่จะต้องไปคอยบริการ
“อย่าพูดแบบนั้น คนอื่นเขาอุตส่าห์มาแล้ว แกเอาแต่หลบไม่ยอมพบหน้ามันเสียมารยาท” เยี่ยตงผิงไม่ค่อยเห็นด้วยกับคำพูดของเยี่ยเทียนเท่าไหร่นัก เขาคาดเดาว่าเจ้าลูกคนนี้จะเก็บงำเจตนาร้ายอะไรไว้น่ะสิ
“พ่อ ไม่เป็นไรหรอก รถใหม่ของพ่อยังตกอยู่กับเขาอยู่เลย หนีเขาไม่รอดหรอก!”
เยี่ยเทียนหัวเราะเสียงดัง เผยความคิดอื่นของตนเองออกมา ตาแก่นั่นร่ำรวยจนไม่รู้ว่าตัวเองมีเงินเท่าไหร่ ดาบครั้งนี้ของเยี่ยเทียนจะไม่ลงแผ่วเบาแน่นอน
เห็นพ่อยังอยากจะพูดต่อ เยี่ยเทียนจึงรีบร้อนยัดซาลาเปาเข้าในปาก เคลื่อนตัวขยับออกไปด้านนอก กล่าวว่า “เอาล่ะ พ่อ วันนี้ผมยังติดธุระอยู่ พรุ่งนี้หรือวันมะรืนค่อยไปหาเขาแล้วกัน”
“ไอ้เด็กบ้า หมอดูน้อยจอมปลอมชัด ๆ !”
เยี่ยตงผิงด่าไล่หลังไปประโยคหนึ่ง แต่เมื่อคิดถึงตอนเด็ก ๆ ที่เยี่ยเทียนช่วยทำนายชะตาดูโหงวเฮ้งให้คนแล้ว ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ตอนนั้นเยี่ยเทียนนับว่าเป็นหมอดูน้อยจอมปลอมจริง ๆ
วันนี้เยี่ยเทียนยังติดธุระอยู่จริงเพราะว่าเมื่อวานเขานัดกับเฉินสี่ฉวนเอาไว้แล้ว วันนี้ต้องไปบ้านพักตากอากาศของเฉินสี่ฉวนเพื่อเยี่ยมเยียนเขา ดังนั้นเรื่องของถังเหวินหย่วนจึงต้องเลื่อนไปเป็นอีกวัน
กลับมาถึงบ้านตัวเองแล้ว เยี่ยเทียนก็เลือกของขลังสิบสองนักษัตรมาชิ้นหนึ่ง เขาเองก็ขี้เกียจจะไปซื้อกล่องมาอีก หลังจากหาผ้าไหมแดงชิ้นหนึ่งมาห่อได้ ก็ยัดลงกระเป๋าเสื้อคอจีน
หลังจากทำเสื้อคอจีนตัวนี้ขึ้นมา เยี่ยเทียนก็ใส่จนรู้สึกคุ้นชินแล้ว เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง กระเป๋ามันเยอะ อย่างน้อยตอนนี้เวลาออกไปข้างนอก นอกจากบัตรเครดิต บนเนื้อตัวก็ยังมีพื้นที่ให้ใส่โทรศัพท์มือถืออีกเครื่อง
พอออกจากบ้านไปเรียกรถ เยี่ยเทียนก็ตรงดิ่งไปยังที่อยู่ที่เฉินสี่ฉวนให้เขาทันที หลังจากที่ถึงบ้านพักตากอากาศ เยี่ยเทียนก็พบกับพนักงานต้อนรับ เมื่อขานชื่อเฉินสี่ฉวนไป เพียงไม่นานเฉินสี่ฉวนก็ออกมาต้อนรับ
“อาเฉิน บรรยากาศบ้านคุณที่นี่ไม่เลวเลย ผมว่าแทบไม่ต่างจากบ้านพักตากอากาศที่ทะเลสาบเทียนฉือเลยสักนิด!”
บ้านพักตากอากาศชานเมืองของเฉินสี่ฉวนหลังนี้ราวกับป้อมปราการโดยแท้ ภายในยังมีโครงการลานสกี ที่สำคัญ กีฬาชนิดนี้ในประเทศไม่ค่อยเป็นที่นิยม คนเล่นจึงไม่เยอะนัก