กลับถึงร้านอาหาร อาหารที่เตรียมไว้ก็เกือบจะหมดแล้ว
หลังจากที่ส่งอาจารย์หยุนหยางและลูกศิษย์ทั้งสองแล้ว เฉินสี่ฉวนชวนเยี่ยเทียนไปที่ห้องชาชิมชา เดิมทีถังเหวินหย่วนอยากหาที่เงียบ ๆ คุยเรื่องบางอย่างกับเยี่ยเทียน แต่ว่าพอเยี่ยเทียนตอบกลับมา เขาก็ทำได้แค่เดินตามไป
“เยี่ยเทียน เรื่องวันนี้ต้องขอบคุณเธอมาก ๆ เลยนะ ถ้าไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าเจ้าปีศาจทะเลนั้นจะทำร้ายใครบ้าง”
หลังจากที่นั่งลงมา เฉินสี่ฉวนแสดงความซาบซึ้งใจต่อเยี่ยเทียนก่อน ในตอนนั้นก็หยิบการ์ดออกมาหนึ่งใบ พูดว่า “เยี่ยเทียน เงินไม่มากมาย มีแค่สองหมื่น แต่ก็ถือว่าเป็นน้ำใจเล็ก ๆ ของลุงเฉิน เธอต้องรับมันไว้นะ”
เดิมทีหวังเจียซุนก็จะให้เงินเยี่ยเทียน แต่ว่าโดนเฉินสี่ฉวนตัดหน้าไปก่อน เขารู้ว่าน้องชายตัวเองนี้เป็นคนที่มีน้ำใจไมตรี ไม่จำเป็นต้องให้เงินต่อหน้า ดังนั้นตอนที่กินข้าวก็ให้คนไปทำบัตรสองหมื่นหยวน
“ลุงเฉิน นี่ลุงทำอะไรเนี่ย”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วก็รู้สึกไม่เข้าใจ ต่อมาใบหน้าก็ขรึมขึ้น พูดว่า “ผมอยู่ที่ภูเขาหิมะพอเวลาเจอเรื่องที่ยากลำบาก ลุงช่วยผมตอนที่ลำบากก็คือต้องการเงินเหมือนกันหรอ”
ใบหน้าที่ตึงเครียดของเยี่ยเทียน บรรยากาศภายในห้องก็ตึงเครียดขึ้นมาทันที คนที่นั่งอยู่ในห้องก็รู้สึกอึดอัดใจขึ้นมา ศิลปินชาที่กำลังเทน้ำชาใส่ถ้วย ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรถึงสั่นไปด้วย
ครั้งแรกของเฉินสี่ฉวนที่เห็นเยี่ยเทียนเป็นแบบนี้ รีบอธิบายไปว่า “เยี่ยเทียน เธอก็รู้ ลุงไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น”
“ไม่ได้หมายความว่าแบบนี้ก็ดี ลุงเฉิน เอาบัตรคืนไป ระหว่างพวกเราจะไม่มีการพูดถึงเรื่องเงิน”
เยี่ยเทียนยิ้มขึ้นมา ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเขานั้น ตอนแรกทำให้ทุกคนรู้สึกอึดอัดใจ ทันใดนั้นความรู้สึกอึดอัดก็ค่อย ๆ หายไป เหมือนกับอาติงคนที่ไม่ได้คิดอะไรอย่างละเอียด เพราะฉะนั้นก็ไม่ได้เอาความกดดันเมื่อกี้มาเชื่อมโยงกันกับเยี่ยเทียน
ผ่านเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ เฉินสี่ฉวนมีความรู้สึกที่แตกต่างในร่างกายของเยี่ยเทียน อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง ในเดือนสองที่เยี่ยเทียนเช่าอยู่ก็สามารถจับเป็นเจ้าปีศาจทะเลได้จากทะเลสาบ ไม่ใช่ว่าคนทั่วไปจะสามารถทำได้
และเฉินสี่ฉวนได้สังเกตเห็นว่า ข้อมือขวาของเจ้าปีศาจทะเลตัวนั้นถูกตัดออก แต่ทว่าเขาก็ไม่เห็นอาวุธมีคมอะไรบนตัวของเยี่ยเทียนเลย ท่าทีที่ส่อให้เห็น เยี่ยเทียนก็แค่คนธรรมดาทั่วไป
เป็นเพื่อนกับคนประเภทนี้ ถือว่าปล่อยให้เป็นตามธรรมชาติดีกว่า ดังนั้นเมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว เฉินสี่ฉวนก็ไม่ได้ถือสาอะไร ก็เก็บบัตรขึ้นมา พูดว่า “ดี เยี่ยเทียน ลุงเข้าใจถึงความมีไมตรีของเธอแล้ว”
หลังจากที่เฉินสี่ฉวนพูดออกไปไม่กี่คำ เยี่ยเทียนมองไปที่ถังเหวินหย่วน ถามว่า “ถังเหล่า ถังเหล่า ท่านนี้คือ”
ตู้เฟยรู้จักเยี่ยเทียนเป็นอย่างดี แต่ว่าเยี่ยเทียนไม่เคยเจอเขา ตู้เฟยมีรูปร่างที่ไม่สูง ในตอนนั้นที่อยู่สโมสรอิงหลันก็จะยืนอยู่ข้างหลังคนอื่นตลอด เพราะฉะนั้นเยี่ยเทียนเลยไม่รู้จักเขา
แต่ว่าเยี่ยเทียนรู้สึกได้ถึงปฏิกิริยาบางอย่างสังเกตได้ไม่ยากผู้เฒ่าที่ผอมแต่มีพลังคอยสังเกตเขาอยู่ตลอดตั้งแต่กินข้าวจนตอนนี้ และการสังเกตนั้นยังทำตามอำเภอใจทำจนเกินไป จึงให้เยี่ยเทียนรู้สึกค่อยไม่พอใจ
“เยี่ยเทียน เขาคือคนจากฝั่งทวีปอเมริกาเหนือ ก็ถือว่าเป็นรุ่นน้องของเธอด้วย”
มีคนอยู่ข้างนอก ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับถังเหวินหย่วนที่จะพูดอย่างตรงไปตรงมา สามารถทำได้แค่ปิดบังตัวตนของตู้เฟย และในตอนที่เขาพูดนั้นก็ตั้งใจมองไปที่เฉินสี่ฉวน
“เยี่ยเทียน พวกเธอคุยกันไปก่อน ฉันออกไปดูสักหน่อย ไม่กี่วันนี้มีเรื่องไม่น้อยเลย”
เฉินสี่ฉวนก็เป็นคนทำที่การค้าขายมาแล้วหลายปี เมื่อได้ยินคำพูดถังเหวินหย่วนนี้ ก็เข้าใจขึ้นมาทันที ถึงแม้ว่าเขากับผู้เฒ่าคนนั้นมีเยี่ยเทียนเป็นรุ่นน้องก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ประหลาดใจอยู่ แต่ก็ยืนขึ้นเพื่อกล่าวคำอำลา
“เอาล่ะ ลุงเฉิน ถ้าอย่างนั้นก็ใช้โอกาสนี้พูดสักคำสองคำ” เยี่ยเทียนพยักหัว “บางเรื่องให้เฉินสี่ฉวนรู้ความจริงก็ไม่ได้ดี อย่าไปคิดว่าตัวเองเป็นสังคมอิทธิพลมืดอะไรนั่นจริง ๆ เลย”
หลังจากที่ส่งเฉินสี่ฉวนออกไป เยี่ยเทียนรู้สึกไม่พอใจพูดออกมาว่า “เฮ้ย ฉันพูดถึงเหล่าถัง ตกลงมันคือเรื่องอะไรกันแน่แกถึงได้ตามมาถึงที่นี้”
จากที่เยี่ยเทียนคิด ถังเหวินหย่วนบอกกับผู้เฒ่านั้นว่าตัวตนของตัวเองที่ช่วยเหลือหงเหมินอยู่ ดังนั้นก็ไม่ปิดบังอีกต่อไป จึงตะโกนฉายาของเหล่าถังออกมา บอกว่าถ้ายึดตามศักดิ์ของตัวเอง ถ้าต้องถูกเรียกว่าปู่เขาก็รับไม่ได้
กับฉายาที่ถังเหวินหย่วนให้กับเยี่ยเทียนก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ในตอนนั้นที่กำลังจะพูด ตู้เฟยก็ยืนขึ้นมาทันที สีหน้าที่ไม่พอใจพูดว่า “เยี่ยเทียน อายุเธอยังน้อย ไม่รู้จักการให้ความเคารพผู้อาวุโสกว่าแล้วแล้วหรอ”
เดิมทีตู้เฟยมีความคิดที่อยู่ในใจเรื่องที่เยี่ยเทียนใช้กลอุบายหลอกลวงถังเหวินหย่วน เห็นเยี่ยเทียนที่พูดจาไม่ให้เกียรติและหยาบคายเช่นนี้ ทันใดนั้นก็รู้สึกทนไม่ไหวขึ้นมาทันที
อีกทั้งตู้เฟยยังรู้ถึงประวัติของตะกูลซ่งอย่างลึกซึ้งอีกด้วย รู้จักสี่ห้าครอบครัว ในความคิดของเขานั้น เยี่ยเทียนคือลูกชายของซ่งเหวยหรัน และก็ถือว่าเป็นรุ่นน้องของตัวเองด้วย เป็นรุ่นพี่ที่ต้องคอยสั่งสอนรุ่นน้อง นั้นก็คือเรื่องของเหตุผลและน้ำใจ
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของตู้เฟย สีหน้าที่เย็นชาของเยี่ยเทียน ก็ไม่ได้สนใจตู้เฟย แต่ทว่ามองไปที่ถังเหวินหย่วน ถามเป็นคำเป็นประโยคว่า “เหล่าถัง ตอนนี้พวกหงเหมินในต่างประเทศ ต่างก็ไม่มีกฎเกณฑ์เช่นนี้”
“พ่อหนุ่ม ให้คนรุ่นฉันหรือผู้ใหญ่ที่บ้านสอนแกเยอะ ๆ หน่อย อะไรที่เรียกว่าทำตามกฎเกณฑ์””
ประวัติของตู้เฟยที่อยู่ในหงเหมินไม่ธรรมดาเลยที่เดียว เขาคือลูกชายของหัวหน้าแกงค์หงเหมิน แต่ว่าพ่อเขาเสียชีวิตไปแล้ว ดังนั้นคนในแกงค์หงเหมินยังให้ความเคารพนับถือกับเขาด้วยเช่นกัน
ถึงแม้ว่าในปีนี้ไล่ตามซ่งอิงหลัน เวลาอยู่ข้างนอกตู้เฟยก็จะถูกเรียกกันปากต่อปากว่าปู่สี่ รับไม่ได้ต่อความผิดพลาดที่ถูกเยี่ยเที่ยนเบียดเบียนการถอนเงินจากธนาคารในตอนนั้นแสดงตัวออกมาทันที มือขวากลายเป็นกรงเล็บ งอนิ้วมือทั้งห้า จิกไปที่ไหล่ของเยี่ยเทียน
จากวันนั้นดูภาพที่บันทึกไว้ตรวจสอบข้อมูลของเยี่ยเทียน ตู้เฟยรู้เลยว่าเยี่ยเทียนมีวิชากังฟู แต่ว่าวิชาพลังกรงเล็บอินทรีของเขาใช้เวลาฝึกมากว่าสิบปีแล้ว สามารถบีบเอาเอ็นกับกระดูกโดยไม่มีพลั้งมือ
อย่าพูดว่าแค่ไหล่ของเยี่ยเทียนเลย ขนาดต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ตู้เฟยก็สามารถจิกต้นไม้ให้หลุดเป็นชิ้น ๆ ได้ เขาสามารถทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกชาและไร้เรี่ยวแรงด้วยกรงเล็บนี้จนอีกฝ่ายต้องร้องขอให้ยกโทษให้
“พลังกรงเล็บอินทรีฉางไป๋ซาน?”
เมื่อเห็นตู้เฟ่ยมือขวาจิกไปที่ไหล่ของตัวเองเร็วเหมือนกับสายฟ้าแลบ เยี่ยเทียนก็ไม่ได้หลบ รอให้พลังกรงเล็บอินทรีของตู้เฟยจิกโดนตัวเองเมื่อไหร่ เขาจะเอนตัวไปด้านหลังและทำให้สามารถหลบกรงเล็บนั้นได้
เยี่ยเทียนก็ยกมือขวาขึ้นมาทันที นิ้วโป้งประกบเข้ากับนิ้วกลาง แล้วดีดกลับไปทางตู้เฟยตอนที่ไม่ทันตั้งตัว
เยี่ยเทียนรู้ว่าตู้เฟยศึกษาตัวเองมาก่อนแล้ว แต่เป็นเพราะว่าเขาเป็นคนที่ชอบลงมือก่อน ดังนั้นก็สามารถดีดไปได้อย่างสบาย เมื่อถูกเยี่ยเทียนดีดใส่นี้ ต่อให้ฝีมือกังฟูที่ตู้เฟยฝึกฝนมากกว่าสิบปีก็ไร้ประโยชน์
พูดความจริงคือ ตู้เฟยอยู่ในยุทธภพมาหลายสิบปี ประสบการณ์ยามประชันหน้ากับศัตรูย่อมต้องเหนือกว่าเยี่ยเทียนอยู่แล้ว
ทันใดนั้นเยี่ยเทียนก็ไปหลบซ่อน แต่ตอนที่เยี่ยเทียนดีดนิ้วออกไปนั้นนิ้วมือยังไม่สัมผัสถูกข้อมือ ผิวหนังก็ค่อย ๆ ปวดขึ้นมา ทันใดนั้นตู้เฟยก็บิดข้อมือ ห้านิ้วกลายเป็นกรงเล็บ หมายความอยากจะจิกนิ้วมือที่ดีดมาของเยี่ยเทียนให้ขาด
ใบหน้าเยี่ยเทียนแสดงรอยยิ้มที่เย็นชา เขาดูกังฟูของฝั่งตรงข้ามออกว่าฝึกจนแข็งแกร่ง นับได้ว่าเป็นคนที่มีวิชาสุดยอดกังฟูขั้นสูงคนหนึ่งเท่าที่ตัวเขาเคยพบเจอ แต่แล้วยังไงเล่า? ยามเมื่อปะทะเข้ากับพลังที่สมบูรณ์ ท่วงท่าในการต่อสู้ก็ไม่ได้สำคัญอะไรเลย
ขณะที่กำลังต่อสู้กันอยู่นั้น ถังเหวินหย่วนไม่มีโอกาสแม้แต่จะเข้าไปห้ามปราม ขณะเดียวกันนิ้วกลางของเยี่ยเทียนก็ปะทะเข้ากับกรงเล็บอินทรีของตู้เฟย
“โอ๊ย…”
ถังเหวินหย่วนก็ไม่คิดว่านิ้วมือของเยี่ยเทียนจะรับกำลังของห้านิ้วได้ เขาหลับตาด้วยความเจ็บปวดทรมาน ถ้าเกิดนิ้วมือของเยี่ยเทียนขาดขึ้นมา ครั้งนี้เขาคงรู้สึกผิดต่อเยี่ยเทียนเป็นอย่างมาก
“นี่…นี่?”
หลังจากที่ถังเหวินหย่วนลืมตาขึ้นมา เขาถึงกับนิ่งอึ้งไปเลย เพราะว่าเยี่ยเทียนยังนั่งอยู่ตรงนั้น หากตู้เฟยกลับถอยห่างจากโต๊ะชาไปสี่ห้าเมตร
“พลังกรงเล็บอินทรีประสานกับเหยี่ยวพลิกตัว ความชำนาญในกังฟูถึอว่าไม่น้อยเลย”
เยี่ยเทียนลุกขึ้นมาและเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งว่า “เจ้าผู้เฒ่าที่ตัวเหมือนเด็ก ทำไมอารมณ์แกถึงได้ฉุนเฉียวขนาดนี้ โตจนป่านนี้ ฆ่าไปแล้วไม่รู้กี่คน วันนี้ก็โดนฉันโค่นกังฟูของแกจนแพ้แล้ว”
เยี่ยเทียนโกรธมากจริง ๆ เขาสามารถรับรู้ได้ถึงพลังกรงเล็บที่ตู้เฟยใช้เมื่อครู่ ถ้าเกิดเปลี่ยนเป็นคนธรรมดาทั่วไป นิ้วกลางของตัวเองอาจถูกอีกฝ่ายหักทิ้งอย่างแน่นอน และผิวหนังของหลังมืออาจถูกจิกออกไป
เยี่ยเทียนกับเขาก็ไม่ได้มีความแค้นต่อกัน แต่ว่าพอตอนลงมือถึงได้โหดเหี้ยมขนาดนี้ พอจะเดาได้ว่าเขาเป็นคนอย่างไร คนที่ฝึกฝนกังฟูมักจะเป็นคนที่อารมณ์ร้อน ที่เยี่ยเทียนระงับมันไว้ก่อนหน้านี้ แต่เวลานี้ ความโกรธมันกลับพุ่งออกมาทันที
เพียงแต่ว่าเยี่ยเทียนไม่รู้ เดิมทีตู้เฟยใช้พลังแค่สองสามส่วน แต่ที่เขาดีดนิ้วมือนั้น เสียงลมที่มีพลัง การดีดออกมาไวเหมือนลูกกระสูน ทำให้ตู้เฟยต้องใช้พลังที่มีทั้งหมดป้องกันไว้
ถึงเป็นเช่นนั้น ตู้เฟยก็ได้รับแรงกระทบจากพลังเหยี่ยวพลิกตัวออกมาทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่อยากจะล้มเยี่ยเทียน
แต่ว่าในยุทธจักรนี้ต้องมีความขัดแย้งเกิดขึ้น ไม่สนว่าใครจะทำผิดต่อใคร มันต้องผ่านการประลองยุทธ์กันถึงจะรู้ เยี่ยเทียนพูดว่าจะล้มกังฟูของตู้เฟยให้ได้ หน้าของเขาเริ่มไม่ไหวแล้ว พูดออกไปว่า “คุณ คุณจะมาล้มกังฟูของผมเรอะ? งั้นก็มาดูว่าคุณจะมีปัญญาหรือเปล่า”
ทันใดนั้นก็รับรู้ได้ถึงพลังของนิ้วมือนั้น แต่ว่าตู้เฟยก็ไม่กลัว กี่ปีที่ผ่านมาเจอเรื่องอันตรายมานับครั้งไม่ถ้วน ฝึกฝนกังฟูจนถึงขั้นสูงสุด มือนี้พรากไปแล้วไม่รู้กี่ชีวิต ไม่มีทางที่จะกลัวเยี่ยเทียนหรอก
“คุณมันก็กล้าลงมืออย่างโหดเหี้ยมกับคนธรรมดาเท่านั้นล่ะ” เยี่ยเทียนก็ไม่พูดให้เสียเวลา สองขาถีบเข้าไป ร่างกายดั่งพญาเสือลงจากเขา ก็โถมเข้าโจมตีไปที่หัวของตู้เฟย
เยี่ยเทียนไม่เคยเรียนกังฟูของสำนักอื่น วิชากังฟูเดียวที่เขาเรียนรู้ก็คือวิชากายบริหารเบญจสัตว์ที่นักบวชเต๋าสอน แต่หลังจากเยี่ยเทียนทำลายพลังที่ควบคุมเอาไว้และเข้าสู่ช่วงพลังสับเปลี่ยน เขาก็รู้สึกได้ว่ากายบริหารเบญจสัตว์นี้ไม่สามารถทำการต่อสู้ได้จริง
เหมือนกับการต่อสู้นี้ของเยี่ยเทียน เขาเงยหน้ามองขึ้นฟ้าก่อน ต่อมาก็ก้มหน้ามองลงพื้น ดั่งเช่นเสือที่หิวโหย พลังกระจายไปทั่วร่างกาย ปิดตายทุกทางซ้ายขวาหน้าหลังเพื่อไม่ให้ตู้เฟยหลบซ่อน จะมีแต่การเผชิญหน้าอย่างเดียวเท่านั้น
ตู้เฟยที่ยืนอยู่ตรงนั้นมองเห็นเยี่ยเทียนท่าทางที่โถมเข้าโจมตี สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที เขามีความรู้สึกเหมือนกับว่ามีพญาเสือลงจากเขาจ้องมองมาที่ตัวเอง ทั่วร่างกายเหมือนโดนพลังของฝั่งตรงข้ามควบคุมไว้
ในเวลานี้ ภายในใจของตู้เฟยมีความรู้สึกเหมือนว่าสัตว์ป่าเผชิญหน้าอยู่กับราชาแห่งสัตว์ร้าย ไม่มีวิธีที่จะต่อต้านและคัดค้านได้เลย
………………