พระราชวังต้องห้ามเป็นสถานที่ที่ฮ่องเต้กว่ายี่สิบสี่พระองค์อยู่อาศัยในราชวงศ์หมิงและชิง ตัวฮวงจุ้ยไม่ต้องพูดถึง เดิมคือเส้นทางพลังมังกรสายหนึ่งทะลุผ่านตลอดทิศใต้จรดทิศเหนือแม้ว่าฮวงจุ้ยของสิ่งก่อสร้างขนาดเล็กบางส่วน จะมีจุดผิดพลาดบ้าง แต่ยังคงการเป็นดินแดนขุมทรัพย์ฮวงจุ้ยอันหาได้ยาก
ที่เยี่ยเทียนเลือกซื้อเรือนสี่ประสานใกล้บริเวณพระราชวังต้องห้ามเป็นเพราะเขามีเหตุผลของตัวเองอยู่ในใจ เพื่อที่เขาจะได้ก่อตั้งค่ายกล เชื่อมต่อพลังชีวิตอันมหาศาลจากภายในพระราชวังต้องห้ามมาหล่อเลี้ยงร่างกายตน
“เยี่ยเทียน แกจะซื้อจริงหรือ?ที่นั่นราคาถึงแปดแสนเชียวนะ ถ้าเป็นเขตชานเมืองสามารถซื้อบ้านเดี่ยวได้เลยทีเดียว……”
ป้าใหญ่ไม่ค่อยเข้าใจการตัดสินใจของเยี่ยเทียนสักเท่าไหร่ เหล่าหวังก็กระตือรือร้นอยากขายบ้านชุดสี่ห้องทิ้งให้ได้โดยเร็ว เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไล่คนที่มาอยู่ฟรีพวกนั้นไปไม่ได้ พอเห็นทุกวันก็รู้สึกรำคาญ
“ป้าสะใภ้ ซื้อมาก็ไม่จนกรอบหรอกเดี๋ยวจะได้ปฏิรูปการเข้าอยู่ในบ้านพักแล้วไม่ใช่หรือ? ประเมินว่าราคาบ้านในปักกิ่งยังสามารถขึ้นได้อีก ตอนนี้ซื้อแปดแสน อีกหน่อยไม่แน่อาจขายได้ถึงแปดล้านเชียวนะ……”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วยิ้มออกมา ถึงแม้ว่าจะลาออกจากมหาวิทยาลัยหวาชิงแล้ว แต่เยี่ยเทียนก็นับว่าเรียนรู้สถาปัตยกรรมมาจากพื้นเพครอบครัว เมื่อมองจากสายตาผู้เชี่ยวชาญ ตลาดราคาวัสดุเพิ่มสูงขึ้นมาตลอด ราคาบ้านที่เพิ่มสูงขึ้นจึงจะต้องขยายตัวจนกลายเป็นกระแสตามมา
รัฐบาลตั้งใจที่จะสนับสนุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ให้มาผลักดันผลิตภัณฑ์มวลรวม แต่เยี่ยเทียนประเมินรัฐบาลต่ำไป เพียงสิบปีให้หลัง บ้านหลังนี้ของเขาไม่เพียงขึ้นราคาแค่สิบเท่า ทว่าราคากลับพุ่งสูงขึ้นไปหลายร้อยเท่าอย่างไม่หยุดยั้ง
“เจ้าเด็กคนนี้ คิดอะไรดีๆอยู่สินะ? ช่างเถอะ ในเมื่อแกอยากดูตอนบ่ายป้าก็จะพาไป แต่ว่าป้าบอกไว้ก่อนนะ บ้านหลังนั้นซื้อมาก็ใช้ได้เพียงครึ่งเดียว พวกที่อยู่กันมานานนั่นไม่ยอมย้ายออกหรอก……”
คนตระกูลเยี่ยนั้นดื้อรั้นกว่าใคร เห็นเยี่ยเทียนตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะซื้อ ป้าสะใภ้ไม่ทักท้วงอะไรอีก จะว่าไปหากซื้อบ้านหลังนั้นไว้ ระยะห่างที่อยู่ก็ใกล้กับที่นี่ จะเดินทางไปมาหาสู่กันนับว่าสะดวกมาก
เมื่อได้ยินคำพูดป้าสะใภ้ เยี่ยเทียนหัวเราะก่อนตอบว่า “ป้าสะใภ้ ผมจะใช้เหตุผลคุยกับพวกเขาเอง พวกเขาคงจะยอมย้ายออก……”
ในฐานะหัวหน้าที่ทำการชุมชน เยี่ยตงหลันคอยประสานความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของบ้านกับผู้อาศัยมาไม่น้อย แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นขัดแย้งกันทั้งสองฝ่าย นับแต่นั้นเธอจึงไม่ยุ่งกับปัญหาพวกนี้อีก
เห็นเยี่ยเทียนมีทีท่าแบบนั้น ป้าใหญ่เผลอยกบวบในมือขึ้นมา เคาะลงบนหัวหลานชาย พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ใช้เหตุผลคุย?หลายปีมานี้ป้าใหญ่ก็ไม่ได้ใช้อย่างอื่นนอกจากเหตุผลคุยกับพวกเขา ยังไม่ยอมย้ายออกกัน เจ้าเด็กคนนี้คิดว่าปัญหามันง่ายดายอย่างนั้นหรือ?”
เยี่ยเทียนลูบหัวตรงที่โดนเคาะพลางตอบว่า “ป้าใหญ่ วางใจเถอะ ต้องมีวิธีแน่……”
“วิธีอะไร? เราคงไม่ทำเรื่องผิดกฏหมายใช่ไหม?เยี่ยเทียน แกคงไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามใช่ไหม?” พอได้ยินหลานชายพูด ป้าใหญ่ก็ตกใจสะดุ้ง เธอรู้ว่าเยี่ยเทียนเป็นมวยวูซู หากยั้งมือไม่อยู่ลงมือกับคนอื่น ต้องเกิดเรื่องวุ่นวายแน่
ที่สำคัญ พวกคนที่ปักหลักไม่ยอมย้ายออกพวกนั้น ล้วนเป็นชาวปักกิ่งมาแต่เดิม ยอมหักไม่ยอมงอ ไม่ต่างไปจากมีดกัดเฟืองสะพานลอย หากแตะต้องพวกเขาเพียงปลายนิ้วอาจก่อให้เกิดเรื่องวุ่นวายกับครอบครัวของคุณไม่จบไม่สิ้น
“ที่ไหนกันเล่า? ป้าสะใภ้ ป้าวางใจเถอะ ผมเป็นคนอย่างนั้นหรือไง?”
เยี่ยเทียนถูกป้าใหญ่พูดใส่หัวเราะก็ไม่ได้ร้องไห้ก็ไม่ออก คนอื่นไม่มีวิธีจัดการกับผู้อยู่อาศัยพวกนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าเยี่ยเทียนไม่มี เขาไม่เชื่อว่าถ้าบ้านหลังนั้นกลายเป็นบ้านผีสิง จะยังมีคนกล้าอยู่อาศัยต่ออีกหรือเปล่า?
“งั้นก็ได้ บ่ายนี้ป้าจะพาแกไปดู……” เห็นเยี่ยเทียนเหมือนมีแผนการอยู่ในใจ ป้าใหญ่จึงยอมตอบตกลง
ป้าใหญ่เองก็มีนิสัยใจร้อน หลังจากกินข้าวกลางวันกันเสร็จก็พาเยี่ยเทียนมายังเขตบ้านหลังนั้น ที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของพระราชวัง
เรือนสี่ประสานที่คนอาศัยอยู่รวมกันประเภทนี้ ประตูทางเข้าเป็นแค่ของตกแต่งทรุดโทรม เมื่อไม่จำเป็นต้องเคาะ เยี่ยตงหลันจึงพาเยี่ยเทียนเดินผ่านทะลุประตูตรงเข้าไป
“เฮ้ ผู้อำนวยการ ไม่ได้เจอกันนานเลย……”
“ป้าเยี่ย แวะมาเยี่ยมเหรอ? กินข้าวกลางวันหรือยัง?”
“พี่เยี่ย ช่วงนี้ยุ่งอะไรอยู่เหรอ? ไม่เห็นพี่ไปเต้นแอโรบิกตอนเย็นเลย……”
ต้องบอกว่าอัธยาศัยของป้าใหญ่ไม่เลวเลย พอเข้าบ้านมา เสียงทักทายก็ดังขึ้นตลอดไม่ขาดสาย หากมองแค่ความกระตือรือร้นเอาใจใส่ของคนพวกนี้ ใครคงนึกไม่ถึงว่าจะเป็นพวกผู้อยู่อาศัยที่เฝ้าปักหลักไม่ยอมไป
ความจริงคนพวกนี้เหมือนกับคนทั่วไปที่เกิดในยุคสมัยที่มีแตกต่างจากอดีต นอกจากความผูกพันในที่อยู่อาศัยแล้ว อีกประการหนึ่งคือหน่วยงานรัฐเป็นผู้จัดสรรให้พวกเขาเข้ามาอาศัยที่นี่ หากจะต้องย้ายออก ทางการกลับไม่ได้สนใจอีก จึงกลายเป็นปัญหาที่สืบเนื่องกันมาเป็นเวลานาน
อีกทั้งคนบางจำพวก ยังมีนิสัยชอบตักตวงผลประโยชน์
คนพวกนี้ไม่ใช่ไม่มีเงินหรือไม่มีบ้านอยู่ แต่เพราะเห็นคนอื่นไม่ย้าย พวกเขาจึงไม่ยอมย้ายตาม ที่อยู่ในบ้านหลังนี้คือคนประเภทนี้ สองสามีภรรยาต่างมีรถขับ แต่ยังปักหลักอยู่กับที่ไม่ยอมไปไหน
เยี่ยตงหลันทักทายคนรอบข้างไปพลาง พาเยี่ยเทียนเดินทะลุทางเดินใต้หลังคา ผ่านสวนดอกไม้อันอุดมไปด้วยพืชพรรณหลากหลาย เดินผ่านประตูกลางอีกหนึ่งครั้งก็มาถึงเรือนด้านใน
“พี่หวัง อยู่บ้านหรือเปล่า?” พอเข้ามาในบ้านแล้ว ป้าสะใภ้ก็ตะโกนร้องขึ้นด้วยเสียงอันดัง
“ผู้อำนวยการเยี่ย คุณมาแล้วหรือ? ผมกำลังพูดอยู่เลยว่าสองวันนี้จะไปหาคุณ……” ชายชราเดินออกมาจากเรือนกลางซึ่งหันหน้าตรงเข้าหาประตูกลาง
ชายชราร่างไม่สูง เส้นผมขาวโพลนตลอดทั้งศรีษะ แต่ว่าหลังตรงอย่างยิ่ง สองตามองคนโดยไม่หลบหลีก เรือนร่างและกระดูกแข็งแรง สามารถมองออกได้ว่าในอดีตเคยเป็นเจ้าคนนายคน
“พี่เหล่าหวัง นี่คือหลานชายฉันเอง เขานี่แหละที่อยากซื้อบ้านหลังนี้ พวกเราไปคุยกันในห้องเถอะ……”
ป้าใหญ่เบาเสียงต่ำลงมาก เธอรู้ว่าคนพวกนั้นที่อยู่อาศัยเรือนข้างหน้าคอยเงี่ยหูคอยฟังบทสนทนาจากข้างใน หากรู้ว่าเหล่าหวังจะขายบ้าน ไม่แน่อาจก่อเรื่องวุ่นวายอะไรก็ได้?
“ได้ ๆ มาคุยข้างใน……”
เหล่าหวังเองรู้ว่าไม่ควรไปยั่วยุคนพวกนั้น พอต้อนรับสองคนเข้ามาในห้องเสร็จก็กล่าวขึ้น “ผู้อำนวยการเยี่ย คุณเองก็เป็นผู้อำนวยการเก่าของเขตนี้ ผมคงปิดบังคุณไม่ได้ เรื่องนี้คุณรู้อยู่แล้ว คนที่อยู่เรือนด้านหน้าและเรือนกลาง ผมไม่มีปัญญาให้พวกเขาย้ายออกจริง ๆ……”
หากเปลี่ยนคนที่มาซื้อ เหล่าหวังอาจจะไม่พูดถึงเรื่องผู้อยู่อาศัยเดิมพวกนั้น แต่ว่าผู้อำนวยการที่ทำการชุมชนมาหาถึงที่ เขารู้ว่าตัวเองปิดบังไม่ได้ จึงเปิดเผยเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา
เมื่อกลางวันเยี่ยเทียนพูดยืนกรานแล้ว ป้าสะใภ้จึงไม่ถือสาเรื่องพวกนั้นอีก เอ่ยปากว่า “พี่เหล่าหวัง เรื่องนี้ฉันรู้ ซื้อมาแล้วก็เหมือนกับซื้อเพียงบ้านด้านหลัง งั้นพี่คิดว่าราคานั้น จะไม่สูงไปหน่อยหรือ?”
เรือนด้านหลังนี้แม้จะมีสวนดอกไม้เล็กน่ารักและมีถึงแปดห้อง บรรยากาศสงบร่มเย็น แต่พื้นที่เล็กกว่าเรือนกลางมาก ที่ป้าสะใภ้พูดจึงนับว่าสมเหตุสมผล
“โธ่น้องสาว ที่พี่จะขายนี่รวมกับเรือนด้านหน้าสองเรือนนะ แปดแสนไม่ถือว่าแพงหรอก หากภายหลังสามารถไล่คนพวกนั้นออกไปได้ ที่อย่างนี้แปดแสนหาซื้อไม่ได้แล้ว……”
ได้ยินคำพูดของเยี่ยตงหลันแล้ว ชายชราก็เรียกร้องหาความเป็นธรรม แต่ป้าใหญ่ไม่หวั่นไหว ก็อดกระซิบกระซาบไม่ได้ “เอาอย่างนี้น้อง ผมจะลดให้แสนหนึ่ง เป็นเจ็ดแสน ถ้าหากตกลง พวกเราก็ไปทำเอกสารกัน ถ้าไม่ตกลง ผมก็จะปล่อยมันไว้อย่างนี้แหละ!”
ความจริงเหล่าหวังก็รู้สึกเสียดายเรือนสี่ประสานหลังนี้ แต่ว่าตอนลูกชายเขากลับมาปีที่แล้ว ด้วยเรื่องกรรมสิทธิ์ในตัวบ้าน เกิดไปวิวาทกับคนอยู่อาศัยพวกนั้นจนได้บากแผลเย็บที่ศีรษะไปเสียหลายเข็ม แล้วกลับอเมริกาไปด้วยความโมโห
นับตั้งแต่นั้นมา เหล่าหวังก็ไม่สามารถคบหาคนเหล่านั้นได้อีก จึงได้ยอมฟังคำพูดลูกชายเตรียมขายบ้านไปอเมริกา
“เสี่ยวเทียน หลานว่ายังไง?”
ได้ยินคำพูดของเหล่าหวังแล้ว เยี่ยตงหลันก็มองไปยังหลานชาย เรื่องนี้เธอไม่ใช่คนตัดสินใจ และเธอก็รู้ว่าเรื่องที่เยี่ยเทียนตัดสินใจแล้วแม้แต่น้องชายตนเองก็ไม่มีสิทธิ์
“เจ็ดแสน?” เยี่ยเทียนพึมพำเสียงต่ำอยู่สักพัก เอ่ยปากตอบ “ตกลง เจ็ดแสนก็เจ็ดแสน ผมซื้อครับ!”
ตั้งแต่เข้ามาในเรือนด้านหน้า เยี่ยเทียนก็คอยแอบสังเกตมาตลอด เพียงมองคร่าวๆก็รู้สึกถูกใจยิ่ง บ้านหลังนี้ถือว่าเยี่ยมยอด หากอยู่ในมือเขา จะจัดการอย่างไรล้วนทำได้ตามใจปรารถนา
สถานที่ตั้งของเรือนบ้านชุดสี่ห้องหลังนี้อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของพระราชวังต้องห้าม ตำแหน่งเกิ้นหรือทิศตะวันออกเฉียงเหนือในคัมภีร์ฮวงจุ้ยเรียกว่า “ประตูผี” ซึ่งเป็นตำแหน่งอัปมงคงที่สุดตำแหน่งหนึ่ง
แต่ว่าในศาสตร์ฉีเหมิน ตำแหน่งนี้กลับเรียกว่า “ประตูเกิด” หรือเรียกอีกอย่างว่า “ประตูกลับ” หรือ “ประตูแพง” อาจารย์ฮวงจุ้ยโดยทั่วไปจะเรียกว่าเป็น “ประตูชี่”
พลังชีวิต พลังความกล้า พลังการเกิด พลังปรารถนา พลังบ้าคลั่ง เหล่านี้ล้วนเป็นการแสดงออก ถึงรูปลักษณ์ของพลังชี่ และทิศเกิ้นตะวันออกเฉียงเหนือนั้นเป็นทิศสับเปลี่ยนพลังหยินหยางพอดี เป็นสัญลักษณ์ของความลึกลับพิสดาร ยุ่งเหยิงไม่หยุดนิ่งและไม่อาจคาดเดา จึงเป็นอีกสาเหตุที่ได้ชื่อว่า “ประตูผี”
สถานที่อย่างนี้ เยี่ยเทียนเพียงใช้กลยุทธ์เล็กน้อยบางอย่าง ไม่ต้องสูญเสียพลังชี่ดั้งเดิม ก็สามารถเปลี่ยนมันให้กลายเป็นบ้านผีสิงอันชวนให้ขนลุกขนพอง ย่นระยะเวลาให้เยี่ยเทียนได้มาก
ในทางกลับกัน หลังจากที่ไล่พวก “ปักหลัก” พวกนั้นออกไปได้เยี่ยเทียนก็จะใช้ศาสตร์ค่ายกลลับที่ได้รับสืบทอดมาในความทรงจำ ขณะเดียวกันก็ยังสามารถใช้ประโยชน์จากลักษณะเฉพาะในการสับเปลี่ยนหยินหยาง ปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นดินแดนขุมทรัพย์ฮวงจุ้ย เวทมนตร์แห่งการประยุกต์ใช้นั้น อยู่ที่ความใส่ใจล้วน ๆ
พอคิดถึงข้อดีในอนาคตเมื่ออยู่ที่นี่แล้ว เยี่ยเทียนก็อยากซื้อบ้านเสียทันที พูดขึ้นขณะล้วงเอาบัตรเครดิตออกมา “ป้าใหญ่ ในบัตรใบนี้ยังมีอยู่อีกเก้าแสนกว่า ป้าดูว่าลุงเหล่าหวังมีเวลาว่างเมื่อไหร่ พวกเราค่อยไปจัดการเซ็นต์เอกสารกันอีกที……”
ก่อนปี 2000 บ้านชุดสี่ห้องยังไม่อนุญาตให้เอกชนซื้อขายกัน แต่ว่าสำหรับเยี่ยตงหลันแล้วไม่เป็นปัญหาอะไร เธอทำงานราชการในระดับล่างมานานนม ย่อมมีเส้นสายกันบ้าง
“ตอนนี้ผมก็ว่าง แต่ว่าเสี่ยวเยี่ย บ้านนี้เธอซื้อไปแล้ว อย่ามาเสียใจทีหลัง หาว่าลุงเหล่าหวังหลอกเธอเชียวล่ะ?”
เหล่าหวังอยากโยนเผือกร้อนในมือนี้ทิ้งเต็มแก่ แต่เพราะเห็นแก่หน้าผู้อำนวยการเยี่ย ถึงได้ออกปากเตือนเยี่ยเทียนสักครั้ง
“ลุงเหล่าหวัง ลุงวางใจได้ เราต่างเป็นเหมือนจิวยี่โบยอุยกาย ฝ่ายหนึ่งยอมโบยฝ่ายหนึ่งยอมทน!”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วก็ยิ้มออก เวลานี้ในใจเขาเบิกบานยินดี ไว้ปรับเปลี่ยนบ้านหลังนี้เสร็จเมื่อไหร่ ฮวงจุ้ยของมันจะเลิศเลอยิ่งกว่าอารามเต๋าแห่งเขาเหมาซาน