ตอนที่ได้พบกับโจวเซี่ยวเทียนคราวก่อน เยี่ยเทียนก็ดูออกแล้วว่า เขามีร่างกายอย่างคนที่ฝึกวรยุทธ เลือดลมไหลเวียนดีอย่างยิ่ง แม้จะไม่ขนาดมีกำลังภายใน แต่ในวัยอย่างเขานี้ ก็เรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งแล้ว
คนประเภทนี้เวลาพูดจาแม้เสียงจะไม่ดัง แต่ฟังแล้วจะรู้สึกว่าน้ำเสียงเปี่ยมด้วยพลัง แต่ตอนนี้เยี่ยเทียนกลับได้ยินว่า เสียงของโจวเซี่ยวเทียนนั้นฟังดูอ่อนแออย่างยิ่ง ประโยคเดียวต้องแบ่งพูดเป็นสองท่อน เหมือนกับคนไม่มีเรี่ยวแรง
“บาดเจ็บมา เรื่องยุ่งมาก!” โจวเซี่ยวเทียนยังคงนิสัยเย็นชาเฉยเมยเหมือนเดิม พ่นคำพูดออกมาทีละคำๆ
“แต่ทำไมผมต้องช่วยคุณด้วยล่ะ? แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าผมจะช่วยคุณได้?” เยี่ยเทียนเริ่มจะนึกฉุนขึ้นมาแล้ว เวลาจะขอให้คนอื่นช่วยก็ต้องพูดเหมือนอยากจะขอให้ช่วยหน่อยสิ พูดมากกว่านี้อีกไม่กี่คำมันจะตายรึไง?
และจะว่าไป ถังเสวียเสวี่ยก็เข้ามาพักอยู่ในบ้านซื่อเหอย่วนแล้ว เจ้าบ้านอย่างเขาจะปล่อยไว้ไม่เหลียวแลเลยก็คงก็ไม่ได้หรอกจริงไหม? ในเมื่อเก็บค่าเช่าบ้านมาวันละหนึ่งล้านแล้ว เยี่ยเทียนก็ต้องบริการให้สมราคาหน่อยสิ
“คุณช่วยผมได้ ผมรู้ดีน่ะ!” พอได้ยินเยี่ยเทียนพูดอย่างนั้น โจวเซี่ยวเทียนก็เริ่มมีน้ำเสียงตื่นเต้นขึ้นมา แถมคราวนี้ยังพูดออกมาได้ตั้งแปดพยางค์
เยี่ยเทียนตอบอย่างไม่เกรงใจสักนิด “ถึงผมจะช่วยคุณได้ แต่ทำไมผมจะต้องไปช่วยคุณด้วยล่ะ? คุณน่ะใช้ศาสตร์ที่ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษไปปล้นสุสาน ผมกับคุณไม่ได้เดินสายเดียวกันหรอกนะ…”
คนโบราณให้ความสำคัญแก่ฮวงจุ้ยเรือนหยินเป็นอย่างยิ่ง ตั้งแต่บุคคลระดับสูงอย่างเจ้าแผ่นดินหรือแม่ทัพนายพล ไปจนถึงไพร่ฟ้าประชาชน ต่างก็หวังที่จะหาตำแหน่งหยินที่ดีเยี่ยมไว้สำหรับก่อสุสานกันทั้งนั้น เพื่อคุ้มครองลูกหลานให้ได้อยู่อย่างสงบสุขและเจริญก้าวหน้า ดังนั้นในสมัยโบราณ อาชีพซินแสฮวงจุ้ยนี้จึงเป็นที่ต้องการอย่างยิ่ง
แต่ก็มีซินแสฮวงจุ้ยบางคนที่จิตใจคิดคด นำสิ่งที่เรียนรู้มาไปใช้อย่างทุจริต ร่วมมือกับพวกโจรขโมยเสี่ยงเข้าไปขุดสุสานของบรรพชน
ซินแสฮวงจุ้ยรู้วิธีสังเกตพลังในธรรมชาติ เวลาไปปล้นสุสานจึงย่อมง่ายดายและแม่นยำกว่าคนธรรมดาอยู่แล้ว และพวกเขายังสามารถหลบหลีกกระแสพลังพิฆาตภายในสุสานได้อีกด้วย เคราะห์ร้ายจึงไม่อาจกล้ำกรายมาถึงตนได้
แต่คนเหล่านี้ในท้ายที่สุดแล้วก็มีอยู่ไม่กี่คนที่จะมีจุดจบที่ดี สาเหตุก็อย่างที่ภาษิตว่าขึ้นภูเขาบ่อยครั้งสุดท้ายก็จะต้องเจอเสือ คนพวกนี้เข้าใจว่าตัวเองมีความสามารถสูงส่ง กลับไม่รู้ว่าในโลกนี้ยังมีสิ่งที่พวกเขาไม่อาจแตะต้องได้อยู่
ตามความคิดของเยี่ยเทียน โจวเซี่ยวเทียนก็คงจะเป็นอย่างนั้น ในสุสานบางแห่งเป็นที่ที่อันตรายอย่างยิ่ง อย่าว่าแต่เขาที่มีแค่เข็มทิศฮวงจุ้ยกับเครื่องรางคุ้มกายเลย ต่อให้เป็นซินแสในสมัยโบราณที่มีอาคมแก่กล้า ก็มักจะต้องพบจุดจบในสถานที่แบบนี้กันทั้งนั้น
คำพูดของเยี่ยเทียนทำให้โจวเซี่ยวเทียนเงียบขรึมไป ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังจะวางสายโทรศัพท์ ทันใดนั้นเสียงของอีกฝ่ายก็ดังมาจากปลายสาย “ในนั้นมีของที่คุณอยากได้อยู่ ผมเอาออกมาไม่ได้ กลับทำให้พลังพิฆาตรั่วออกมาแทน ถ้าคุณไม่มา ที่นี่คงถึงคราวพินาศแน่!”
“โธ่เว้ย นี่แกทำอะไรลงไปเนี่ยหา?”
พอได้ยินโจวเซี่ยวเทียนพูดดังนั้น เยี่ยเทียนก็เครียดขึ้นมาทันที อ้าปากด่าออกไปว่า “แก…แกนี่มันมีปัญญาอยู่แค่นี้ ยังจะกล้าไปทำเรื่องแบบนั้นอีกนะ”
สาเหตุที่เยี่ยเทียนเครียดขนาดนี้ เป็นเพราะเขารู้ว่า สุสานหรือสถานที่ที่เป็นหยินมากๆ บางแห่ง มักจะมีกระแสพลังพิฆาตสะสมอยู่อย่างหนาแน่น
แต่เพราะข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ พลังพิฆาตเหล่านี้จึงไม่รั่วออกสู่ภายนอก ขอเพียงไม่ไปเข้าใกล้ที่นั่น ก็จะไม่เกิดอันตรายใดๆ ต่อคนและสัตว์
แต่ถ้าในระหว่างการปรับพื้นที่เพื่อก่อสร้างหรือการขุดสุสานเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมาครั้งหนึ่ง จนทำให้โครงสร้างฮวงจุ้ยเดิมของที่นั่นเปลี่ยนไป ก็จะส่งผลให้กระแสพลังพิฆาตรั่วออกมา อย่างเบาก็อาจทำให้พื้นที่แถบนั้นในรัศมีหลายร้อยเมตรปลูกพืชอะไรไม่ขึ้นอีกเลย อย่างหนักก็อาจทำให้คนเสียชีวิตโดยที่หาสาเหตุไม่พบ
อย่างตอนแรกที่เยี่ยเทียนซื้อเรือนหลังนี้มา แล้วทำพิธีเปิดประตูผีนั้น ที่จริงแล้วเขาทำตั้งใจจะปล่อยให้พลังพิฆาตที่สะสมอยู่ในวังต้องห้ามมาหลายร้อยปีรั่วออกมา แต่เพราะเขาควบคุมพลังนั้นให้อยู่ในบ้านหลังนี้ สิ่งแวดล้อมบริเวณนั้นจึงไม่ได้รับผลกระทบใดๆ
ในช่วงปลายทศวรรษที่ 80 เยี่ยเทียนเคยท่องทัศนาจรกับอาจารย์ไปถึงหมู่บ้านบนภูเขาแห่งหนึ่ง และพบว่าเด็กที่เกิดที่นั่นทุกคนต่างก็เป็นโรคแคระแกร็นโดยกำเนิด แม้แต่เด็กที่เกิดจากสตรีที่แต่งออกไปนอกหมู่บ้านก็เป็นโรคนี้เหมือนกัน
ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเป็นเวลาเจ็ดแปดปีแล้ว หน่วยงานในท้องที่นั้นก็เคยยื่นเรื่องขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลแล้ว และก็เคยมีผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์จากทั้งในประเทศและต่างประเทศหลายคนมาสำรวจและเก็บตัวอย่างไป แต่ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ ในน้ำและดินหรือสภาพแวดล้อมในท้องถิ่นเลย สุดท้ายจึงยังคงหาข้อสรุปอะไรออกมาไม่ได้
แต่หลังจากที่พรตเฒ่าเดินวนรอบหมู่บ้านนั้นไปหลายรอบ ท่านก็ยืนยันกับเยี่ยเทียนว่า ระหว่างภูเขาสองลูกนั้น มีสุสานโบราณแห่งหนึ่งถูกคนมาขุดค้น ทำให้กระแสพลังพิฆาตรั่วไหลออกมา และไหลจากหุบเขาเข้ามาในหมู่บ้านแห่งนี้
ตอนนั้นหลี่ซั่นหยวนพาเยี่ยเทียนไปเยี่ยมสัมภาษณ์คนในหมู่บ้านหลายคน และก็เป็นไปตามคาด ช่วงปลายทศวรรษที่ 70 มีชายว่างงานในหมู่บ้านกลุ่มหนึ่งไปขุดสุสานโบราณในหุบเขา แล้วขโมยทรัพย์สมบัติออกมาจำนวนหนึ่ง
แต่หลังจากนั้นไม่นาน ชายว่างงานกลุ่มนั้นก็ล้มป่วยกะทันหันและเสียชีวิตไปทีละคนๆ ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครกล้า ไปเยือนสุสานโบราณที่ตั้งอยู่กลางหุบเขานั้นอีกเลย
ต่อมาสองอาจารย์ศิษย์เดินทางไปดูที่หุบเขา และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ สุสานแห่งนั้นถูกขุดออกมาที่ตำแหน่งประตูตาย พลังพิฆาตที่สะสมมานับพันปีจึงรั่วออกมาหมด บริเวณโดยรอบสุสานไม่มีหญ้าขึ้นสักต้นเลยมานานแล้ว
สุดท้ายพรตเฒ่าก็แสดงฝีมือ อุดสุสานแห่งนั้นใหม่ เพื่อผนึกพลังพิฆาตเอาไว้ แต่เภทภัยก็เกิดไปแล้ว ผู้คนที่ได้รับผลกระทบจากพลังพิฆาตไปแล้วนั้น พรตเฒ่าก็ไม่มีหนทางไหนที่จะรักษาได้อีก
เพราะเคยพบเห็นกรณีที่กระแสพลังพิฆาตรั่วไหลมากับตาตัวเอง ดังนั้นเยี่ยเทียนถึงได้โมโหขนาดนี้ ความสามารถไม่ถึงขั้น แล้วยังกล้าบุ่มบ่ามไปเปิดสุสานพวกนั้นอีก แบบนั้นก็ได้แต่เรียกว่ารนหาที่ตายเองนั่นแหละ
“คุณทำกระแสพลังรั่วออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่? แล้วตอนนี้คุณน่ะอยู่ที่ไหน?”
เมื่อได้ยินเรื่องแบบนี้ เยี่ยเทียนก็ไม่สามารถจะปัดให้พ้นตัวได้แล้ว และการช่วยเหลือแบบนี้ก็เป็นการสั่งสมบุญกุศลอย่างที่พรตเฒ่ากล่าวไว้ คราวนั้นตอนที่ท่านช่วยขจัดพลังพิฆาตในหมู่บ้าน พรตเฒ่าเองก็ต้องสละของขลังไปชิ้นหนึ่งเหมือนกัน แต่กลับไม่ได้รับเงินเลยสักแดงเดียว
“ผมอยู่เมืองฉวี่หยางที่เหอเป่ย ที่นั่นผมใช้เข็มทิศผนึกไว้แล้ว ในสามวันนี้คงยังไม่เกิดเรื่อง แต่อย่างมากที่สุดก็ปิดได้แค่สามวัน รอบๆ มีหมู่บ้านอยู่ ถ้าคุณไม่มา ผมก็หมดปัญญาแล้วละ!”
น้ำเสียงของโจวเซี่ยวเทียนฟังดูหม่นหมอง ลงมือคราวนี้นอกจากจะไม่ได้อะไรแล้ว ตัวเองยังได้รับบาดเจ็บ และยังต้องสละเข็มทิศฮวงจุ้ยที่ได้รับสืบทอดมาอีก ยิ่งกว่านั้นผลที่จะเกิดขึ้นเมื่อกระแสพลังพิฆาตรั่วออกมา ก็ใหญ่เกินกว่าที่เขารับผิดชอบไหว
ภาษิตว่า ฟ้าโปรดปรานคนดีโดยไม่มีข้อแม้ ในทางกลับกัน ฟ้าก็ต้องลงโทษคนชั่วโดยไม่มีข้อแม้เช่นกัน ผลทั้งหมดที่เกิดจากพลังพิฆาตรั่วไหลนั้น ก็จะต้องสนองคืนสู่ตัวเขาเอง
โจวเซี่ยวเทียนแม้จะฝีมือไม่เท่าไร แต่ได้รับถ่ายทอดวิชาจากบรรพบุรุษมาอย่างกว้างขวาง จึงมีความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้เป็นอย่างดี เขารู้ว่า ถ้าพลังพิฆาตรั่วไหลออกมา อย่างนั้นเขาก็คงจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่ถึงหนึ่งเดือนแล้ว
ครอบครัวของโจวเซี่ยวเทียนเหลือเพียงแม่ผู้ตาบอดคนหนึ่ง แล้วเขาเองก็เปลี่ยนที่หากินไปเรื่อยๆ จึงไม่รู้จักเพื่อนร่วมอาชีพเลยสักคน เมื่ออับจนหนทาง ก็เลยมาขอความช่วยเหลือจากเยี่ยเทียน
“บอกที่อยู่ที่แน่ชัดมาซิ พรุ่งนี้ผมจะไปหา!” เยี่ยเทียนส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ถ้าเขาไม่รู้เรื่องนี้ก็ยังไม่เป็นไร แต่ถ้ารู้แล้วไม่สนใจ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะพลอยเจอปัญหาไปด้วยก็ได้
“ผมอยู่ บ้านพัก XX เลขที่ 208 อำเภอเมืองฉวี่หยาง!” พอโจวเซี่ยวเทียนพูดที่อยู่ออกมาแล้ว ก็วางสายโทรศัพท์ไปทันที
“เวรเอ๊ย ซวยจริงๆ เลย!” อยู่เฉยๆ ก็มีเรื่องวุ่นวายมาถึงตัว เยี่ยเทียนเกือบจะทุ่มโทรศัพท์ทิ้งลงกับพื้นแล้ว สุดท้ายก็เดินออกไปจากห้องอย่างโมโหฮึดฮัด
“เยี่ยเทียน มีอะไรหรือ?” ถังเหวินหย่วนกำลังคุยกับเยี่ยตงผิงอยู่ในลานบ้าน พอเห็นเยี่ยเทียนท่าทางอารมณ์เสีย ก็อึ้งไปเล็กน้อย วันนี้เขาก็ไม่ได้ไปล่วงเกินเยี่ยเทียนตรงไหนนี่นา?
“ไม่เกี่ยวกับคุณหรอก”
เยี่ยเทียนโบกมือ “มีธุระนิดหน่อยน่ะ พรุ่งนี้ผมต้องไปข้างนอกหน่อย คงสักสามสี่วันกว่าจะได้กลับมา”
“คุณจะออกไปรึ?แล้ว…แล้วเสวียเสวี่ยจะทำยังไงล่ะ?” พอถังเหวินหย่วนได้ยินที่เยี่ยเทียนพูด ก็ร้อนใจขึ้นมาทันที หลานสาวสุดที่รักของเขาทำกับข้าวไม่เป็น ถ้าไม่มีใครมาดูแลเลยสักคน มีหวังได้หิวตายแน่ๆ
และเยี่ยเทียนก็พูดไว้แล้วว่า จะต้องใช้ยาจีนปรับสมดุลร่างกายของถังเสวียเสวี่ยด้วย นี่ถ้าเยี่ยเทียนไปแล้ว ใครจะมารักษาหลานสาวของเขาล่ะ?
“คุณนึกว่าผมอยากไปรึไง?”
เยี่ยเทียนพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “แค่สามสี่วันน่ะไม่เป็นไรหรอก คุณมาอยู่ที่นี่สองวัน หลังจากนั้นให้ป้าใหญ่ผมมาทำอาหารให้เสวียเสวี่ยก็ได้ ผมจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด”
“เยี่ยเทียน มันเรื่องอะไรน่ะแกถึงจะต้องไปให้ได้?”
เยี่ยตงผิงก็รู้สึกเหมือนกันว่า ลูกชายทำแบบนี้ออกจะไม่เหมาะสม อย่างที่กล่าวกันว่า รับทรัพย์จากผู้อื่นแล้ว ก็ต้องช่วยขจัดเคราะห์ให้ ไม่ว่าจะมีธุระอะไร ก็ต้องจัดการทางนี้ให้เรียบร้อยก่อนถึงจะถูก
“พ่อ เรื่องนี้ถึงผมพูดไปก็คงไม่เข้าใจกันหรอก ผมจำเป็นต้องไปจริงๆ นะ…”
เยี่ยเทียนส่ายหน้าแล้วพูดต่อ “เรื่องเสวียเสวี่ยน่ะไม่ต้องเป็นห่วง ไหนๆ ก็ต้องเยียวยากันเป็นเดือนอยู่แล้ว แค่สามสี่วันนี่ไม่เป็นไรหรอก”
“ก็ได้ อย่างนั้นคุณต้องรีบกลับมานะ” เป็นฝ่ายขอร้องคนอื่นก็แบบนี้แหละ ถังเหวินหย่วนไม่อาจโต้เถียงอะไรกับเยี่ยเทียนได้เลย ได้แต่พยักหน้ายินยอม
เยี่ยเทียนก็ไม่ใช่ว่าจะไปเดี๋ยวนั้นเลย ผ่านไปสองชั่วโมงเศษ เขาก็ยกยาบำรุงที่ต้มเสร็จแล้วไปให้ถังเสวียเสวี่ย หลังจากดื่มยาลงไป สีหน้าของถังเสวียเสวี่ยก็ดูมีเลือดฝาดขึ้นมามาก ซึ่งก็ทำให้ถังเหวินหย่วนเชื่อมั่นในวิธีการของเยี่ยเทียนมากยิ่งขึ้นไปอีก
เมื่อถึงตอนเที่ยง ก็มีคนทยอยนำของใช้จำเป็นต่างๆ มาส่งให้ ข้าวของเต็มรถกระบะหนึ่งคันนั้น ทำให้เยี่ยเทียนต้องกลายเป็นพนักงานขนส่งไปถึงหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ
แล้วยังมีปลาห้าร้อยชั่งเต็มๆ นั่นอีก ปล่อยลงไปจนเต็มบ่อทั้งในบ่อที่ลานหน้าบ้านและหลังบ้าน คราวนี้เหมาโถวดีใจสุดๆ มันไม่ต้องลงไปในน้ำแล้ว แค่ใช้อุ้งตีนวักขึ้นมาก็ได้ปลาหนึ่งตัวแล้ว และกำลังกินอย่างเปรมปรีดิ์อยู่ที่ริมบ่อ
เมื่อเกี่ยวข้องถึงชีวิตของหลานสาวแล้ว ถังเหวินหย่วนก็ดำเนินการทุกอย่างชนิดที่เรียกได้ว่าทุ่มสุดตัวเลยทีเดียว เมื่อถึงประมาณสี่ห้าโมงเย็น รถคันหนึ่งก็บรรทุกวัตุดิบปรุงยาจากเมืองอันกั๋ว มณฑลเหอเป่ยมาส่งที่บ้านซื่อเหอย่วน
“แม่เจ้าโวย มีเงินนี่มันดีจริงๆ แฮะ!”
เมื่อตรวจสมุนไพรจีนเหล่านั้นดูแล้ว เยี่ยเทียนก็แอบชื่นชมกับตัวเอง ตอนแรกเขาก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง ไม่คิดเลยว่าถังเหวินหย่วนจะไปหาโสมภูเขาแก่ที่มีอายุมากกว่าห้าสิบปีมาได้ตั้งหลายชั่งจริงๆ
และเยี่ยเทียนก็สังเกตเห็นแล้วว่า มีโสมภูเขาจากฉางไป๋ต้นหนึ่งที่มีอายุมากถึงสองร้อยกว่าปี ก่อนหน้านี้เขาเคยเห็นมาแล้วที่อันกั๋ว มันเป็นสมบัติล้ำค่าของร้านยาสาขาประจำเมืองของบริษัทตัวยาแห่งหนึ่ง ตอนนั้นติดราคาไว้แปดล้านแปดแสนแปดหมื่นหยวน ไม่นึกเลยว่าจะถูกถังเหวินหย่วนซื้อมาด้วย
พอลองกะราคาของตัวยาเหล่านี้ดู สุดท้ายเยี่ยเทียนก็คำนวณสรุปออกมาได้ว่า ถ้าไม่มีเงินสักสามสิบล้าน ก็คงไม่มีทางซื้อมาได้แน่ๆ เมื่อเทียบกับคราวก่อนที่ตัวเองไปอันกั๋วอย่างกระเบียดกระเสียรแล้ว เยี่ยเทียนถึงจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า ทำไมถึงกล่าวกันว่าเงินหมายถึงอำนาจ
แม้ว่าเยี่ยเทียนจะผ่านช่วงติดขัดมาได้แล้ว แต่ตัวยาเหล่านี้ก็ยังถือว่าล้ำค่าอย่างหาที่เปรียบมิได้ อาจารย์ทิ้งสูตรยาเม็ดต่อชีวิตไว้ให้ตั้งหลายตำรับ ทีนี้ถ้าเขามีเวลาว่างเมื่อไรก็จะได้หลอมยาแล้ว
………………