บทที่ 107
อย่ามาร่วมสนุก
หลินซีเหยียนที่ทนต่อการเซ้าซี้ของเทียนเอ๋อไม่ไหวก็ได้ตกลงสัญญากับเขาไปว่าจะช่วยออกแบบให้สักชุดหนึ่งในตอนเย็น หลังจากที่สัญญากันแล้วเทียนเอ๋อก็ได้ออกไปวิ่งเล่นข้างนอก
จิ่งชุนที่ถูกส่งออกไปส่งข้อความก็ได้กลับมา แล้วมองไปที่หลินซีเหยียนแล้วกล่าว “คุณหนูเจ้าคะ ฮูหยินสี่ได้บอกว่าเป็นเกียรติมากสำหรับนางที่จะได้เดินทางไปร่วมกับคุณหนู นางยินดีอย่างมากเจ้าค่ะ”
จิ่งชุนกล่าวพลางนึกถึงการต้อนรับเป็นอย่างดีที่นางได้รับจากฮูหยินสี่ ซึ่งไม่เพียงแต่จะพูดกันอย่างอบอุ่นแล้ว นางยังได้ให้คนพานางไปส่งนางถึงหน้าเรือนและยังมอบกำไลให้นางมาด้วย ซึ่งการดูแลดีเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกแปลกใจมาก
เมื่อนึกถึงเรื่องของกำไลได้ จิ่งชึนก็ได้รีบหยิบออกมา “คุณหนูเจ้าคะ นี่คือของที่ฮูหยินสี่มอบให้กับข้าน้อยเจ้าค่ะ”
หลินซีเหยียนก็ได้หยิบกำไลจากมือของจิ่งชุนขึ้นมาดู และมองดูอย่างตั้งใจก่อนที่จะเอามือมาปิดปากตัวเอง “ถึงแม้ว่าสีสันของกำไลนี้จะถือว่าไม่ดีสำหรับข้า แต่ก็มีมูลค่าไม่น้อยเลยสำหรับฮูหยินสี่ ดูเหมือนว่าฮูหยินเฉิงเหยียนจะดีใจมากจริงๆ”
จากนั้นหลินซีเหยียนก็ได้คืนกำไลให้จิ่งชุน แต่ก่อนที่ จิ่งชุนจะได้พูดอะไรหลินซีเหยียนก็ได้พูดขึ้นมาก่อน “ในเมื่อเป็นของที่ฮูหยินสี่ให้เจ้ามา เจ้าก็เก็บเอาไว้เองเถอะ แล้วข้าคนนี้จะมอบของที่ดีกว่านี้ให้กับเจ้าทีหลัง”
จิ่งชุนรู้สึกโล่งอกที่หลินซีเหยียนไม่ได้โกรธนางที่ไปรับสิ่งของจากฮูหยินสี่มา ทำให้นางจงรักภักดีต่อหลินซีเหยียนมากขึ้นไปอีก และนางก็คิดว่าเป็นโชคดีของนางแล้วที่ได้ถูกส่งให้มารับใช้คุณหนูเช่นนี้
ไม่นานนักท้องฟ้าก็ได้มืดลง และแม่ครัวหงอิงที่เห็นว่ามีคนเพิ่มเข้ามาในเรือนอีกหนึ่งคน นางก็ได้เตรียมอาหารเพิ่มมากขึ้นไปอีก เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้วสามารถพูดได้เลยว่าฝีมือของคุณป้าแม่ครัวนั้นเรียกได้ว่าไม่ธรรมดาจริงๆ
จานเนื้อนั้นมีกลิ่นหอมและไม่มัน, ส่วนปลาก็สดแต่ไม่มีกลิ่นเหม็น, ข้าวต้มนั้นทั้งหอมและอร่อย ส่วนขนมหวานนั้นก็แทบจะละลายได้ในปาก และด้วยเหตุนี้เทียนเอ๋อจึงได้เสนอจะให้คุณป้าแม่ครัวมาทำงานที่โรงเตี๊ยมซื่อฟางในฐานะแม่ครัว แต่เพราะกลัวว่าจะไม่มีใครทำอาหารให้ที่นี่ จึงได้ล้มเลิกความคิดไป
ในขณะที่หลินซีเหยียน, เจียงหวายเย่และเทียนเอ๋อกำลังทานอาหารกันอย่างชื่นมื่นอยู่นั้น อันอี้ก็ได้โผล่ออกมาสีหน้าของเขาดูจริงจังมาก เขาได้เดินไปใกล้ๆเจียงหวายเย่แล้วจากนั้นก็เอียงตัวกระซิบกระซาบกันอยู่พักหนึ่ง
“เกิดอะไรขึ้น?” หลินซีเหยียนแกล้งทำเป็นถามแล้วทันทีที่นางพูดอันอี้ก็ได้ถอยห่างออกมา
หลังจากที่ได้ยินที่อันอี้รายงานแล้ว ดวงตาของ เจียงหวายเย่ก็หวาดกลัวขึ้นมาและใบหน้าของเขาก็ซีดเผือด แต่หลังจากที่ได้ยินคำถามที่เป็นห่วงของหลินซีเหยียนแล้ว เจียงหวายเย่ก็กลับคืนสีหน้าของเขามาทันทีและกล่าวอย่างอ่อนโยน “เรื่องเล็กน้อยน่ะ แต่ข้าจำเป็นต้องไปจัดการด้วยตัวเอง”
หลินซีเหยียนก็ได้ผงกหัว ถึงแม้เจียงหวายเย่นั้นมาที่เรือนเชียนเหยียนเพื่อปกป้องนาง แต่หลินซีเหยียนก็ได้ไม่หวงห้ามอิสระของเขา ด้วยเหตุนี้จึงได้กล่าว “ถ้าองค์ชายมีธุระต้องไปทำก็ไปเถอะ ข้าดูแลตัวเองได้”
อาหารมื้อนี้อร่อยมาก แต่เจียงหวายเย่คงกินต่อไม่ได้แล้ว
เจียงหวายเย่ก็ได้ลุกขึ้นยืนและมองไปที่อาหารที่อยู่เต็มโต๊ะอย่างเสียดายก่อนจะผละออกจากโต๊ะ จากนั้นเขาก็ได้กลืนน้ำลายแล้วจากไป
เจียงหวายเย่นั้นไม่ได้มุ่งหน้าไปที่พระราชวังรัตติกาล แต่มุ่งหน้าไปที่ตำหนักหนึ่งในพระราชวังหลวงแทน ตำหนักแห่งนี้มีชื่อว่าซื่อเฟิงและเป็นที่ประทับขององค์ชายแห่งรัฐจง “จงซู่เฟิง”
จงซู่เฟิงนั้นเป็นตัวประกันที่รัฐจงส่งมาให้รัฐเจียง ร่างกายของเขานั้นอ่อนแอมาก ดังนั้นเขาจึงแทบจะไม่ได้ออกจากตำหนักเลยเมื่อเขามาถึงรัฐเจียง แต่เพราะเหตุนี้เขาจึงได้บังเอิญไปสนิทกับเจียงหวายเย่และได้กลายมาเป็นเพื่อนกัน
“แล้วทำไมจู่ๆองค์ชายสี่ถึงได้ไปเล่นงานซู่เฟิงได้?” เจียงหวายเย่ถามอันอี้อย่างสงสัยขณะที่กำลังมุ่งหน้าไปยังตำหนักซู่เฟิง
อันอี้ที่ตามเจียงหวายเย่มาติดๆนั้นเมื่อได้ยินที่องค์ชายถามก็ได้ตอบกลับไปอย่างเชื่อฟัง “ในวันนี้องค์ชายสี่ไปสนใจสาวใช้คนหนึ่งเข้า แต่สาวใช้คนนั้นเป็นข้ารับใช้เพียงคนเดียวที่ซู่เฟิงนำมาจากรัฐจงด้วย เขาจึงได้ไม่อยากให้สาวใช้คนนั้นแก่องค์ชายสี่ ดังนั้นองค์ชายสี่จึงได้พาคนบุกเข้ามาหวังพาคนไปขอรับ”
เจียงหวายเย่ก็ได้หรี่สายตาลงเมื่อเขาได้ยินเช่นนี้ ตัวเขาในเวลานี้คือองค์ชายเย่ หากเขาเข้าไปสนิทสนมกับตัวประกันของรัฐๆหนึ่งแล้ว อาจจะทำให้คนอื่นๆเกิดความอิจฉาได้ แล้ววันต่อๆไปของซู่เฟิงคงได้ลำบากมากขึ้นเรื่อยๆแน่ แล้วยิ่งมีโรคเรื้อรังด้วยแล้วเรื่องนี้ไม่จบง่ายๆแน่…..
ไม่สิ อย่างไรเสียการที่เขาครอบครองกำลังทหารอยู่นั้นก็ทำให้น่าสงสัยมากพออยู่แล้ว ในเวลานี้อาจจะไม่ใช่เรื่องแย่ก็ได้
ในขณะที่เจียงหวายเย่กำลังมุ่งหน้าไปอยู่นั้น ที่ตำหนักซู่เฟิงก็ได้เกิดความโกลาหลขึ้นแล้ว ในตอนที่องค์ชายซู่เฟิงมาที่รัฐจงนั้นก็ได้พาผู้ติดตามมาแค่สองคน หนึ่งคือสาวใช้ที่ชื่อช่างช่าน และอีกหนึ่งคือคนคุ้มกันที่ชื่อเหลยถิง
ในเวลานี้คนคุ้มกันเหลยถิงก็ได้อยู่ในสภาวะย่ำแย่เพราะความต่างกันทางด้านจำนวน และสถานการณ์ของสาวใช้นั้นก็ย่ำแย่ยิ่งกว่า แต่เจ้านายของพวกเขานั้นกลับช่วยเหลืออะไรไม่ได้เลย
“องค์ชายสี่ ได้โปรดเห็นแก่หน้าข้าด้วย!” หลังจากที่พูดจบ จงซู่เฟิงก็ได้เริ่มไออย่างรุนแรง เพราะเนื่องจากความโกรธ ตาของเขาจึงแดงฉาน
องค์ชายสี่ก็ได้กล่าวอย่างดูถูก “เห็นแก่หน้าเจ้าเหรอ? คิดว่าเจ้าเป็นใครกัน เจ้ามันก็แค่ลูกที่ถูกทิ้งของรัฐจงเท่านั้น”
คำพูดที่รุนแรงนี้ทำให้จงซู่เฟิงถึงกับหน้าซีด แล้วนิ้วมือที่อ่อนแรงและซีดของเขาก็ได้กำแน่นขนัด แต่แล้วเขาก็ได้คลายออกเพราะเขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าที่องค์ชายสี่พูดมานั้นก็ถูก เขาเป็นเพียงแค่ลูกที่ถูกทิ้ง ที่รัฐจงไม่เคยคิดจะปกป้องเขา
แต่เขาก็ยังพอจะมีวิธีที่จะต่อกรกับองค์ชายสี่อยู่ เมื่อคิดได้เช่นนี้จงซู่เฟิงก็ได้ยิ้มขึ้นมา เขานั้นเป็นถึงองค์ชายของรัฐหนึ่ง และในเวลานี้ก็ถึงจุดที่เขาจะต้องสู้เพื่อชีวิตๆหนึ่งแล้ว
จงซู่เฟิงก็ได้หยิบเอามีดออกมาในแขนเสื้อแล้วจากนั้นก็ได้เอามาจ่อคอตัวเองตรงที่มีเส้นเลือดบางๆอยู่ “องค์ชายสี่ ข้านั้นเป็นแค่คนไร้ประโยชน์คนหนึ่ง อีกทั้งร่างกายนี้ก็ใช้การอะไรไม่ค่อยได้ แต่ชีวิตของข้าก็ยังพอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง”
“เจ้าคิดจะทำอะไรน่ะ?” องค์ชายสี่ก็ได้สะบัดมือของเขาเพื่อสั่งให้ลูกน้องของเขาหยุด แล้วจากนั้นก็ได้มองไปที่จงซู่เฟิงด้วยสีหน้าที่ซีดเผือด “เจ้าเป็นถึงองค์ชาย แต่เจ้ากลับยอมสละชีพเพื่อสาวใช้คนเดียวงั้นเหรอ?”
จงซู่เฟิงก็ได้จ้องกลับไปที่องค์ชายสี่ เจียงช่างเฉินก็ตกใจกับดวงตาที่แน่วแน่ของเขา ตาสีจางๆคู่นั้นราวกับว่าได้สูญเสียทุกอย่างไปหมดแล้ว ไร้ซึ่งความเศร้าและดีใจ
“องค์ชายสี่ ได้โปรดปล่อยช่างชานไปเถอะ” มีดที่แหลมคมในมือของจงซู่เฟิงก็ได้ขยับเล็กน้อย แล้วเลือดก็ได้เริ่มไหลออกมาจากคอจนมาถึงไหล่ของเขา
“ไม่เอาก็ได้ ก็แค่สาวใช้คนเดียว? เปิ่นหวางไม่ขาดแคลนอยู่แล้ว” แล้วองค์ชายสี่ก็ได้พูดเพื่อป้องกันไม่ให้จงซู่เฟิงทำร้ายตัวเองต่อไป
แต่จงซู่เฟิงคงยังไม่เอามีดลง เขารู้ดีว่าหากเขาวางมีดลงเมื่อไร องค์ชายสี่คงไปยอมปล่อยคนของเขาไปง่ายๆแน่
ด้วยเหตุนี้ทั้งสองคนจึงได้ยังจ้องหน้ากันต่อไป ไม่นานนักจงซู่เฟิงก็ได้มีอาการวิงเวียนเพราะเสียเลือด แล้วมีดในมือของเขาก็ได้ล่วงลงมา
เมื่อเห็นเช่นนี้องค์ชายสี่ก็ได้สะบัดมือแล้วส่งคนสองคนคอยเฝ้าดูเขาเอาไว้ “คอยดูให้ดีๆ อย่าปล่อยให้เจ้านั่นตายล่ะ”
หลังจากนั้นเขาก็ได้ยื่นมือมาคว้าช่างช่าน ถึงแม้ว่าช่างช่านนั้นจะเป็นแค่สาวใช้ แต่ผิวของนางนุ่มนวลและน่าหลงใหล ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณจงซู่เฟิงที่ความสัมพันธ์อันดีกับนาง และตัวเขาเองที่ชอบทำอะไรด้วยตัวเอง ทำให้ช่างช่านนั้นไม่ค่อยได้ทำงานอะไรมากนัก
จงซู่เฟิงที่ลงไปกองกับพื้นก็ได้มองไปที่ดวงตาที่หวาดกลัวของช่างชาน แล้วก็มีหยดน้ำตาที่ไม่เต็มใจไหลออกมาจากขอบตาของเขา มันเป็นเพราะความไม่เอาไหนของเขาเองที่ทำร้ายช่างช่าน ในเวลานี้เขาทำได้แค่ตะโกนออกมา “หยุดนะ!”