บทที่ 117
ลอบสังหาร
“ลอบสังหารพ่ะย่ะค่ะ” มหาเสนาบดีหลินเสนอแผนการที่ชั่วร้ายอย่างเงียบๆขึ้นมา “ถ้าท่านอยากที่จะทำลายงานแต่งนี้ ท่านจำเป็นต้องสร้างช่องว่างระหว่างสองประเทศขึ้นมาเสียก่อน”
มันเป็นแผนการชั้นเลิศที่จะปราบศัตรูโดยที่ไม่ต้องเสียกำลังทหาร ซึ่งแผนการของมหาเสนาบดีหลินนั้นให้ผลดี แต่ความเสี่ยงนั้นก็มองผ่านไปไม่ได้เช่นกัน
หลังจากที่คิดอยู่พักใหญ่ๆ ฮ่องเต้ก็ได้กัดฟันแน่นแล้วกล่าว “มหาเสนาบดีหลิน ข้าจะปล่อยเรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของท่าน ข้าหวังว่าท่านจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังนะ”
มหาเสนาบดีหลินผงกหัวแล้วกลับออกมาเพื่อไปเตรียมการเรื่องนี้ ถึงแม้ว่าเรื่องนี้มันง่ายที่จะพูด แต่ก็ยากที่จะทำให้สำเร็จ และยากยิ่งขึ้นไปอีกที่จะทำให้ไม่เหลือหลักฐาน
กลับมาที่พระราชวังรัตติกาล เจียงหวายเย่ก็ได้รับแจ้งข่าวมาว่าฮ่องเต้นั้นได้ส่งมือสังหารสองคนให้ไปช่วยเหลือมหาเสนาบดีหลินในการทำแผนการลอบสังหารนี้ให้สำเร็จ
การลอบสังหารนั้นเป็นวิธีการที่เห็นผลมาก แต่หากการลอบสังหารเกิดขึ้นหลังจากการประกาศงานแต่งระหว่างสองประเทศเช่นนี้ รัฐเจียงจะต้องถูกสงสัยแน่นอนไม่ว่าแผนการนี้จะสำเร็จหรือไม่ แล้วริมฝีปากบางๆของเจียงหวายเย่ก็ได้เปิดขึ้นมาเบาๆ แล้วกล่าวอย่างเหยียดหยัน “ดูเหมือนว่าฮ่องเต้เจียงนี่ ยิ่งมีชีวิตอยู่ก็ยิ่งถอยหลังลงคลอง เจ้าไปจัดการขัดขวางการลอบสังหารเสีย และนอกจากนี้แจ้งไปยังซานชีที่อยู่ที่ต้าเยี่ยนว่าการแต่งงานนั้นจะต้องไม่เกิดขึ้น”
แล้วอันอี้ก็ขานรับคำสั่งและถอนตัวไป
เจียงหวายเย่ก็ได้เดินไปที่หน้าต่าง และจ้องมองไปที่ข้างนอกอย่างเงียบๆ แล้วรีบวางแผนว่าจะรักษาสมดุลของทั้งสามรัฐนี้อย่างไรดี?
ในอดีตนั้นทั้งสามรัฐนี้ต่างก็สูญเสียจากสงครามและความวุ่นวาย จึงได้อาศัยโอกาสนั้นในการพักรบระหว่างทั้งสามรัฐ พวกเขาจึงได้สงบลง และเตรียมพักผ่อนและฟื้นฟูตัวเอง ในเวลานี้ 8 ปีได้ผ่านพ้นไปแล้ว ทั้งสามรัฐต่างก็ฟื้นฟูกำลังของตัวเองคืนมาแล้ว ซึ่งแต่ละรัฐต่างก็มีความทะเยอทะยานที่จะหลอมรวมภูเขาและแม่น้ำให้เป็นหนึ่งเดียวกันทั้งหมด
และในบรรดาทั้ง 3 รัฐนี้, รัฐต้าเยี่ยนกับรัฐจงนั้นเรียกได้ว่าพัฒนาทั้งในด้านประชากรและเศรษฐกิจไปอย่างมาก ในทางกลับกันรัฐเจียงกลับทำได้แค่อย่างเฉียดฉิวเท่านั้น
แค่มองผ่านๆก็รู้แล้วว่าใครกันที่แข็งแกร่งกว่าหรืออ่อนแอกว่า
ต่อให้เขาไม่ชอบขี้หน้าฮ่องเต้เจียงมากเพียงใด แต่เขาก็ปล่อยให้แผ่นดินแม่ของเขาสูญสิ้นไปได้
วันต่อมาก็ได้มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นในเมืองหลวง เมื่อราชครูได้พาลูกสาวของเขาซูอวิ๋นโยวไปที่จวนท่านแม่ทัพเจิ้นกว๋อ เพื่อหารือเรื่องการแต่งงาน
แม่ทัพเฒ่าเจิ้นกว๋อก็ได้ฟังที่ราชครูกล่าว “ลูกสาวของข้ากับหลานชายของท่านแม่ทัพนั้นได้เป็นคู่รักกันแล้ว ข้าจึงได้มาหาท่านผู้อาวุโสเพื่อหารือเรื่องของการแต่งงานกับท่าน”
ซูอวิ๋นโยวที่ยืนอยู่ด้านหลังราชครูซูก็มีทีท่าอายๆ ซึ่งทำให้แม่ทัพเฒ่านั้นเกือบที่จะเชื่อ แต่ทว่าเขาก็รู้จักนิสัยของหลานชายของเขาดีจึงได้ยืนกรานว่าจะรอเยี่ยจุนเจี๋ยกลับมาก่อน
ราชครูนั้นไม่พอใจ แต่เขาก็ได้แต่ต้องจำทน เพราะซูอวิ๋นโยวนั้นยินดีที่จะรอ
แล้วเรื่องนี้ก็ได้ไปเข้าหูของหลินซีเหยียน หลินซีเหยียนรู้สึกสายเกินไปที่จะถอนหายใจให้กับความหน้าด้านของซูอวิ๋นโยว นางนั้นช่างกล้าหาญมากที่ยังกล้ามาบังคับให้เขาแต่งกับนางอีก
เมื่อไม่เห็นใคร นางก็ได้หยิบเอาชุดผู้ชายมาใส่ แล้วก็ออกเดินทางไปยังจวนแม่ทัพเจิ้นกว๋อ
“เจ้าหนู ดูเหมือนว่าเจ้าไม่มีเวลามาหาข้าบ้างเลยนะ”
แล้วแม่ทัพเฒ่าก็ได้ต้อนรับการมาเยือนของ หลินอวิ๋นเซวียน เขานั้นกำลังคิดว่าการมาเยือนของหลินอวิ๋นเซียนที่จวนแม่ทัพเจิ้นกว๋อนั้นน้อยลงมากขึ้นเรื่อยๆ เขาจึงอยากที่จะให้เขาอาศัยที่จวนแม่ทัพหลังจากนี้
แบบนี้ไม่ดีแน่!
หลินซีเหยียนจึงได้รีบเปลี่ยนเรื่องทันที “ท่านปู่ พี่เยี่ยไปไหนแล้ว?”
“เจ้านั่นเหรอ, ข้าใช้เขาไปทำธุระอะไรบางอย่างน่ะ?” แม่ทัพเฒ่าเจิ้นกว๋อก็ได้กล่าวแล้วถอนหายใจไปที่ราชครูซู
“หลานชาย เจ้าช่วยไปเร่งเขาให้รีบกลับมาที่จวนให้ทีสิ ตอนนี้เขาอยู่ที่หมู่บ้านสวีนอกเมือง แล้วไปพาเขากลับมาที” แล้วชายชราก็ได้กล่าวอย่างหนักแน่น
หลานชาย? หลินซีเหยียนใช้ตาของนางมองไปที่เขาอย่างไม่พอใจ แต่เพราะมีราชครูและคนอื่นๆอยู่ด้วย นางจึงทำได้แต่ผงกหัวรับนั้น
ต่อหน้าข้ารับใช้มากมายในจวน หลินซีเหยียนก็ได้ขึ้นขี่ม้าด้วยท่าทางที่น่าทึ่ง ซึ่งท่าทีที่น่าทึ่งนี้ทำให้ทุกคนต้องประทับใจ รวมถึงเยี่ยชีหว่านหลานสาวของแม่ทัพเฒ่าเจิ้นกว๋อ
เยี่ยชีหว่านก็ได้มองไปที่แผ่นหลังของหลินซีเหยียน ดวงตาของนางก็ได้แดงขึ้นมา นางได้ดึงคอเสื้อของเด็กรับใช้ที่หน้าประตูมาหาแล้วถามอย่างตื่นเต้น “คุณชายเมื่อสักครู่คือใครงั้นเหรอ?”
“เรียนคุณหนู คุณชายท่านนั้นคือหลินอวิ๋นเซวียน หลานบุญธรรมของท่านแม่ทัพขอรับ” เด็กรับใช้กล่าวด้วยท่าทางกลัวๆ
“หลินอวิ๋นเซวียนเหรอ?” เยี่ยชีหว่านพูดทวนชื่อนั้นอยู่สักพัก แล้วนางก็ได้พูดอย่างอายๆ “เป็นชื่อที่ดีจังเลยนะ”
หลินซีเหยียนก็ได้เดินทางไปยังหมู่บ้านสวีแล้วก็พบ เยี่ยจุนเจี๋ย แล้วจากนั้นก็ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนท่านแม่ทัพ เยี่ยจุนเจี่ยจึ่งได้พูดด้วยความมั่นใจมาก แล้วเขาก็ได้รีบเดินทางกลับจวนโดยทันที
เขานั้นยังคือว่าโชคดีมากที่ท่านปู่ของเขานั้นยังคงเชื่อใจเขาอยู่ และรอคอยการกลับมาของเขาก่อนที่จะทำการตัดสินใจ
ณ จวนแม่ทัพเจิ้นกว๋อ ราชครูนั้นร้อนรนมาก เขาได้มองไปที่แม่ทัพเฒ่าแล้วกล่าวอย่างใจเย็น “พูดก็พูดเถอะ เรื่องเช่นนี้จัดการโดยแค่ญาติผู้ใหญ่ก็ได้นี่ หรือว่าท่านแม่ทัพเฒ่าคิดที่จะไม่จัดงานแต่ง?”
แม่ทัพเฒ่าก็ได้ยิ้มและมองไปที่ราชครู แล้วกล่าวปลอบเขา “ท่านราชครูอย่าได้เพิ่งโกรธ การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ ข้าเองก็เคยถูกผู้ใหญ่เข้มงวดมาเหมือนกัน ทำให้ข้าเข้าใจดี”
แม้คำพูดจะฟังดูมีเหตุผล แต่สีหน้าของราชครูก็ได้มืดดำมากขึ้นเรื่อยๆ “ท่านจะบอกว่าคำพูดของผู้ใหญ่เชื่อถือไม่ได้งั้นเหรอ? ถึงต้องรอให้เด็กมาร่วมตกลงด้วยเนี่ย?”
แล้วรอยยิ้มบนสีหน้าของแม่ทัพเฒ่าก็ได้แจ่มชัดมากขึ้นเรื่อยๆ “ท่านราชครูข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ถ้าเกิดว่าหลานชายของข้านั้นทำผิดจริง ข้าก็จะดุเขาแล้วรับลูกสาวของท่านเข้ามาในตระกูลเยี่ยของข้าอย่างแน่นอน”
ทั้งสองฝ่ายต่างก็ยังประนีประนอมอีกฝ่าย เพราะอย่างไรเสียก็มีโอกาสที่พวกเขาจะได้มาเป็นลูกชายกับลูกสาวในอนาคตอยู่ดี
ซูโยวอวิ๋นนั้นคิดว่าตัวเองนั้นจะได้แต่งงานกับคนที่นางรักแล้ว ถึงนางนั้นจะนิ่งเงียบอยู่ แต่นางกำลังรอคอยอย่างยินดีในใจ
ในขณะที่กำลังคาดหวังอยู่นั้น เยี่ยจุนเจี๋ยและ หลินอวิ๋นเซวียนก็ได้กลับมา
“ท่านปู่” อันดับแรกหลังจากที่เยี่ยจุนเจี๋ยลงมาจากม้านั้นก็ได้รีบมาที่ห้องโถงใหญ่ และคิดที่จะอธิบายเรื่องนี้
เมื่อได้ยินเสียงเจ้าหลานชายตัวดี ชายชราก็ได้ถอนหายใจโล่งอก แม้เขานั้นจะอารมณ์ร้อนอยู่ แต่ในเวลานี้เขาก็ได้ปั้นหน้ายิ้มเอาไว้เพียงเพราะไม่อยากที่จะทำลายการแต่งงานของหลานชาย
ในเวลานี้หลานชายของเขากลับมาแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องอดกลั้นอีกต่อไป
“ท่านปู่ขอรับ หลานไม่สามารถแต่งกับแม่นางซูได้จริงๆ” เยี่ยจุนเจี๋ยที่เข้ามาในห้องโถงใหญ่ ก็ได้รีบลงไปคุกเข่าด้วยสีหน้าที่มั่นใจมาก
แม่ทัพเฒ่ายังไม่ได้พูดอะไรออกมา ราชครูและซูอวิ๋นโยวที่เต็มไปด้วยความคาดหวังนั้น ก็ได้มองไปที่เยี่ยจุนเจี๋ยด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว
“เจ้าพูดอะไรออกมาน่ะ? เจ้าทำลายความบริสุทธิ์ของลูกสาวข้าแล้วเจ้ายังจะไม่รับผิดชอบอีกเหรอ?”
ราชครูกล่าวอย่างรุนแรงและเริ่มไอออกมา เขาได้กุมหน้าอกของเขาด้วยดวงตาเศร้าโศก ลูกสาวของเขานั้นมีค่ามากที่สุดและในเวลานี้นางกลับถูกปฏิเสธการแต่งงานอีก
เรื่องเช่นนี้ เขาไม่เคยแม้แต่จะคิดมาก่อน
“ท่านราชครูซู ข้ายังไม่เคยแตะต้องแม่นางซูเลย ท่านอย่าได้ปรักปรำข้า” เรื่องอื่นๆเยี่ยจุนเจี๋ยนั้นสามารถที่จะอดทนต่อการถูกเข้าใจผิดได้ แต่เรื่องนี้เขายอมไม่ได้
“เจ้ากล้าดียังไง!”
ซูอวิ๋นโยวที่นั่งอยู่ข้างๆราชครูซูนั้นก็ได้หน้าซีดขึ้นมาและพูดอะไรไม่ออกอยู่พักใหญ่ เขาทำแบบนี้ได้อย่างไร เขาปฏิเสธได้อย่างไร?
เยี่ยจุนเจี๋ยนั้นรู้สึกได้ว่าเป็นเรื่องยากมาที่เขาจะอธิบายเรื่องนี้ได้ เขาจึงได้มองไปที่ซูอวิ๋นโยว “แม่นางซู ในวันนั้นเจ้าเรียกข้าให้ไปที่โรงเตี๊ยมและบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับข้าใช่ไหม ข้าจึงได้ไปแต่ไม่คิดเลยว่าเจ้านั้นจะให้ยาพิษแก่ข้า”
แล้วราชครูก็ได้สูญเสียอารมณ์โกรธทันเมื่อได้ยินเรื่องที่ทำให้เขาตกใจเช่นนี้ โดยไม่ทันได้ไตร่ตรองเขาก็ได้ตัดสินว่า เยี่ยจุนเจี๋ยนั้นพูดไร้สาระ ลูกสาวของเขานั้นเป็นเด็กฉลาดและมีเหตุผลมาโดยตลอด นางจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร
แต่ไม่คิดว่าลูกสาวของเขาจะกลับยอมรับออกมาตรงๆ