บทที่ 120
ไข้และการอักเสบ
ภายใต้กลางคืนที่มืดมิด เจียงหวายเย่ก็ได้กลับมายังพระราชวังรัตติกาลพร้อมหลินซีเหยียน และผู้คนที่มาพร้อมกับเขาก็ได้แยกย้ายกันไปรอบๆเมือง
ส่วนหลงเยว่ที่อยู่ในร้านน้ำชาทางตะวันตกของเมืองนั้นเมื่อได้ทราบข่าวนี้ แววตาว้าวุ่นก็ได้ปรากฏขึ้นมาในดวงตาของนาง
สำนักหมอพิษนั้นเป็นองค์กรที่ลึกลับมาก และเพื่อที่ให้เป็นเช่นนั้นพวกเขาก็ได้ลงทุนไปมาก แต่อย่างไรเสียความลึกลับนี้ก็เพื่อปกป้องตัวของพวกหมอเอง แต่ก็มีบางคนที่ได้ละเมิดกฎข้อนี้โดยที่พวกเขาไม่เข้าใจ
หากว่านางจะต้องไปพบองค์ชายรัตติกาลแล้ว ก็เท่ากับว่านางจะต้องเปิดเผยตัวตนของนาง แต่จากที่นางคิดเอาไว้ องค์ชายเย่นั้นน่าจะทำตามกฎนี้ได้ง่ายๆและรู้ถึงสถานการณ์ของหมอพิษดี
เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่อันตรายของการเจริญเติบโตของสำนักหมอพิษมาก
แต่ในสายตาของนางนั้น สิ่งที่เหล่าหมอพิษสั่งสมมาหลายปีนั้นก็ยังไม่อาจเทียบเท่าหลินซีเหยียนได้ ถ้าหากว่านี่ไม่ใช่หลินซีเหยียนแล้ว นางก็คงไม่ยอมทำแน่
ในขณะที่หลงเยว่กำลังลังเลอยู่นั้น พระราชวังรัตติกาลก็ได้สว่างขึ้นมา
“แล้วเจ้านั่นอยู่ที่ไหนแล้ว ยังมาไม่ถึงอีกเหรอ?” สีหน้าของเจียงหวายเย่นั้นหดหู่มากและเสียงของเขาก็หนาวเย็นมากเช่นกัน
ในเวลานี้เขากำลังนั่งอยู่ที่รถเข็น ดวงตาของเขานั้นว้าวุ่นราวกับพายุคลั่ง แล้วจ้องไปที่คนที่นอนอยู่ที่เตียง ราวกับกลัวว่าจะพลาดปฏิกิริยาของนางแม้แต่เพียงนิดเดียว
เมื่อเห็นว่าคนที่นอนอยู่ที่เตียงนั้นมีอาการไม่สบายแล้ว ทำให้เขารู้สึกไร้พลัง ด้วยความรู้สึกนี้ทำให้เขาเอามือจับกับรถเข็นแน่น ด้วยความกลัวว่าตัวเขาที่กำลังโกรธนี้จะพลั้งเผลอทำอะไรลงไป
ยกตัวอย่างเช่นออกไปจับตัวราชครูซูแล้วทำกับที่เขาทำกับหลินซีเหยียนเป็น 100 เท่า
แต่ก็ยังทำไม่ได้ เวลานั้นยังไม่มาถึง
รอยนิ้วของเจียงหวายเย่บนรถเข็นนั้นเป็นรอยบุ๋มลึกลงไปเล็กน้อย ซึ่งไม้จันทน์แดงก็ได้เป็นรอยบุ๋มเป็นรอยนิ้วมือด้วยแรงกำที่มากเกินจะรับไหว
เมื่อไม่สามารถฆ่าทิ้งได้ แต่อย่างน้อยก็ให้รับบทเรียนก็ยังดี “อันเอ้อส่งคนไปที่จวนราชครูซูแล้วจัดการหักขาราชครูเสีย”
หลังจากที่อันเอ้อได้ยินคำสั่ง รอยยิ้มที่ชั่วร้ายของเขาก็ได้ปรากฏขึ้นมาที่มุมปากของเขา ใครที่กล้าลงมือกับพระชายาจะต้องได้รับบทเรียนจากเขา เขานั้นไม่คิดที่จะส่งคนอื่นออกไปจัดการเรื่องนี้ เขาคิดที่จะลงมือด้วยตัวเอง
แต่พอเวลาผ่านไป แผลของหลินซีเหยียนนั้นก็เน่าเปื่อยมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งทำให้เจียงหวายเย่นั้นเริ่มนั่งไปติดและวางแผนที่จะเดินทางไปที่หอพันกลด้วยตัวเองเพื่อไปลากคนของเขามา
ในขณะที่เขากำลังคิดจะทำเช่นนั้น ก็ได้มีคนเข้ามารายงาน “องค์ชายขอรับ มีคนอ้างว่าเป็นสหายของพระชายา อาสามารักษาพระชายาขอรับ”
เพื่อนเหรอ? เพื่อนจากที่ไหนกัน? หรือว่าจะเป็นคนของราชครูซูที่ยังไม่ยอมง่ายๆและต้องการที่จะลงมือกับผู้หญิงของเขาในที่ของเขางั้นเหรอ?
ดวงตาของเจียงหวายเย่นั้นได้มืดดำสุดหยั่งถึงและริมฝีปากที่ซีดบางของเขาก็ได้ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย แล้วกล่าวด้วยเสียงที่ดังและคาดเดาไม่ได้ออกไป “เจ้ารีบไปพาสหายคนนั้นเข้ามาโดยเร็ว”
เขานั้นอยากที่จะเห็นว่าคนคนนั้นวางแผนที่จะทำอะไรกันแน่
เมื่อหลงเยว่ได้ยิน ก็ได้มีแววตาที่ประหลาดใจปรากฏขึ้นมา นางไม่นึกว่าองค์ชายรัตติกาลนั้นจะยอมให้นางเข้าไปได้ง่ายๆเช่นนั้น แต่ไม่ว่าจะเป็นแผนหลอกหรือไม่ใช่ก็ตาม ในเมื่อมาถึงแล้วต่อให้ต้องฝ่าเข้าไปก็ต้องทำ
นางเข้ามาในห้องแล้วมองไปที่หลินซีเหยียน อย่างแรกที่นางคิดคือหลินซีเหยียนยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็ยังไม่ได้รู้สึกโล่งอกออกมาเมื่อนางเห็นว่าแผลของหลินซีเหยียนนั้นอักเสบแล้ว
“มันเป็นไปไม่ได้!” หลงเยว่ได้รีบวิ่งไปที่เตียง
ในขณะที่นางกำลังจะแตะตัวของหลินซีเหยียนอยู่นั้น ก็ได้มีใครบางคนจับคอของนาง แล้วเมื่อนางหันกลับไปก็พบดวงตาคู่หนึ่งที่เต็มไปด้วยความมุ่งร้ายและกระหายเลือด
“เจ้ากำลังคิดจะทำอะไรกับนาง?” เสียงที่หนาวเย็นราวกับออกมาจากขุมนรกนั้น ทำให้นางรู้สึกขนหัวลุกมาก
“ปะ…..ปล่อยข้า” หลงเยว่ได้พยายามเขย่งเท้าเพื่อให้หายใจได้
แต่อย่างไรเสียนางก็เริ่มที่จะทนไม่ไหว ฝ่ามือของ เจียงหวายเย่นั้นหนักมากขึ้นเรื่อยๆ และเพราะนางนั้นเริ่มหายใจไม่ออก และปอดของนางก็ได้เริ่มแสบร้อนและเจ็บปวด ใบหน้าของนางก็เริ่มเป็นสีม่วง
ในขณะที่หลงเยว่คิดว่านางกำลังจะตายแล้วอยู่นั้นเอง เสียงของหลินซีเหยียนก็ได้ดังขึ้นมาในหูของเขา แต่ก็ไม่ได้ยินว่านางพูดอะไร
แต่อย่างไรก็ตามเจียงหวายเย่ก็ได้ปล่อยนางไปเพราะเหตุนี้ เมื่อแรงบีบที่คอหายไป ปอดของนางก็ได้เริ่มสูดเอาอากาศเข้าไป แล้วเสียงที่อ่อนแรงที่เข้ามาในหูของนางก็ได้ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ
จากนั้นนางก็ได้ยินว่าหลินซีเหยียนนั้นพูดว่าอะไร “ปล่อย….ปล่อยนางไป นางเป็น….เพื่อน….ของข้า”
ก่อนที่นางจะได้พูดคำสุดท้ายจบ หลินซีเหยียนก็ได้สลบไปอีกรอบ ถ้าไม่ใช่เพราะใบหน้าที่แดงฉาน จนดูยั่วยวนมากเกินไปแล้ว ก็เกรงว่าจะทำให้คนคิดว่านางนั้นก็แค่หลับไปเฉยๆ
“ข้าขอโทษด้วย เปิ่นหวางคิดว่าเจ้าเป็นคนที่จะมาทำร้ายนาง ถ้าเจ้าเป็นหมอเจ้าก็คงจะรักษานางให้หายได้ใช่ไหม?”
ในเวลานี้เจียงหวายเย่นั้นเหมือนกับเด็กที่ทำผิดมาก ซึ่งทำให้หลงเยว่นั้นตกใจมาก และลืมเรื่องที่เขานั้นเป็น “องค์ชายพิการ” ไปเสียสนิท
หลงเยว่ก็ไม่ได้พูดอะไร แต่นางก็ได้รีบลองมือตรวจแผลของหลินซีเหยียน แล้วในที่สุดก็พบสาเหตุ
“คนที่ทำเช่นนี้ช่างโหดร้ายจริงๆ เขานั้นได้ทำให้แผลของหลินซีเหยียนติดเชื้อด้วยเซียงเหาะเช่า”
อะไรนะ? เมื่อเจียงหวายเย่ได้ยินเช่นนี้เขาก็ได้ตกใจขึ้นมา เขานั้นเป็นถึงแม่ทัพที่สู้ในสนามรบ ย่อมที่จะรู้เรื่องของสมุนไพรและสรรพคุณของพวกมันอยู่บ้าง และเซียงเหาะเช่าก็เป็นหนึ่งในนั้น
สมุนไพรนี้จะทำให้แผลนั้นอักเสบและเป็นหนอง ถ้าหากรักษาไม่ทันการก็จะกลายเป็นแผลที่อันตรายถึงชีวิต
“มีหนทางที่จะรักษาหรือไม่?” เจียงหวายเย่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ร้อนรน
หลงเยว่ก็ได้ผงกหัว “ได้โปรดเตรียมการอาบน้ำยาด้วย ใส่โสมซานชีลงไปในอ่างเพื่อห้ามเลือด และตามด้วยสมุนไพรที่ใช้รักษาพิษอย่างดอกสายน้ำผึ้ง, บอระเพ็ด, พระจันทร์ครึ่งซีก, แปะเถ่าอง และฟ้าทะลายโจร”
เจียงหวายเย่ก็ได้รีบบอกให้คนไปจัดการทำให้ทันที ส่วนเขานั้นยังคงเฝ้าดูอยู่ข้างๆ สายตาของเขาจับจ้องไปที่ หลินซีเหยียน แม้แต่หลงเยว่นั้นแอบดูเขาอยู่ก็ยังไม่รู้สึกตัว
ยาอาบนั้นได้ถูกจัดเตรียมอย่างรวดเร็ว แต่เพราะความไม่สะดวกเพราะตัวตนของเจียงหวายเย่ที่อยู่ที่นี่ด้วย เนื่องจากจะต้องเปลื้องผ้าของหลินซีเหยียนเพื่ออาบยา จึงได้ให้คนจัดหาแผงกั้นเข้ามาในห้อง
ด้วยน้ำอาบยาอุ่นๆทำให้หลินซีเหยียนนั้นครางออกมา
และเพื่อที่จะให้การอาบยานั้นได้ผล หลงเยว่จึงได้ตักน้ำยาอุ่นๆราดลงไป
การรักษานี้ดำเนินไปอยู่พักใหญ่ๆ และทั่วทั้งพระราชวังนั้นก็ได้อ่อนแรงไปทั้งร่างกายและจิตใจ แต่ก็ไม่มีใครที่กล้าพูดอะไรออกมา
ในขณะที่เจียงหวายเย่กำลังนั่งเฝ้าอยู่อีกด้านของแผงกั้นนั้น อันอี้ก็ได้กลับมาเพราะกับแบกใครก็ไม่รู้ไว้บนไหล่ของเขามาด้วย
“ปล่อยข้านะ ข้าบอกแล้วว่าข้าจะไม่รักษาให้ ต่อให้พาข้ามาที่นี่ก็ตาม” รุ่ยเหยียนกล่าวอย่างไม่พอใจ
อันอี้ไม่ตอบคำถามเขา แล้ววางเขาเอาไว้ตรงหน้าองค์ชาย
ระหว่างทางถึงแม้ว่าอันอี้นั้นจะบอกเขานิดหน่อยถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แต่คนไร้หัวใจคนนั้นก็ไม่ฟังเขาเลย ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่แบกขึ้นหลังมาในสภาพเช่นนี้
รุ่ยเหยียนนั้นที่ตั้งมั่นว่าจะไม่รักษา, ไม่รักษานั้น ก็ได้เดินไปหาเจียงหวายเย่ซึ่งกำลังอารมณ์ไม่ดีอย่างสงสัย แล้วจึงยื่นมือโบกไปมาตรงหน้าของเจียงหวายเย่ แต่ก็ไม่มีการตอบสนองกลับมา
เขาจึงได้หาญกล้าพูดออกไป “นี่ ทำไมท่านประมุขหอถึงได้ทำสีหน้าเหมือนกับภรรยาจะตายอย่างนั้นล่ะ?”
ทันทีที่คำพูดนั้นหลุดออกไป เจียงหวายเย่ก็ได้หันหน้ามาหาเขา แล้วจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาที่น่าสะพรึงกลัว แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน “เจ้าลองพูดอีกที”
รุ่ยเหยียนนั้นจะพูดออกไปได้อย่างไร ถึงเขานั้นจะมีชื่อเสียงเรื่องชอบแกล้งเจียงหวายเย่ แต่เมื่อก่อนไม่ว่าเขาจะทำอย่างไรก็ตาม แต่เจียงหวายเย่ก็ไม่เคยทำสีหน้าเหมือนอยากจะฆ่าเขาให้ตายมาก่อนเลย
รังสีอาฆาตนี้ทำให้เขาถึงกับต้องเงียบไปพักหนึ่ง แล้วรีบถอยออกมาหลายก้าวแต่เขาก็ไม่ได้ไปไกลจากเจียงหวายเย่มากนัก
“นี่ เจ้านายของเจ้าเป็นอะไรไป?” เขาเดินไปหาอันอี้แล้วถามด้วยเสียงค่อยๆ
มุมปากของอันอี้ก็กระตุกเล็กน้อยแล้วเมินเขา
“หรือว่าข้าจะพูดถูก?” รุ่ยเหยียนพูดออกมาแล้วจากนั้นก็พบว่าเขาถูกจ้องด้วยสายตาอาฆาตของเจียงหวายเย่อีกรอบ
จากนั้นเขาก็ได้มองไปที่ยาที่มีคนนำเข้ามา แล้วจมูกของเขาก็ได้ขยับเล็กน้อยแล้วจากนั้นก็ได้กล่าวออกมาด้วยสีหน้านิ่งๆ “ใครเป็นคนจัดยานี้มา นี่มันถูกต้องเลยนะเนี่ย”
เมื่อเจียงหวายเย่ได้ยินเสียงของเขา ความกังวลในใจของเขาก็ได้หายไป
แล้วการอาบยานี้ก็ได้ดำเนินต่อไปจนแล้วเสร็จในตอนที่พระอาทิตย์ค่อยๆขึ้นมา
จากนั้นรุ่ยเหยียนก็ได้ยื่นยารักษาแผลส่งให้อย่างสนใจ ซึ่งยาตัวนี้เป็นยาที่เขาคิดค้นขึ้นมาเป็นอย่างดี เมื่อหลงเยว่มองดูแล้วก็ได้มีแววตาประหลาดใจในดวงตาของนางแล้วจากนั้นก็ได้ใช้มันบนร่างของหลินซีเหยียน