บทที่ 122
ความยุติธรรม
“ข้าหวังว่าฝ่าบาทจะทรงช่วยตัดสินพระทัยแทนหม่อมฉันด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ราชครูซูกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรง แต่แววตาของเขาหาได้อ่อนลงไม่
วาจาสุดแสนเศร้าโศกของเขาเรียกร้องความเห็นใจได้อย่างมากมายนับไม่ถ้วน
ฮ่องเต้เองก็คิดว่าการลอบทำร้ายราชครูนั้นก็เหมือนกับการตบหน้าเขาอย่างร้ายแรง เขาจึงส่งฉินเหวินเจิ้งจากหน่วยงานราชวินิจฉัยให้เป็นคนจัดการกับเรื่องนี้
แต่ในท้ายที่สุดของเรื่องนี้ราชครูก็ได้กลายเป็นคนพิการไป แม้ในอนาคตคิดว่ายังพอจะมีหนทางรักษาได้ แต่คงไม่สามารถที่จะยืนหยัดในตำแหน่งขุนนางได้อีกแล้ว
ราชครูซูเองก็รู้ตัวดี แต่เขาจะไม่ยอมให้คนอื่นเขี่ยเขาลงเฉยๆอย่างแน่นอน เขาต้องใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อลูกสาวของเขาได้รู้บรรลุความเป็นจริงแล้ว
“ฝ่าบาท ข้าน้อยมีเรื่องอยากกราบทูล” ราชครูซูกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
ที่จริงแล้ว ฮ่องเต้เองรู้สึกผิดต่อราชครูที่ให้เขาอยู่ในตำแหน่งนี้เป็นเวลานานเกินไป ในเวลานี้เขาอยากจะให้ชายผู้นี้ได้พักบ้างแล้ว แต่ก็ไม่กล้าพูดออกไป
ทำได้เพียงแค่รอโอกาสเท่านั้น แล้วฮ่องเต้ก็ได้กล่าวด้วยเสียงหนักแน่น “ว่ามา”
“ตอนนี้ ข้าน้อยขาพิการเสียแล้ว ข้าคงมิอาจแสดงความจงรักภักดีต่อฮ่องเต้ได้แล้ว ข้าจึงอยากขอพระบรมราชานุญาตให้ข้าน้อยได้กลับบ้านเกิดเสียที”
“ได้สิ” ฮ่องเต้ก็ได้มองราชครูอย่างพึงพอใจ และความสัมพันธ์ของพวกเขาก็พัฒนาขึ้นไปอีกระดับแล้ว
แต่ฮ่องเต้นั้นจะปล่อยให้ข้าราชบริพารที่ทำงานสมกับตำแหน่งเช่นนี้ต้องจากไปอย่างน่าสลดได้อย่างไร “ข้าอนุญาตให้ท่านราชครูพักอยู่ในเมืองหลวงเพื่อพักฟื้นต่อได้ นอกจากนี้ เจ้ายังมีเรื่องที่ต้องการอยู่อีกหรือไม่?
ราชครูได้ยินเข้าก็ถอนหายใจ “ข้าน้อยไม่รู้จะตอบแทนฝ่าบาทเช่นไรดีแต่ทว่า ฝ่าบาทพอจะได้ยินมาว่าข้าน้อยมีบุตรสาวชื่ออวิ๋นโยวใช่หรือไม่?
“นางนั้นมีความสามารถเป็นเลิศในเมืองหลวง และข้าเองก็ได้ยินชื่อเสียงของนางบ่อยๆ ความกังวลของราชครูเกี่ยวข้องกับนางอย่างนั้นรึ?”
ครั้งหนึ่งฮ่องเต้เจียงเองก็รู้สึกอยากผูกสัมพันธ์กับซูอวิ๋นโยว ถึงแม้ว่านางนั้นจะไม่น่าทึ่งเมื่อพบเหมือนกับบุตรีคนที่สองของตระกูลหลิน แต่นางก็ยังมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ถ้าได้มาเป็นนางสนมก็คงเป็นเรื่องดีไม่น้อยเลยทีเดียว
แต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีใครที่ต้องการลูกท้อแห้งเหี่ยวอย่างตัวเขาบ้างหรือเปล่า
เมื่อราชครูซูพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เจียงหวายเย่ก็ได้รู้สึกไม่ค่อยดีขึ้นมาตัวเขานั้นยังคงนั่งอยู่ที่รถเข็นนั้น ก็ได้มองไปราชครูซูอย่างเย็นชาเหมือนเป็นการเตือน
ปกติคนธรรมดาทั่วไปย่อมไม่มีใครผลักไสไล่ส่งลูกสาวตัวเองไปเข้ากองไฟแน่ๆ เพราะถ้าก้าวพลาดเพียงนิดเดียวก็จะถูกไฟเผาเอาได้ แต่อันตรายต่างๆเหล่านั้นสามารถที่จะต้านทานได้ และราชครูซูนั้นมั่นใจในตัวลูกสาวของเขาที่เลี้ยงดูมาอย่างดีตั้งแต่เล็กๆได้
“ทูลฝ่าบาท ลูกสาวของข้าคนนี้ต้องการที่จะเป็นชายาขององค์ชายรัตติกาลพ่ะย่ะค่ะ” ราชครูกล่าวออกมา
หลังจากได้ยินเรื่องนี้ ฮ่องเต้ก็ทรงกริ้ว นี่ราชครูซูจงใจที่จะประจบเจียงหวายเย่ต่อหน้าเขาอย่างนั้นหรือ?
ระหว่างที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็ได้ยินน้ำเสียงเย็นชาของเจียงหวายเย่ดังขึ้นมาในหูของเขา
“ท่านราชครูซู อย่าได้ตกลงเช่นนี้กับองค์ชายเลย ในเวลานี้ข้าคงมิอาจแต่งงานกับแม่นางซูได้ อีกทั้งข้าได้ยินว่าแม่นางซูเองก็หลงใหลในตัวฝ่าบาทมาเป็นเวลานานเช่นกัน ทำไมท่านราชครูถึงทำกับคู่รักเช่นนั้น”
“ไม่” ราชครูซูไม่คิดเลยว่าเจียงหวายเย่จะปรักปรำเขาเช่นนั้น
“หรือว่าท่าทีที่องอาจฝ่าบาทไม่เข้าตาของแม่นางซูอย่างงั้นหรือ?” โดยไม่ปล่อยให้ราชครูซูมีโอกาสได้เล่นลิ้น เจียงหวายเย่ได้เพิ่มเชื้อไฟเข้าไปอีกโดยยังคงสีหน้าเดิมเอาไว้
ราชครูซูและมหาเสนาบดีหลินนั้นเป็นดั่งมือขวาของฮ่องเต้มาตลอด ไม่ว่าพวกเขานั้นจะกล้าหาญมากเพียงใดแต่ก็ไม่กล้าทรยศต่อฮ่องเต้แน่
เขาจึงจำเป็นต้องขัดขวางแผนการของพวกเขาเท่านั้น เพื่อไม่ให้ช่องว่างระหว่างตนกับฮ่องเต้ห่างเหินขึ้นไปอีก
“ฝ่าบาทนั้นเป็นผู้มีพรสวรรค์ มีหญิงสาวคนใดบ้างที่ไม่อยากหลงรัก แต่ข้านั้นแค่เกรงว่านางจะไม่อยู่ในสายตาของฝ่าบาทเท่านั้น” ราชครูซูกล่าวด้วยใบหน้าที่ใจเย็นแต่ที่ฝ่ามือนั้นเหงื่อไหลท่วม
สีหน้าของฮ่องเต้เจียงก็ดูเบาใจลงมาเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ได้โบกมือใหญ่ๆของเขา “ซูอวิ๋นโยว ลูกสาวของท่านราชครู ข้าได้ยินชื่อเสียงของนางมาช้านาน หากว่านางต้องการที่จะเข้ามาในวังแล้ว ข้ารับนางเข้ามาและมอบชื่อให้นางว่าอวิ๋นผิง”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
ในเวลานี้ซูอวิ๋นโยวก็สามารถเข้าพระราชวังได้อย่างเป็นที่แน่นอนแล้ว และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่ายๆ
จากนั้น ฮ่องเต้ก็ตกรางวัลราชครูซูเป็นทรัพยากรจำนวนมาก ทำให้ตัวเขานั้นอยู่ท่ามกลางแสงไฟต่อไปได้อีกสักระยะ
ณ พระราชวังรัตติกาล หลินซีเหยียนนอนแผ่อยู่บนเตียง ด้วยท่าทางที่เบื่อหน่ายอย่างสุดๆ
“ท่านแม่” เทียนเอ๋อเรียกหลินซีเหยียนในมือถือกระดาษกับปากกาเดินเข้ามา
หลินซีเหยียนเลิ่กคิ้วขึ้นมา “ต้องการอะไรเจ้าตัวแสบ?”
“ท่านแม่สัญญากับเทียนเอ๋อแล้วว่าจะออกแบบพวกเครื่องเพชรให้เทียนเอ๋อไง” เทียนเอ๋อเม้มปากด้วยความหงุดหงิดกับความขี้ลืมของหลินเซียน
หลินเซียนกลอกตาไปมาอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะขดตัวบนเตียง “แม่เจ้าป่วยกำลังจะตายแบบนี้ ยังจะมาคาดคั้นอะไรกับแม่อีก”
เทียนเอ๋อมองดูแม่ของเขาที่ยังดูกระปรี้กระเปร่าอยู่ ก็ยิ้มแล้วกล่าว “ท่านแม่ ถ้าโรงเตี๊ยมซื่อฟางเปิดทำการได้อย่างราบรื่นละก็ ข้าจะแบ่งกำไรให้ท่านแม่นะ”
“ให้เท่าไหร่ล่ะ” หลินซีเหยียนตาเป็นประกายแต่สีหน้ายังคงไม่พอใจ
เทียนเอ๋อเม้มมุมปาก “สองส่วน”
“ห้าส่วน”
นี่มันอ้อยเข้าปากช้างชัดๆ เทียนเอ๋อทำหน้ายู่ “ไม่ สามส่วนเต็มที่แล้ว”
“สี่ส่วน” มีรอยยิ้มที่มุมปากของหลินซีเหยียนอย่างชัดเจน
ภายใต้แรงกดดันของหลินซีเหยียน เทียนเอ๋อจำต้องตกลงอย่างช่วยไม่ได้ แต่ความไม่พอใจของเขาก็ได้พลันหายไปเมื่อได้เห็นแบบร่างที่หลินซีเหยียนวาดให้
“ท่านแม่ ข้าไม่นึกเลยว่าท่านแม่จะมีความสามารถด้านนี้ด้วย” เทียนเอ๋อกล่าวชมมารดาของเขาอย่างไม่ลังเล
หลินซีเหยียนเชิดคางอย่างองอาจ
ภาพปิ่นปักผมสีกล้วยไม้ที่วาดลงบนกระดาษขาวนั้น แม้จะยังเป็นเพียงแค่ภาพวาด แต่ก็ทำให้ผู้คนที่ได้พบเห็นรู้สึกได้ถึงความบริสุทธิ์และน่าหลงใหลได้
เทียนเอ๋อก็ได้นำรูปในมือรีบวิ่งออกไปจากพระราชวังด้วยจี๋เฟิง เขานั้นดูตื่นเต้นมาก เพราะเขามั่นใจว่าปิ่นปักผมอันนี้จะต้องขายได้อย่างแน่นอน
หลินซีเหยียนมองแผ่นหลังของเทียนเอ๋อที่กำลังวิ่งออกไปก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน แต่นางก็หัวเราะไม่ออกเพราะคนที่เข้ามาหลังจากนั้น
“หลงเยว่ได้เข้ามาเพื่อที่จะล้างแผลให้พระชายา”
หลงเยว่? ทำไมหลงเยว่ถึงมาที่นี่ได้? มีคำถามมากมายหลายร้อยพัน แต่หลินซีเหยียนก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา หากแต่พูดอย่างใจเย็น ” รบกวนด้วย ”
จากนั้น หลงเยว่ก็ได้ถือกล่องยาเข้ามาวางตรงหน้าของหลินซีเหยียน หลังจากที่เห็นสภาพของหลินซีเหยียนแล้วหลงเยว่ก็รู้สึกเบาใจขึ้นมา
บาดแผลของนางนั้นไม่หนักมากแล้ว ขอเพียงรักษาบาดแผลให้ดี ไม่นานนักก็จะหายเป็นปกติ
“หลงเยว่ เจ้า…”
แม้จะพูดยังไม่จบ แต่หลงเยว่ก็รู้ว่านางต้องการจะถามอะไร หลงเยว่จึงได้เปลี่ยนท่าทีและพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะทำเช่นใด โดยเฉพาะเจ้าที่บาดเจ็บหนักเช่นนี้ด้วย”
บทสนทนานี้หนักอึ้งยิ่งนัก สำนักหมอพิษนั้นเป็นสำนักที่อยู่ทั้งฝ่ายดีและฝ่ายร้าย จึงมีศัตรูมากมายรอบด้าน ก่อนหน้านี้ที่อยู่ของพวกเขานั้นจำต้องเก็บเป็นความลับจึงไม่มีใครมาทำอะไรได้ แต่ในเวลานี้เกรงว่า…..
ในเวลานี้ได้เลยจุดที่จะพูดเรื่องนี้มาแล้ว หลินซีเหยียนจึงได้ให้หลงเยว่รีบย้ายที่ซ่อนตัวของสำนักหมอพิษโดยไว
“เรื่องทั้งหมดนี้ข้าคาดไว้อยู่แล้ว และสำนักยาพิษเองเริ่มทำการย้ายแล้ว และข้าก็พบที่ซ่อนที่ใหม่แล้ว” หลงเยว่พูดอย่างจริงจัง