บทที่ 123
ตัวประกันที่กำลังรอ
หลงเยว่ที่กำลังรักษาแผลอยู่นั้น หลินซีเหยียนก็ได้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก หลังจากหลงเยว่มาเปลี่ยนผ้าพันแผลให้แล้ว หลินซีเหยียนก็นึกขึ้นได้ว่านางสัญญาไว้ว่าจะรักษาคุณชายท่านหนึ่งเอาไว้
เกรงว่าจะต้องผิดเวลานัดเสียแล้ว
“เสี่ยวเหยียนเอ๋อ, เจ้าพักผ่อนเสียก่อนเถอะนะ ยังมีธุระในสำนักที่ข้ายังจัดการไม่เรียบร้อยเพราะฉะนั้นข้าจะขอตัวกลับไปก่อน” หลงเยว่ลุกขึ้นพูดอย่างยิ้มแย้ม
“หลงเยว่รอเดี๋ยวก่อน ขอข้าเขียนจดหมายฉบับนึง แล้วช่วยนำไปส่งให้ที่โรงหมอหุยชุนที” หลินซีเหยียนเรียกหลงเยว่ให้หยุดรอแล้วจึงวานเทียนเอ๋อให้เอาปากกากับกระดาษมาให้นาง
เนื้อความในจดหมายของหลินซีเหยียนนั้นคืออธิบายให้คนของโรงหมอหุยชุนรับทราบว่า ถ้ามีใครพบเห็นคุณชาย ให้ฝากขอโทษคุณชายแทนนางทีและสัญญาว่าจะรักษาให้เขาภายในเจ็ดวันหลังจากนี้
หลังจากเขียนเสร็จก็ได้ฝากจดหมายให้กับหลงเยว่แล้ว หลินซีเหยียนก็ได้ทิ้งตัวนอนลงบนเตียง เพลิดเพลินกับเวลาว่างอย่างเต็มที่
ขณะที่หลินซีเหยียนกำลังอยู่อย่างสุขสบายในพระราชวังนั้น ข่าวก็ได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง
“ได้ยินว่าบุตรีคนเล็กของมหาเสนาบดีกลับมาจากการสถาบันแล้วอย่างนั้นหรือ?” คุณชายท่านหนึ่งกล่าวอย่างตื่นเต้น
อีกฝ่ายเองก็ไม่ได้ยอมแพ้เช่นกัน “ข้าได้ข่าวมาก่อนหน้านี้นานแล้ว แล้วก็ได้ยินว่าบุตรีคนที่ห้านี้เก่งกาจจนได้เป็นลูกศิษย์ท่านปรมาจารย์เสียนอวิ๋นเลยเชียวนะ”
“แม่เจ้าโว้ย! ข้าเองก็อยากคำนับปรมาจารย์เสียนอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องที่สุดในโลกเป็นอาจารย์เช่นกัน แล้วนี่ใช้เวลาแค่ 6 ปีก็สำเร็จวิชาแล้ว คุณหนูห้านี่น่าทึ่งจริงๆ!”
หลินรั่วจิงเป็นบุตรีคนสุดท้องของมหาเสนาบดีหลิน เมื่ออายุได้แค่สิบเอ็ดปี นางได้ไปอยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของปรมาจารย์เสียนอวิ๋นและออกเดินทางไปทั่วโลก และในวันนี้นางคนนั้นได้กลับมาพร้อมกับความยิ่งใหญ่แน่
ณ เวลานี้ ทั่วประเทศต่างรอคอยที่จะได้ยลความงามของคุณหนูห้าอย่างใจจดใจจ่อ
แน่นอน ราชวงศ์รู้เรื่องนี้ดีเช่นกัน แม้ดูผิวเผินเหมือนกระแสน้ำนิ่งไม่ไหวติง แต่ใต้ล่างนั้นทั้งดำมืดและวุ่นวายปั่นป่วน
“ส่งคนคอยไปดูความเป็นไปในจวนมหาเสนาบดีหลินไว้ให้ดี ถ้าคุณหนูห้ากลับถึงแล้วให้รีบมารายงานเปิ่นหวางทันที” องค์ชายสี่เจียงช่างเฉินสั่งการด้วยสีหน้าที่บอกไม่ถูก
“คราวนี้แหละ เปิ่นหวางจะต้องแข็งแกร่งขึ้นอย่างแน่นอน!” องค์ชายสอง เจียงเป่ยเหาเองกล่าวเช่นกัน
ไม่ใช่แค่เหล่าองค์ชายเชื้อพระวงศ์เท่านั้น แม้แต่เหล่าคุณชายและขุนนางต่างก็รอคอยบุตรีคนสุดท้องของจวนมหาเสนาบดี เพื่อลุ้นว่าใครจะได้ไปครอง
หลินรั่วจิงไม่ใช่เป็นเพียงบุตรีของจวนมหาเสนาบดีเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นนักคิดชั้นดีที่จะคอยช่วยให้เหล่าชายหนุ่มได้สำเร็จในความทะเยอทะยานของพวกเขา
แต่ทว่านักคิดผู้นี้ก็ไม่ใช่ผู้ที่จะถูกคนทั่วใช้งานได้ง่ายๆ
บนชั้นสองของโรงแรมลึกลับแห่งหนึ่ง มีสาวน้อยในชุดสีขาวยืนพิงหน้าต่างอยู่ ท่าทางดูสูงส่งและบริสุทธิ์ พร้อมรอยยิ้มที่น่าปรารถนาในริมฝีปากของนาง
“คุณหนูเจ้าคะ ตอนนี้ทั่วเมืองหลวงต่างกำลังรอคอยการกลับมาของคุณหนูอยู่นะเจ้าคะ” ไห่ถังสาวใช้ของหลินรั่วจิงซึ่งดูแลนางมาตั้งแต่เด็กกล่าวถาม
อาจเป็นเพราะว่านางนั้นติดตามคุณหนูห้าอยู่ตลอด และคอยซึมซับจากนางทีละเล็กทีละน้อย จนในเวลานี้แม้แต่สาวใช้ก็ยังฉลาดและหลักแหลมเหนือสาวใช้ทั่วไป
หลินรั่วจิงมองดูเหล่าผู้คนที่เข้ามาอยู่ด้านล่างอย่างสนใจ แววตาแสงสลัวๆปรากฏขึ้นมาในดวงตาของนาง “ไหนๆทุกคนก็คาดหวังกันอยู่แล้ว ก็กลับมาแบบเป็นเป้าสายตาผู้คนไปเลยก็แล้วกัน”
“แล้วคุณหนู, จะทำเช่นไรเจ้าคะ?”
“แจ้งข่าวไปว่าข้าจะกลับไปถึงเมืองหลวงในอีกสองวัน” ริมฝีปากสีชมพูบางๆของนาง ด้วยเสียงที่เบาบางและดำมืดชวนน่าสับสนยิ่งนัก
แล้วในที่สุดข่าวก็แพร่มาถึงหลินซีเหยียนโดยผ่านทางเจียงหวายเย่ หลินซีเหยียนก็ได้ขมวดคิ้วและนึกถึงหลินรั่วจิง อย่างจริงจัง
แต่สุดท้าย นางก็นึกออกแค่ว่าหญิงสาวคนนั้นเคยเป็นคนที่ขี้อายและไม่เคยทำอะไรเกินตัวมาก่อน
สาวน้อยที่ลงมาจากสรวงสวรรค์พร้อมด้วยปัญญาที่ไร้เทียมทาน ทั้งความงามและความฉลาดของนางจะทำให้นางกลายเป็นที่น่าสนอกสนใจอย่างแน่นอน
แม้อาการบาดเจ็บของหลินซีเหยียนจะไม่สาหัสเท่าไรนัก แต่เพราะบาดแผลจำนวนมากทำให้นางเคลื่อนไหวได้จำกัด ทั้งนี้ไม่ว่านางจะมีความคิดมากน้อยเท่าไหร่ นางก็ทำได้แค่อยู่ในห้องเท่านั้น
เทียนเอ๋อที่ออกไปพร้อมกับจี๋เฟิง ก็ได้นำภาพวาดนั้นไปให้คนของเขา แล้วจากนั้นเขาก็ได้มีความสุขกับการที่มีคนคอยทำให้เขาทุกอย่าง กินเมื่ออยากกิน และเล่นเมื่ออยากเล่น
จากนั้นเขาก็ได้เข้าไปในร้านน้ำชาแห่งหนึ่ง ท่ามกลางฝูงชนที่พลุกพล่าน แล้วก็ได้ยินเสียงที่ตะโกนอย่างกระวนกระวายดังขึ้นมา
“นายน้อยเทียนเอ๋อ, ท่านไปอยู่ที่ไหนแล้ว”
เทียนเอ๋อคิดในใจ “ท่านพี่จี๋เฟิง ข้าขอโทษนะ” จากนั้นก็เข้าไปปะปนกับฝูงชนแล้วออกไปทางประตูหลัง
จี๋เฟิงนั้นไม่ทันสังเกตเห็นและยังคงมองหาต่อไปในร้านน้ำชานั้น
ออกมาจากร้านน้ำชาแล้ว เขาก็ได้เอามือลวงเข้าไปที่กระเป๋าเสื้อเล็กๆ แล้วหยิบเอา “ของดี” ที่เขาเลือกมาเป็นอย่างดีออกมา เขาจะต้องมอบสิ่งนี้ให้กับคนที่ทำร้ายแม่ของเขาให้ได้
ถึงแม้จะพูดออกไปเช่นนั้น แต่เมื่อเทียนเอ๋อมองไปรอบๆ เขาไม่เห็นจวนสกุลซูเลย จุดสุดท้ายจนปัญญา หลินเทียนซื่อจึงตัดสินใจยอมเอาตัวเข้าแลก
เขายื่นแขนออกไปกันหญิงสาวรูปงามผู้หนึ่ง “พี่สาวรู้ไหมว่า ท่านราชครูซูอาศัยอยู่หนใด? ”
สาวน้อยตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นจึงก้มลงลูบหัวเทียนเอ๋อ “ท่านราชครูซูอยู่ที่ถนนชางเชิ่งทางฝั่งตะวันตกของเมือง”
“ขอบคุณมาก พี่สาว” แล้วเทียนเอ๋อก็ถามต่อ “แล้วข้าจะไปถนนชางเชิ่งยังไงขอรับ?”
“ที่นี่อยู่ห่างจากจวนท่านราชครูซูไม่มาก เดี๋ยวข้าจะพาไปเองนะ” หญิงสาวคนนี้ใจดีมากจึงพาไปจวนสกุลซู
ก่อนจะจากกัน หญิงสาวหันกลับไปถามเทียนเอ๋อ “น้องชายเป็นญาติกับท่านราชครูซูเหรอ?”
เทียนเอ๋อพยักหน้าตาไม่กะพริบ หลังจากมองดูพี่สาวเดินจากไปแล้ว เทียนเอ๋อเดินสำรวจดูรอบจวนของราชครูซูจนเจอกับรูที่สุนัขขุดเอาไว้
แม้จะมีคนเคยบอกไว้ว่าการลอดรูสุนัขนั้นเป็นเรื่องเสียชื่อมากๆ แต่ก็มีคนเคยพูดไว้ว่า คนที่คิดการใหญ่จะไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ แล้วจะมัวรออะไรอยู่ เทียนเอ๋อก็ได้มุดเข้าไปทั้งๆแบบนั้น
“เจ้าเป็นใคร ถึงทำตัวเหมือนหมาเช่นนี้”
เทียนเอ๋อดวงซวยสุดๆ พอเขาเข้ามาถึงก็เจอกับชายหนุ่มคนหนึ่งเข้า ด้วยความกลัวว่าจะถูกเปิดโปง เทียนเอ๋อขว้างผงยาใส่ชายคนนั้น
แล้วชายคนนั้นก็ล้มลงหมดสติไป
“เจ้าคนเลวนั่นอยู่ที่ไหนกันนะ?” เทียนเอ๋อรู้สึกเหนื่อยล้า เขานั่งหลบอยู่ใต้บันไดที่หัวมุมหนึ่งของจวน
ในขณะที่กำลังสงสัยอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวาย “ถอยไป! แล้วไปบอกอวิ๋นเอ๋อด้วยว่าการอภิเษกสมรสกับฮ่องเต้นั้นไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้
“รับทราบขอรับ!” หลังจากพูดจบพ่อบ้านของสกุลซูแล้วจากไปทันที
เทียนเอ๋อที่แอบซ่อนอยู่ใกล้ๆ ก็ได้ตาเบิกโพลงคนที่เขาตามหาอยู่จะต้องเป็นคนนี้แน่นอน เขาลุกขึ้นอย่างช้าๆและแอบชำเลืองมองดู แล้วพบว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ๆตาแก่เลวนั่นแล้ว
นี่เป็นโอกาสดีสุดๆที่เขาจะสั่งสอนตาแก่เลวคนนั้นแล้ว
ราชครูซูได้หันรถเข็นกลับแล้วกลับไปที่ห้องของเขา และไม่ทันรู้สึกตัวว่ามีอะไรบางอย่างสะกดรอยตามเขาอยู่ข้างหลัง จนกระทั่งเมื่อกลับมาถึงห้องและกำลังจะปิดประตู เทียนเอ๋อก็โผล่ออกมา
ก่อนที่ราชครูซูจะทันรู้ตัว เขาก็ได้สาดผงยาเต็มกำมือใส่ราชครูซูหมดสติไป
“เอาล่ะ ไหนดูซิว่าจะแก้แค้นให้ท่านแม่ยังไงดีนะ?”
เทียนเอ๋อไม่คิดจะทำถึงขนาดจะฆ่าจะแกงกัน แต่ถ้าเรื่องแกล้งคนนั้นแล้วเขานั้นไร้ขอบเขต เขาโกนผมของราชครูซูออกรวมไปถึงหนวดเคราและคิ้วด้วย
แถมยังเขียนคำว่า”สารเลว”ลงบนหน้าของราชครูด้วย ซึ่งตัวหนังสือคำว่าสารเลวนี้ตัวใหญ่มาก แล้วยังใช้สีแบบพิเศษอีกที่ไม่สามารถล้างออกง่ายๆด้วยน้ำเปล่าอีกด้วย