บทที่ 127
น้องสาวที่ไม่เจอกันนาน
แล้วทั้งสามคนก็ได้เดินจูงมือไปด้วยกัน
แต่ในความเป็นจริงแล้วก็แค่เจียงหวายเย่กับ หลินซีเหยียนนั้นจูงมือเทียนเอ๋อพร้อมกันเท่านั้น
ทั้งสามคนนั้นดูเป็นเป้าสายตาอย่างมาก ถึงแม้ว่าความงดงามครึ่งหนึ่งบนใบหน้าของเจียงหวายเย่นั้นถูกเก็บซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากธรรมดาๆอันนั้น แต่ก็ยังคงโดดเด่นมากอยู่ดี
ผู้คนบนถนนจึงต่างก็จับจ้องมาที่พวกเขาอยู่พักใหญ่ๆ
“แม่นาง ท่านคือบุตรีคนที่สองของจวนมหาเสนาบดีใช่หรือไม่?” จู่ๆก็มีคุณชายที่ไหนก็ไม่รู้โผล่ออกมา ซึ่งเขานั้นดูเหมือนพวกคงแก่เรียนมาก
หลินซีเหยียนจึงได้ยักคิ้ว แล้วจากนั้นก็มองดูดวงตาอายๆของผู้คงแก่เรียนคนนี้ ก่อนจะยิ้มและถาม “ใช่แล้ว คุณชายถามหาข้าทำไมเหรอ?”
“สะ…สวัสดี ข้ามีชื่อว่ามู่หลงเช่อ เป็นบุตรคนที่สองของตระกูล” มู่หลงเช่อนั้นเหมือนจะไม่ค่อยเก่งเรื่องการคุยกับผู้หญิงเท่าไรนัก เขาพูดแค่ไม่กี่คำกับหลินซีเหยียนแล้วสีหน้าของเขาก็แดงแจ๋ทันที
แล้วริมฝีปากของนางก็กระตุกขึ้นมา หลินซีเหยียนจึงได้ถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่สบายๆ “ไม่ทราบว่าคุณชายตามหาข้าทำไมรึ?”
แต่นางก็ได้พยายามนึกดูในใจของนาง ว่านางนั้นเคยพบกับชายที่อยู่ตรงหน้าบ้างหรือเปล่า?
แต่ก็พบว่าไม่เลย ไม่ว่าจะเป็นในความทรงจำของเจ้าของร่างหรือของนางก็ตามแต่ แต่ก็ยืนยันได้ว่านางนั้นไม่เคยพบกับคนที่อยู่ตรงหน้าของนางมาก่อนเลย
เมื่อเห็นดวงตาที่สงสัยของหลินซีเหยียนแล้ว มู่หลงเช่อก็ได้ตอบกลับไป “ข้านั้นชื่นชม…ชื่นชมคุณหนูห้ามานานแล้ว และนี่คือจดหมายที่ข้าเขียนให้นาง ข้าหวังให้ท่าน….จะช่วยเหลือข้าด้วย”
หลังจากที่คุยมาได้สักพัก อาการที่ตื่นตระหนกของ มู่หลงเช่อก็ได้มากขึ้นเรื่อยๆ
“แล้วทำไมคุณชายถึงได้คิดว่าข้าจะช่วยเจ้าด้วย?” หลินซีเหยียนก็ได้ถามด้วยสีหน้านิ่งๆและดวงตาที่สีดำราวกับกลางคืนของนาง
จริงด้วยสิ ทำไมนะ? ทั้งๆที่ไม่มีใครช่วยเขาเลยแท้ๆ แล้วสุดท้ายเขาก็ได้กัดฟันแล้วพูดออกไป “ข้า….ข้าเคยสัญญากับคุณหนูห้าเอาไว้ตอนที่ยังเป็นเด็ก ถึงแม้ว่าคุณหนูห้านั้นอาจจะลืมไปแล้ว แต่ข้ายังคงจำได้และยังคงรอคอยคำตอบจากนางอยู่”
ไม่รู้ว่าความรู้สึกรักนั้นมันมาจากไหน แต่เมื่อมันมาแล้วก็ยากที่จะถอนตัวออกมาได้ แล้วยังเป็นชายหนุ่มที่บริสุทธิ์และลุ่มหลงในรักเช่นนี้ด้วยแล้ว ไม่รู้เลยว่ามันเป็นโชคดีของคุณหนูห้าหรือว่าเป็นหายนะของมู่หลงเช่อกันแน่”
แต่อย่างไรก็เถอะ มันก็น่าสนุกดีที่จะช่วยเขานำจดหมายนี้ไปส่งให้!
“ส่งจดหมายนั่นมา แล้วข้าจะเอาไปส่งให้เจ้าเอง”
หลินซีเหยียนก็ได้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชามาก แต่กลับเข้าหูของมู่หลงเช่อด้วยเสียงที่ราวกับธรรมชาติ เขาจึงได้ผงกหัวอย่างเร่งรีบราวกับกลัวว่าหลินซีเหยียนนั้นจะเปลี่ยนใจ
“เสี่ยวเหยียนเอ๋อ เจ้าคิดที่จะกลับไปที่จวนของมหาเสนาบดีจริงๆเหรอ?” ดวงตาที่แหลมคมของเจียงหวายเย่ก็ได้จับจ้องมาที่นางแล้วกล่าวอย่างไม่ยินดีนัก “บาดแผลของเจ้ายังไม่หายดีเลยนะ”
“ข้าจะทำอะไรนั้นมันก็อิสระของข้าไม่ใช่รึ?” ถึงแม้ว่านางนั้นจะรู้ดีว่าคนที่อยู่ข้างหลังนางนั้นเป็นห่วงนาง แต่นางก็ยังพูดคำพูดที่เย็นชาออกมา
เจียงหวายเย่จึงมีสีหน้าเจ็บปวดและดวงตาของเขาก็เต็มความไม่พอใจ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพราะเขานั้นรู้ดีอยู่ตลอดเวลาถึงความหัวดื้อของเสี่ยวเหยียนเอ๋อ
ด้วยเหตุนี้หลินซีเหยียนกับเทียนเอ๋อจึงได้กลับไปที่ จวนมหาเสนาบดีด้วยกัน แล้วปล่อยทิ้งเจียงหวายเย่อยู่บนถนนตามลำพัง และมองดูด้วยสีหน้าที่ยุ่งยากใจ
หลังจากนั้นพักใหญ่ดวงตาของเจียงหวายเย่ก็แสดงถึงความโดดเดี่ยวและรอยยิ้มที่ประชดประชันก็ได้ปรากฏที่มุมปากของเขา “ทำตัวเองราวกับว่าเป็นเหมือนสมบัติล้ำค่า แต่หารู้ไม่ว่าเป็นแค่เพียงต้นหญ้าสำหรับเสี่ยวเหยียนเอ๋อเท่านั้น”
“ก็ได้….เปิ่นหวางก็จะไม่ยุ่งด้วย และกลับพระราชวังล่ะ”
ด้วยเหตุนี้เจียงหวายเย่ก็ได้กลับไปที่พระราชวังด้วยสีหน้าหดหู่ ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับ เสี่ยวเหยียนเอ๋อในครั้งนี้ เขาจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อีกแล้ว ในเวลานี้อารมณ์ของเจียงหวายเย่นั้นไม่ดีอย่างสุดๆ
แต่ทว่าก็ได้มีบางคนที่ถลาเข้ามายังปากปล่องภูเขาไฟนี้โดยไม่มีใครห้ามได้
“ให้ข้าเข้าไปนะ ข้าต้องการที่จะพบกับองค์ชาย” อวี้ตี๋เอ๋อนั้นถูกหยุดอยู่ที่หน้าประตูโดยข้ารับใช้ของพระราชวัง
“เจ้าสุนัขรับใช้ เจ้าก็รู้จักข้าไม่ใช่เหรอ? ข้าน่ะเป็นถึงลูกศิษย์ของหมอเทวดาเฉินเลยนะ” อวี้ตี๋เอ๋อก็ได้จ้องไปที่ข้ารับใช้ด้วยสายตารังเกียจราวกับว่าพวกเขาเป็นแค่ฝุ่นบนพื้นที่ทำให้ท้องฟ้าและดวงจันทร์ของนางเป็นมลพิษ
“แม่นางอวี้ ที่พระราชวังนี้มีคำสั่งห้ามไม่ให้ท่านเข้ามาในพระราชวังแห่งนี้แม้แต่ก้าวเดียว” ข้ารับใช้ก็ได้ตะโกนกลับไปอย่างชัดเจนมาก
อวี้ตี๋เอ๋อก็ได้โกรธจัดและคิดที่จะตบปากของข้ารับใช้ แต่มือของนางก็ถูกคว้าโดยข้ารับใช้เสียก่อน โดยไม่คิดว่าจากข้ารับใช้ที่ขี้ขลาดจะกล้าตอบโต้นางได้
แล้วข้ารับใช้ก็ได้กล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ข้านั้นเป็นแค่ข้ารับใช้แล้วทำไม? แต่ข้าก็เป็นข้ารับใช้ของเทพสงครามหาใช่ของเจ้าไม่”
ใบหน้าของอวี้ตี๋เอ๋อก็ได้แดงมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับลูกโป่งสีแดงที่กำลังจะระเบิด
ในขณะที่ทั้งสองคนนั้นอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกันอยู่นั้น ก็ได้มีบางคนออกมาจากพระราชวังและอนุญาตให้อวี้ตี๋เอ๋อเข้ามาได้ แล้วใบหน้าที่โกรธของอวี้ตี๋เอ๋อนั้นก็ได้กลายเป็นรอยยิ้มอย่างเขินอายออกมา และนางนั้นรู้อยู่แล้วว่าองค์ชายนั้นย่อมที่จะไม่ลืมนางง่ายๆแน่
องค์ชายนั้นยังคงมีนางอยู่ในดวงใจของเขา
แล้วสีหน้าของข้ารับใช้ก็ได้แข็งทื่อขึ้นมาและปล่อยให้นางเข้าไป
ภายใต้การนำของอันอี้ อวี้ตี๋เอ๋อก็ได้เข้ามาในพระราชวังแล้วจากนั้นก็พบกับเจียงหวายเย่ที่นั่งอยู่ที่รถเข็นพร้อมหน้ากากหยกบนใบหน้าของเขา
“ไม่ทราบว่าท่านหมอเทวดาเฉินมีธุระอันใดกับเปิ่นหวางงั้นเหรอ?”
ถึงแม้ว่าเขานั้นจะไม่อยากยุ่งกับหมอเทวดาเฉิน แต่หมอเทวดาเฉินนั้นก็เคยช่วยเหลือเขาไว้มาก ถ้าเขาต้องการให้ช่วยเหลือแล้ว เขาก็ยินดีที่จะช่วยอย่างแน่นอน
แต่ใครจะรู้ว่าอวี้ตี๋เอ๋อนั้นกลับส่ายหัวและพูดด้วยเสียงที่ดังชัดเจนไปทั่วทั้งห้อง “องค์ชายเพคะ ผู้ที่มีธุระเป็นข้าเองหาใช่ท่านอาจารย์ส่งข้ามา”
คิ้วของเจียงหวายเย่ก็ขมวดและมีแววตารังเกียจปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา และบรรยากาศในห้องนั้นก็ได้เย็นลงทันที
“แล้วเจ้ามาหาเปิ่นหวางทำไม?” เจียงหวายเย่ก็ได้ถามขึ้นมาหลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ
อวี้ตี๋เอ๋อก็ได้ก้าวออกมาข้างหน้า เพื่อหวังที่จะได้ใกล้ชิดกับองค์ชายเย่ แต่ก็ถูกหยุดเอาไว้โดยทิ้งระยะห่าง 3 ฉื่อ(1เมตร)
“องค์ชายเพคะ ในวันนี้ข้าพบบุตรีคนที่สองของจวนมหาเสนาบดี ซึ่งไปพบกับชายที่ไหนก็ไม่รู้แล้วยังพบเจ้าเด็กไม่มีพ่อที่ถูกอุ้มโดยชายคนนั้นอย่างเบิกบานใจอีกด้วยเพคะ” ดวงตาของอวี้ตี๋เอ๋อนั้นก็เต็มไปด้วยความยินดีอย่างควบคุมไม่ได้ และนางก็ได้หวังที่จะได้เห็นเจียงหวายเย่โกรธ
แต่เจียงหวายเย่กลับไม่โกรธ และยังคงสงบนิ่งดังเดิม
ไม่ เป็นไปไม่ได้สิ ไม่ใช่ว่าเขาชอบนางมากไม่ใช่เหรอ?”
“เปิ่นหวางทราบเรื่องนี้อยู่แล้ว เจ้าออกไปได้แล้ว” เจียงหวายเย่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความน่าขนลุก
หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเขานี้ทำให้เขารู้สึกแย่มาก แล้วยังเรียกเทียนเอ๋อว่าลูกไม่มีพ่ออีก ซึ่งทำให้เขานั้นโมโหมาก ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเห็นแก่หน้าของหมอเทวดาเฉินแล้ว เขาคงไม่ปล่อยนางไปง่ายๆเช่นนี้แน่
“องค์ชาย ท่านทำเช่นนี้กับข้าได้อย่างไร” ในตอนแรกนั้นนางยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความยินดี แต่ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความหดหู่และความไม่พอใจ
ทำไมถึงต้องเป็นหลินซีเหยียน? ไม่ได้ทำอะไรเลยแท้ๆ แต่กลับได้หัวใจขององค์ชายไป
“อันอี้ จับนางโยนออกไป” และแล้วเจียงหวายเย่ก็ได้กล่าวด้วยอารมณ์โกรธ
อันอี้จึงได้รับคำสั่งและพาตัวนางออกไป เจียงหวายเย่ก็ได้มองไปที่ผู้คนที่เขามามุงดูแล้วพากันรีบหายไป ในใจของ เจียงหวายเย่นั้นยังคงหงุดหงิดอย่างมาก
ในขณะเดียวกัน หลินซีเหยียนนั้นก็ไม่ได้ดีมากกว่ากันเท่าไร
เพราะที่จวนมหาเสนาบดีนั้นปิดประตู พวกเขานั้นกำลังเตรียมการแสดงดีๆสำหรับหลินซีเหยียนอยู่
“ท่านพี่ ไม่ได้พบกันเสียนานนะเจ้าคะ”
มีเสียงที่นิ่งและสุภาพที่สามารถเอาชนะใจผู้คนอย่างสบายๆดังขึ้นมา หลินซีเหยียนก็ได้หันไปมองที่หลินรั่วจิงที่กำลังยิ้ม แต่พอนึกได้ว่านางนั้นไม่เคยมีความแค้นอะไรต่อกันในอดีต นางจึงได้ยิ้มตอบกลับมา
หลินซีเหยียนก็ได้หยิบเอาจดหมายออกมา “นี่เป็นจดหมายของบุตรตระกูลมู่หลงที่ฝากให้ข้าเอามาให้เจ้า”
ปรากฏแววตามืดมนขึ้นมาในดวงตาของหลินรั่วจิง แต่แววตานั้นก็ได้หายไปอย่างรวดเร็วแล้วจากนั้นก็กล่าวอย่างอ่อนโยน “คุณชายมู่หลง นึกเช่นไรนะทำไมถึงได้เขียนจดหมายมาให้ข้า?”
“ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน” หลังจากที่หลินซีเหยียนกล่าวจบ นางก็รู้สึกได้ว่าหลินรั่วจิงนั้นถอนหายใจออกมา