บทที่ 128
คืนดี?
ที่จวนมหาเสนาบดีได้มีคำสั่งให้จัดงานเลี้ยงต้อนรับ หลินรั่วจิงกลับมา งานเลี้ยงใหญ่โตจึงได้ถูกจัดขึ้น ทั้งเหล่าฮูหยิน คุณหนูและคุณชายในจวนนี้ต่างก็มานั่งโต๊ะร่วมกัน
หลินซีเหยียนจึงได้ทำตาบอดไม่รู้เรื่องนี้ การที่ต้องไปนั่งร่วมโต๊ะกับคนหมู่มากนั้นไม่ใช่อะไรที่นางชอบเลย นางนั้นตั้งมั่นอย่างชัดเจนในใจของนาง
แต่ถึงแม้ว่านางนั้นปฏิเสธที่จะไม่ไปร่วม แต่ก็มีบางคนที่ไม่สนใจอยู่ดี
“หลินซีเหยียนเจ้าคิดจะทำอะไรอยู่น่ะ? น้องห้าอุตส่าห์กลับมาทั้งที เจ้าจะไม่รู้สึกยินดีบ้างรึไง?” หลินเสวี่ยเหยียนที่ไม่ได้เห็นหน้ามานาน ก็ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนและมายืนอยู่ข้างหน้าหลินซีเหยียนขวางทางนางเอาไว้
“น้องห้ากลับมาทั้งทีข้าก็ต้องยินดีสิ แต่ที่ข้าไม่ไปร่วมงานเลี้ยงเพราะไม่อยากให้มันแออัดเท่านั้น”
หลินซีเหยียนก็ได้กล่าวอย่างช้าๆ ดวงตาหงส์ไฟที่สวยงามของนางก็เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน หลินเสวี่ยเหยียนนั้นยังอ่อนเชิงมากนัก แค่นี้ไม่เพียงพอที่จะยั่วให้หลินรั่วจิงหันมาเป็นปรปักษ์กับนางหรอก คำพูดไม่กี่คำเช่นนี้ยังห่างไกลกับความเจ็บปวดหรือแสบคันมากนัก
ยิ่งไปกว่านั้น นางก็รู้สึกได้ว่าปัญญาของน้องห้านั้นเทียบเคียงกับนางได้เลยทีเดียว และย่อมสูงกว่าของ หลินเสวี่ยเหยียนมากนัก
หลังจากที่หลินซีเหยียนกล่าวจบไม่ทันไร หลันรั่วจิงก็ได้จ้องไปที่หลินเสวี่ยเหยียน “พี่สาม ทำไมท่านพี่ถึงได้ไปว่าพี่รองเช่นนั้นล่ะเจ้าคะ?”
หลังจากที่กล่าวจบ นางก็ได้ยื่นมือออกมาแล้วคว้าแขนของหลินซีเหยียนเอาไว้ “พี่รอง น้องห้าอยู่ตรงหน้าท่านแล้ว ไยท่านจะต้องกลัวใครอีก”
“ในเมื่อน้องห้าพูดเช่นนั้น ข้าก็ตกลง” หลินซีเหยียนก็ได้จ้องไปที่ดวงตาสีเข้มของหลินรั่วจิงที่กำลังกอดแขนของนาง และรอยยิ้มที่มุมปากของหลินรั่วจิงนั้นก็ได้ลึกล้ำสุดหยั่งมากขึ้นเรื่อยๆ
“ท่านแม่ขอรับ”
เทียนเอ๋อก็ได้กระตุกมุมเสื้อของหลินซีเหยียน ในสายตาของนางผู้คนในจวนมหาเสนาบดีนั้นล้วนเหมือนกับหมาป่า และสภาพของท่านแม่ของเขาในเวลานี้ก็อันตรายมากกว่าแต่ก่อนด้วย
หลินซีเหยียนก็ได้ก้มไปมองเทียนเอ๋อแล้วยักคิ้วให้เขาโดยไม่ออกเสียง “เทียนเอ๋อ เจ้ากลับไปที่เรือนเชียนเหยียนก่อนและรอแม่ของเจ้ากลับไป”
คำพูดที่ไร้ข้อสงสัยเช่นนี้ทำให้เทียนเอ๋อเข้าใจได้ว่า หลินซีเหยียนนั้นตัดสินใจที่จะทำอะไรบางอย่าง เขาจึงได้จำต้องกลับไปที่เรือนเชียนเหยียนอย่างกระตือรือร้น
ภายใต้การนำของหลินรั่วจิง หลินซีเหยียนก็ได้เข้ามาที่ห้องโถงใหญ่และนั่งลงประจำที่ของนางด้วยมารยาทพอควร ซึ่งมหาเสนาบดีหลินก็ไม่ได้ว่าอะไรนาง ซึ่งทำให้นางรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“ในเมื่อทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าแล้ว ก็มารับประทานอาหารร่วมกันเถอะ!” มหาเสนาบดีหลินก็ได้จับตะเกียบก่อน แล้วจากนั้นบรรยากาศก็เต็มไปด้วยความชื่นมื่น
ทำไมถึงได้กลายเป็นการทานอาหารธรรมดาๆไปได้? หลินซีเหยียนจ้องมองไปที่ภาพนี้อย่างสับสน ดวงตาของนางมืดดำมากขึ้นเรื่อยๆ ในเวลานี้นางเหมือนกับแมวที่กำลังมองหาเหยื่อซึ่งต้องใช้ความอดทนอย่างมาก
หลังจากที่การรับประทานอาหารร่วมกันดำเนินมาถึงกลางทาง หลินเสวี่ยเหยียนก็ได้ลุกขึ้นยืนพร้อมแก้วชาในมือของนาง “หลินซีเหยียน วันนี้ข้าขอดื่มชาแก้วนี้ต่างเหล้าให้แก่เจ้า และข้าหวังให้พวกเราลืมเรื่องที่แล้วมาต่อกันด้วย”
หลินซีเหยียนก็ได้ยักคิ้วและหยิบแก้วชาขึ้นมาจิบตามมารยาท
แล้วหลังจากหลินเสวี่ยเหยียนก็ตามมาด้วยหลินหัวเยว่ที่ขอดื่มให้กับหลินซีเหยียนด้วยเช่นกัน หลินซีเหยียนจึงจำต้องยกชาขึ้นมาจิบเพียงอย่างเดียว
“ข้าไม่รู้หรอกนะว่าพวกท่านพี่มีปัญหาอะไรกันเมื่อก่อน แต่จากนี้ไปข้าหวังว่าพวกท่านจะปล่อยผ่านเรื่องในอดีตและกลายเป็นครอบครัวกันจริงๆนะเจ้าคะ” หลินรั่วจิงยิ้มกริ่มด้วยสีหน้าที่ดูจริงใจ แต่รอยยิ้มของนางนั้นกลับไม่ได้ลึกซึ้งเหมือนกับดวงตาของนางเลย
หลินซีเหยียนก็ได้ผงกหัวให้พอเป็นพิธี และเผยรอยยิ้มที่มุมปากอย่างขอไปที ซึ่งท่าทีเช่นนี้ทำให้หลินเฉิงอวี้นั้นเกิดความไม่พอใจขึ้นมา “หลินซีเหยียนรอยยิ้มของเจ้ามันขอไปทีมากเกินไปแล้วนะ”
“เหรอ?” แล้วดวงตาหงส์ไฟที่ดูสว่างไสวก็ได้จ้องไปที่หลินเฉิงอวี้แล้วจากนั้นหลินซีเหยียนก็ได้กล่าวออกมา “นั่นคือวิธียิ้มของข้าต่างหาก ข้าไม่ได้ทำอย่างขอไปทีเสียหน่อย”
“เจ้าจงใจทำมันชัดๆ!”
แต่ก่อนที่หลินเฉิงอวี้จะได้พูดจบ หลินรั่วจิงก็ได้ขัดขึ้นมา “เงียบน่าพี่สี่ ท่านเลิกตั้งแง่กับพี่รองสักทีจะได้ไหม?”
หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่ภาพนี้อย่างเย็นชา ด้วยความรู้สึกประชดประชันในใจของนาง การที่พี่น้องตะโกนใส่กันเช่นนี้ ช่างดูเหมือนครอบครัวกันจริงๆขึ้นมาก แต่นางก็ทำแค่มองดูอยู่ห่างๆ
ไม่ว่าภายนอกของจวนมหาเสนาบดีนั้นจะดูสวยงามชวนมองมากเพียงใด แต่ภายในกลับเน่าเฟะมีหนอนไช
หลินซีเหยียนนั้นทานอาหารมื้อนี้ไปแค่ไม่กี่คำเท่านั้น เพราะเพียงแค่นั่งอยู่ที่นี่มันก็ทำให้นางรู้สึกสะอิดสะเอียนมากพอทนแล้ว
“ท่านพี่รองรู้สึกไม่สบายเหรอเจ้าคะ?” หลินรั่วจิงนั้น กล่าวด้วยความเป็นห่วงขึ้นมาเมื่อพบว่าสีหน้าของหลินซีเหยียนนั้นดูไม่ค่อยปกตินัก
หลินซีเหยียนก็ได้ผงกหัวแล้วกล่าว “ข้าขอตัวก่อน”
หลังจากที่พูดจบ นางก็ได้เตรียมที่จะออกไป หลินรั่วจิงก็ได้เดินไปส่งนางออกจากห้องไป หลังจากที่มองดูหลินซีเหยียนจากไปแล้ว รอยยิ้มที่มุมปากของนางก็ได้หายไป และแทนที่ด้วยสีหน้าดูถูกอย่างชัดเจน
“จิงเอ๋อ ทำไมเจ้าถึงต้องถ่อมตัวเช่นนั้นด้วยล่ะ?” ฮูหยินอวี้ที่เห็นเช่นนั้น ก็ได้จับมือของหลินรั่วจิงอย่างหดหู่แล้วถามอย่างสงสัย
หลินรั่วจิงที่ไม่ได้พบกับแม่ของนางมานานถึง 5 ปีแล้วนั้น ก็ได้ปรากฏแววตาที่ยุ่งยากใจขึ้นในดวงตาของนาง “ข้าได้ข่าวมาว่าหลินซีเหยียนกับหมอพิษนามหลินอวิ๋นเซวียนนั้นมีความสัมพันธ์ที่สนิทต่อกัน”
ฮูหยินอวี้นั้นไม่ใช่คนโง่ นางเข้าใจได้ทันทีว่าลูกสาวของนางนั้นกำลังวางแผนอะไร “เจ้าหมอพิษคนนั้นมีค่ากับเจ้ามากขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“หมอพิษนั้นมีความสามารถมากกว่าหมอเทวดาเฉินเสียอีก ตัวตนของเขานั้นเป็นที่ต้องการของทั้งสามรัฐ ถ้าหากว่าเขายอมถูกใช้โดยข้าแล้วล่ะก็ ก็จะช่วยข้าได้มากในอนาคตเลยล่ะ” หลินรั่วจิงอธิบายด้วยเสียงที่เบาๆ
หลินรั่วจิงนั้นเป็นถึงลูกศิษย์ของปรมาจารย์เสียนอวิ๋น นางจึงถูกสั่งสอนมาว่าหากสิ่งใดมีประโยชน์ก็ต้องนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ แล้วฮูหยินอวี้จึงไม่ถามอะไรอีก
เมื่อหลินซีเหยียนกลับมาถึงเรือนเชียนเหยียน นางก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่ไม่พอใจทันทีที่เข้ามาในเรือน ซึ่งทำให้นางรู้สึกช่วยไม่ได้
“แม่รู้ดีว่าแม่ทำผิดไปแล้ว แม่ไม่น่าไปที่นั่นเพื่อให้ตัวเองรู้สึกผิดเช่นนี้เลย” หลินซีเหยียนก็ได้เดินไปหาเทียนเอ๋อแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มแบบบุญไม่รับ
“พวกเขารังแกท่านแม่อีกแล้วใช่ไหม?” เทียนเอ๋อก็ได้รีบไปหาหลินซีเหยียนด้วยความเป็นห่วง
หลินซีเหยียนก็ได้ลูบหัวน้อยๆของเทียนเอ๋อ “ใครจะมาทำอะไรแม่ของเจ้าได้ แม่ก็แค่รู้สึกขยะแขยงกับความเสแสร้งของพวกเขาเท่านั้น”
“ก็น่าขยะแขยงจริงๆนั่นแหละ” เจ้าลูกชิ้นขาวก็ได้ผงกหัวยืนยัน
“พระชายาขอรับ องค์ชายกำลังทุกข์ทรมานจากอาการพิษกำเริบอีกแล้วขอรับ ได้โปรดรีบกลับไปกับข้าน้อยด้วยขอรับ” อันอี้ที่จู่ๆก็โผล่เข้ามาในเรือนเล็กๆ สีหน้าที่ปกตินิ่งเป็นตอไม้ของเขาก็ได้แสดงอาการกระวนกระวายขึ้นมา
“พวกเราอยู่แยกกันแค่ไม่กี่วันเท่านั้น? ทำไมถึงได้มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้?” สีหน้าของหลินซีเหยียนเยือกเย็นขึ้นมาทันที และนางก็ได้ถามอย่างเย็นชา “เจียงหวายเย่ทำอะไรรนหาที่ตายอีกแล้วใช่ไหม?”
พิษของเจียงหวายเย่นั้นได้เบาลงไปอย่างมากหลังจากที่ทำการแลกเปลี่ยนเลือดครั้งนั้นไปแล้ว ซึ่งสามารถพูดได้ว่าด้วยอาการพิษที่ยังคงหลงเหลือนั้นนอกจากจะทำให้เขาอ่อนแอแล้วก็ไม่น่าจะก่อให้เกิดปัญหาอย่างอื่นแล้วแท้ๆ
อันอี้ก็ได้สงบสติอารมณ์แล้วกล่าวด้วยสีหน้ามืดดำ “มันเป็นความสะเพร่าในการคุ้มกันของข้าน้อยเองขอรับ อวี้ตี๋เอ๋อนั้นอาศัยช่วงว่างในการป้องกันเข้าไปวางพิษองค์ชายได้ และชื่อของพิษนั้นก็คือรุ่งสางขอรับ ซึ่งเป็นพิษที่ท่านหมอเทวดาเฉินคิดค้นขึ้นมาและยังไม่มียาถอนพิษขอรับ”
ในระหว่างการเดินทางมายังพระราชวังรัตติกาลนั้น อันอี้ก็ได้บอกรายละเอียดให้แก่หลินซีเหยียน
ในเวลานี้ไม่รู้เลยว่าเจียงหวายเย่นั้นเป็นอย่างไรแล้วบ้าง หลินซีเหยียนก็ได้ไม่คิดที่จะตีตนไปก่อนไข้ และทำได้แค่เพียงรีบกลับไปหาเจียงหวายเย่เท่านั้น
ณ พระราชวังรัตติกาล ในเวลานี้อวี้ตี๋เอ๋อเต็มไปด้วยบาดแผล อันเอ้อก็ได้ง้างปากนางเอาไว้ เพื่อกันไม่ให้นางกัดลิ้นของนางฆ่าตัวเองตายไปเสียก่อน
“บอกมาเดี๋ยวนี้ว่ามียาแก้พิษหรือไม่?”
ในเวลานี้อวี้ตี๋เอ๋อนั้นอยู่ในสภาพที่โดนทรมาน แต่ดวงตาของนางกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และปากของนางก็พูดออกมาอย่างเบาๆอย่างไม่สนใจ “เขาเป็นของข้าเท่านั้น”
“ยอมแพ้เสียเถอะ องค์ชายจะไม่มีวันเป็นของเจ้า และพระชายาจะสามารถช่วยเหลือองค์ชายได้อย่างแน่นอน” อันเอ้อกล่าวด้วยเสียงอันดัง
ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น แต่จริงๆแล้วทั้งพระราชวังต่างก็เชื่อมั่นในตัวพระชายา