บทที่ 130
รนหาที่ตาย
“องค์ชายเย่ ท่านคิดเหรอว่าตัวท่านจะไม่เป็นอะไรถ้าท่านทำตัวแบบนี้?” หลินซีเหยียนมองไปที่เจียงหวายเย่และกล่าวอย่างโมโห
เขานั้นชอบทำเหมือนเดินอยู่ริมแม่น้ำโดยไม่ให้รองเท้าตัวเองเปียก ถึงแม้ว่าคราวนี้เจียงหวายเย่จะรอดมาได้ แต่เขาก็ยังได้รับพิษเล็กน้อยสะสมในตัวของเขาอยู่ดี ดังนั้นจึงมีสิทธิ์ที่พิษของเขาจะกำเริบขึ้นมาอีกในอนาคต
ทั้งๆที่เป็นเหมือนกับแจกันที่เปราะบาง แต่เขากลับเลือกที่จะเอาร่างกายของตัวเองเข้าไปเสี่ยง และด้วยหมอผีที่ขี้เกียจอย่างนางด้วยแล้ว นางก็เริ่มขี้เกียจที่จะรักษาเขา
เจียงหวายเย่นั้นรู้ว่าคนที่อยู่ในอ้อมแขนของเขานั้นโกรธขึ้นมาจริงๆแล้ว เขาจึงได้รีบอธิบาย “ไม่ใช่ว่าเปิ่นหวางนั้นไม่ได้เป็นห่วงร่างกายของตัวเอง แต่เปิ่นหวางนั้นไม่นึกว่านางนั้นจะกล้ามากขนาดนั้น”
เมื่อพูดถึงอวี้ตี๋เอ๋อแล้ว สีหน้าของเจียงหวายเย่ก็ได้บูดเบี้ยวขึ้นมา
หลินซีเหยียนก็ได้เผยรอยยิ้มที่มุมปากอย่างประชดประชัน และในขณะที่เจียงหวายเย่ไม่ทันได้ตั้งตัว ก็มีเข็มเงินปักเข้าไปที่มือของเขา ซึ่งมันน่าแปลกมากที่เข็มนั้นไม่มีอาการเจ็บปวดหรือแสบคันแต่อย่างใด
แต่พอหลินซีเหยียนสามารถหลุดออกมาจากอ้อมแขนของเขาได้ เขาก็รู้สึกกลัวขึ้นมาทันทีเมื่อพบว่าตัวเขานั้นไม่สามารถขยับได้
“ข้านั้นไม่ได้เก่งเรื่องการแพทย์มากขนาดนั้นและข้าก็ไม่สามารถพอที่จะยื้อให้ใครกลับมาจากสวรรค์ได้ ดังนั้นต่อจากนี้ไปข้าจะไม่มารักษาอาการป่วยให้องค์ชายอีก” หลินซีเหยียนกล่าวด้วยสายตาที่หนาวเย็นและไร้ซึ่งเมตตา
เจียงหวายเย่นั้นไม่สามารถขยับหรือว่าพูดได้ เขาทำได้เพียงแค่จ้องมองไปที่หลินซีเหยียนอย่างสิ้นหวัง
หมอรุ่ยเหยียนนั้นตอนแรกก็คิดที่จะเดินเข้าไปช่วยดึงเข็มเงินออกให้ แต่หลังจากที่สายตาของเขาประสานเข้ากับสายตาที่น่ากลัวของหญิงสาวคนนั้นแล้ว จึงเลือกที่จะรู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหาง
“พี่ชายใช่ว่าข้าไม่อยากจะช่วยท่านนะ แต่ฮูหยินของท่านน่ากลัวเกินไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องว่านิสัยเช่นนั้นของท่านควรที่จะเปลี่ยนแปลงจริงๆ” หมอรุ่ยเหยียนบ่นพึมพำกับตัวเอง และระหว่างทางเขาก็ได้โยนความรู้สึกผิดในใจเขาทิ้งไป
หลินซีเหยียนก็ไม่ได้พูดอะไรอีก และเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ท่าทางของนางนั้นไปอย่างเรียบร้อยและหมดจดมาก ไร้ซึ่งเยื่อใยแม้แต่น้อย
ในห้องนอนใหญ่ๆห้องนั้น มีเพียงเจียงหวายเย่ที่นั่งอยู่บนเตียงตามลำพัง แล้วดวงตาสีดำของเขาก็ได้มืดดำมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อหลินซีเหยียนกลับมาถึงจวนมหาเสนาบดี หลินซีเหยียนก็พบองค์ชายสี่เจียงซ่างเฉินและองค์ชายสองเจียงไป๋ฮ่าว
อาศัยกรรมพันธุ์ที่โดดเด่นของราชวงศ์แล้ว รูปลักษณ์ขององค์ชายทั้งสองนั้นเรียกได้ว่าไม่ธรรมดาเลย และทั้งสองคนจะต่างกันก็แค่บรรยากาศเท่านั้น องค์ชายสี่นั้นมีดวงตาที่เรียวยาวและเปล่งประกายออกมาเป็นช่วงๆ ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในเมืองหลวง
ในขณะที่องค์ชายสองนั้นมีรอยยิ้มอยู่ที่มุมปากตลอดเวลา แต่รอยยิ้มนั้นเทียบไม่ได้กับความลึกในดวงตาของเขาเลย ราวกับว่าเป็นรอยยิ้มของเสือ
“พี่รอง” หลินรั่วจิงที่กำลังสนทนากับองค์ชายทั้งสองท่านอยู่นั้น ก็ได้ทักทายหลินซีเหยียนอย่างอารมณ์ดี
หลินซีเหยียนก็ได้ผงกหัวตอบ แต่ไม่ได้เข้าไปยุ่งด้วยเพราะนางไม่อยากเข้าไปพัวพันกับเรื่องยุ่งยาก
แต่นางก็ถูกหยุดโดยใครบางคนเสียก่อน หลินซีเหยียนจึงได้เงยหน้าขึ้นมาแล้วเมื่อมองไปก็พบว่าเป็นองค์ชายสอง เจียงไป๋ฮ่าว
“ท่านมีธุระอะไรกับข้าเหรอองค์ชายสอง?” หลินซีเหยียนก็ได้ถอยออกมาเล็กน้อยอย่างสงบนิ่ง แล้วกล่าวด้วยเสียงที่แผ่วเบา
“หลินซีเหยียนข้าได้ยินมาว่าเจ้าเป็นนังผู้หญิงร่านที่ท้องก่อนแต่ง ทั้งๆที่จิงเอ๋อให้เกียรติเจ้าถึงขนาดนั้นเจ้าก็ควรที่จะตอบนางกลับอย่างพอเป็นพิธีก็ยังดี”
องค์ชายสองที่อาศัยเพียงแค่ตัวตนของเขาเข้ามาพูดดูแคลนหลินซีเหยียนอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย และหวังที่จะได้ความชื่นชอบจากหลินรั่วจิง
ในขณะที่องค์ชายสี่ที่ได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของเขาก็ได้มืดดำขึ้นมาและมองไปที่เจียงไป๋ฮ่าวอย่างโกรธๆ และได้อาศัยจังหวะนี้พูดขึ้นมาบ้าง “คุณหนูห้านั้นเป็นถึงลูกศิษย์ของปรมาจารย์เสียนอวิ๋น และยังเกิดมาพร้อมด้วยใบหน้าที่สง่างามราวกับดวงจันทร์ ซึ่งต่างกับเจ้าราวฟ้ากับเหว เจ้าควรที่จะรู้จักฐานะของตัวเองในหัวของเจ้าบ้างนะ
“องค์ชายทั้งสองท่าน นางเป็นพี่สาวของข้า ทำไมพวกท่านถึงได้กล่าวดูถูกนางเช่นนี้?” หลินรั่วจิ่งที่เหมือนจะทนฟังต่อไปไม่ไหวก็ได้คิ้วขมวดและลุกขึ้นยืนปกป้องหลินซีเหยียน ราวกับดอกบัวขาวที่อยากจะร่ำไห้
ด้วยสีหน้าเช่นนี้ได้รับความหลงใหลและลุ่มหลงจากองค์ชายทั้งสองคนในทันที
“จิ่งเอ๋อ มันเป็นความผิดของข้าเอง ต่อจากนี้องค์ชายจะให้ความเคารพพี่สาวของเจ้าอย่างแน่นอน” องค์ชายสี่รีบปลอบนางทันที
ในเวลานี้ใบหน้าของหลินรั่วจิงเป็นสีแดงราวกับดอกบัวที่กำลังอายที่จะแย้มบาน ความมีเสน่ห์และน่าหลงใหลนี้ทำให้องค์ชายทั้งสองต้องจับจ้องไปที่นาง
เทียนเอ๋อที่ทราบว่าแม่ของเขากลับมาแล้วนั้น เขาจึงได้รีบออกไปหา หลังจากที่พบเหตุการณ์นี้แล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดต่อว่าในใจของเขา ทั้งสองคนนี้ช่างมีตาหามีแววไม่จริงๆ ทั้งๆที่เห็นกันอย่างชัดเจนอยู่แล้วว่าแม่ของเขานั้นสวยกว่า
เขาจึงได้หรี่สายตาของเขาลงแล้วยิ้ม และเดินเข้าไปหา “ท่านแม่ขอรับ เทียนเอ๋อมีบางอย่างจะให้ท่านดูขอรับ”
หลินซีเหยียนก็ได้ยักคิ้วขึ้นมาและมองไปที่เจ้าเด็กฉลาดที่อยู่ตรงหน้านาง นางก็รู้ได้ทันทีว่าฝั่งตรงข้ามนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ นางจึงได้ร่วมมือกับเขา “เจ้ามีอะไรอยากให้แม่ดูรึ?”
เทียนเอ๋อก็ได้หยิบเอากล่องใบหนึ่งขึ้นมาแล้วยื่นให้ตรงหน้าของหลินซีเหยียน “ท่านแม่ เทียนเอ๋อไปที่ร้านหนึ่งแล้วพบเครื่องประดับที่น่าจะเหมาะกับท่านแม่ ข้าเลยซื้อกลับมาขอรับ”
หลินซีเหยียนที่รับรู้ได้จากสายตาของเทียนเอ๋อนั้น ก็ได้เปิดกล่องใบนั้นออกมาและโชว์ให้เห็นเครื่องประดับที่ใช้ดอกบัวเป็นต้นแบบแสดงให้เห็นต่อหน้าของทุกคน เป็นปิ่นปักผมรูปดอกบัวที่ทำมาจากเศษแก้วสีซึ่งส่องแสงเป็นประกายสวยงาม
และที่ปลายอีกด้านก็มีพู่ห้อยลงมาเป็นชั้นๆ พวกมันดูงดงามราวกับสมบัติล้ำค่า และแน่นอนว่ามันจะดีที่สุดหากว่าประดับไว้บนศีรษะของสาวงาม
รั่วจิ่งนั้นได้ติดตามเสี่ยนอวิ๋นไปทั่วประเทศ หลินรั่วจิ่งนั้นจึงมีความรู้ที่กว้างขวางแต่กระนั้นนางก็ยังรู้สึกทึ่งอยู่ดี ทำให้มือของนางกำแน่นขนัดเพราะอยากได้มันมาก
“เจ้าหนู ขายเจ้าสิ่งนั้นให้กับเปิ่นหวางเถอะ” องค์ชายสองที่สังเกตได้ว่าหลินรั่วจิ่งนั้นชอบเครื่องประดับนี้ เขาจึงได้กล่าวกับเจ้าลูกชิ้นขาวโดยไม่ลังเล
เทียนเอ๋อก็ได้บิดปากของเขาอย่างไม่สนใจแล้วกล่าว “ข้าซื้อมันมาให้ท่านแม่ของข้า ทำไมข้าจะต้องขายให้ท่านด้วย?”
“ก็เพราะว่าข้าเป็นถึงองค์ชาย แต่เจ้าเป็นแค่ชนชั้นต่ำไงล่ะ” เจ้าชายสองก็ได้กล่าวด้วยสายตาที่ดูถูกโดยไม่ปิดบัง
เจ้าลูกชิ้นขาวก็ได้ดึงแขนเสื้อของหลินซีเหยียน แล้วดวงตากลมโตที่น่ารักของเขาก็ได้มีน้ำตาเอ่อขึ้นมา “ท่านแม่ มีคนไม่ดีอยากที่แย่งของของเทียนเอ๋อไป”
หลินซีเหยียนรู้ดีถึงน้ำตามารยานี้ของเทียนเอ๋อดี จนทำให้นางเกือบที่จะหลุดหัวเราะออกมา นางจึงได้กระแอมแล้วกล่าว “ในเมื่อองค์ชายสองอยากที่จะได้เครื่องประดับนี้มากนั้น ข้าก็จะขายให้ท่านก็ได้ เทียนเอ๋อบอกท่านซิว่าราคาเท่าไร?”
เทียนเอ๋อก็ได้ทำสีหน้าไม่พอใจแล้วกล่าว “ราคา 800 ตำลึงทองขอรับ”
เสียงของเด็กน้อยนี้กลับสามารถทำให้ผู้คนต้องขนลุกได้ แค่เครื่องประดับชุดเดียว กลับมีราคามากถึงขนาดนี้
“เจ้าเด็กตัวเหม็น เจ้ากล้าล้อเล่นกับองค์ชายเหรอ?” องค์ชายสองกล่าวด้วยสีหน้าที่มืดหม่น อย่างไรเสียเงินตั้ง 800 ตำลึงทองนั้นไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆสำหรับเขาที่ยังไม่ได้รับตำแหน่งอะไรเลย
“อะไรกันเป็นถึงองค์ชายแต่กลับจ่ายไม่ไหวเหรอ?” เทียนเอ๋อก็ได้มองไปที่พวกเขาอย่างไม่สนใจและกล่าวอย่างช่วยไม่ได้ “สุดท้ายแล้ว เจ้าสิ่งนี้ก็ยังเป็นของท่านแม่อยู่ดี”
เทียนเอ๋อที่เหมือนจะมีความสุขอย่างมาก ก็ได้หยิบเอากล่องมาจากในมือของหลินซีเหยียนแล้วกอดแน่นในอ้อมแขนของเขา
“ส่งของของเจ้ามาเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นจะหาว่าเปิ่นหวางใจร้ายกับเจ้าไม่ได้นะ” องค์ชายสองก็ได้โมโหอย่างอับอาย และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่รุนแรง
“องค์ชายสองช่างมันเถอะเจ้าค่ะ ถึงแม้ข้าอยากที่จะได้เครื่องประดับนั้นมากก็ตาม แต่ข้าก็ไม่อาจแย่งชิงสิ่งของของท่านพี่ได้หรอกเจ้าค่ะ!”
มองไปที่องค์ชายสองผู้ที่สูงศักดิ์แต่กลับลืมตัวตนของเขาแล้วไปโมโหให้กับเด็กน้อยเช่นนั้น หลินรั่วจิงจึงต้องออกตัวเพื่อห้ามเขา
ส่วนตระกูลทางแม่ขององค์ชายสี่นั้นร่ำรวยกว่าองค์ชายสองมากนัก เขาสามารถที่จะเอาเงิน 800 ตำลึงทองออกมาจ่ายได้ ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้เขาไม่จ่ายเงินให้ทีหลัง ก็ไม่มีใครกล้าว่าอะไรเขาได้
องค์ชายสี่ที่คิดได้เช่นนั้นก็ได้พูดขึ้นมา “เปิ่นหวางจะขอซื้อเครื่องประดับชุดนั้น และจะนำตั๋วเงินมาจ่ายให้ทีหลัง”
“ในเมื่อองค์ชายสี่อยากที่จะได้มันไป ก็ขอให้มอบสัญญายืมเงินมาด้วยเจ้าค่ะ!” หลินซีเหยียนก็ได้หรี่สายตาไปให้องค์ชายสี่