บทที่ 135
ความแค้นนี้จะต้องเอาคืน
ในขณะที่หลินซีเหยียนกำลังเป็นห่วงเจียงหวายเย่อยู่นั้นเอง ตัวประกันจงซู่เฟิงจู่ๆก็กระอักเลือดออกมา แล้วดวงตาของเขาก็กลายเป็นสีขาว ทำให้พากันตกใจไปชั่วขณะหนึ่ง
“หมอหลวง นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” ฮ่องเต้เจียงถามอย่างหวาดกลัว จะปล่อยให้ตัวประกันรัฐจงตายไม่ได้เด็ดขาด
มีแววตาตกตะลึงในดวงตาของเหล่าหมอหลวงอย่างชัดเจนมาก พวกเขาไม่คิดว่าอาการของจงซู่เฟิงนั้นจะกำเริบเร็วขนาดนี้ พวกเขาทั้งหมดจึงได้รีบร้อนพากันเข้าไปตรวจ
ในเวลานี้หลินซีเหยียนก็ได้เริ่มเข้าใจขึ้น เพื่อที่จะให้หายโดยไว คนเหล่านี้ได้ตัดสินใจใช้ยาต้องห้ามกับจงซู่เฟิง ซึ่งยาต้องห้ามตัวนี้จะช่วยฟื้นฟูร่างกายให้เป็นปกติเป็นระยะเวลาสั้นๆ โดยปกติจะใช้ยานี้กับคนที่ใกล้ตายที่ยังทำความปรารถนาไม่สำเร็จ
“ทูลฝ่าบาท พวกหม่อมฉันเกรงว่าอาการขององค์ชายจงนั้นไม่สู้ดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าสมาคมหมอหลวงก็ได้กัดฟันแล้วรายงานออกไป เดิมทีพวกเขานั้นวางแผนที่จะให้เจียงหวายเย่กลับไปก่อนแล้วจากนั้นจึงค่อยบอกเรื่องแผนการให้ฮ่องเต้ฟังทีหลัง
แต่ในเวลานี้พวกเขานั้นเหมือนกับขี่หลังเสือแล้ว ภายใต้ความโกรธของฮ่องเต้แล้ว พวกเขาคงหมดหนทางรอดแล้ว
ฮ่องเต้นั้นไม่รู้เรื่องของการหมอ จึงได้ถามขึ้นอย่างโมโห “ก็เมื่อสักครู่นี้เจ้ายังรักษาให้หายป่วยและแข็งแรงดีได้อยู่เลย แล้วทำไมตอนนี้เจ้าถึงได้บอกว่ารักษาไม่ได้แล้ว?”
ในเวลานี้หมอหลวงทั้งสามคนจึงไม่มีทางเลือกนอกจากบอกความจริงเรื่องขององค์ชายรัฐจงให้ฟัง
ฮ่องเต้เจียงที่ได้ยินเรื่องนี้ก็โมโหขึ้นมา สายตาของเขานั้นดุดันและน่ากลัวมาก “ทหารออกไปป่าวประกาศและตามหาที่อยู่ของหมอเทวดาเฉินและหมอผีโดยด่วน
ถึงแม้ว่าฮ่องเต้เจียงจะมีคำสั่งออกไปเช่นนั้น ในใจของเขาก็ยังกระวนกระวายมากอยู่ดี แม้จะดื่มชาเข้าไปแต่ก็ไม่สามารถดับกระหายได้เลย
เมื่อหลินซีเหยียนเห็นภาพนี้แล้ว ก็ได้มีรอยยิ้มประชดประชันขึ้นมาที่มุมปากของนาง แต่ก็ยังไม่ได้หยุดมือของนาง ทำการพันแผลให้กับเจียงหวายเย่อย่างเรียบร้อย
นางเองก็รู้ตัวมาตลอดว่าตัวนางนั้นไม่ใช่คนที่ดีนัก ที่เห็นเรื่องของความแค้นมาก่อนคุณธรรม
“เรียนฮ่องเต้ บางทีแม่นางหลินอาจจะช่วยได้”
แล้วเจ้าสมาคมหมอหลวงก็ได้ก้มหัวอย่างสั่นๆแล้วกล่าวออกมา เขานั้นรู้ดีว่าตัวเขานั้นให้อภัยไม่ได้ และในเวลานี้เขาเพียงต้องการที่จะแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้น อย่างไรเสียเขาเลือกที่จะตายดีกว่าต้องกลายเป็นคนบาปที่ทำให้เกิดสงครามระหว่างทั้งสองรัฐขึ้น
ฮ่องเต้ก็ได้มองไปที่หลินซีเหยียนด้วยดวงตาที่มืดดำและยุ่งยากใจ เขานั้นอยากจะเอ่ยปากแต่ก็ไม่สามารถพูดออกมาได้ เพราะว่าเมื่อสักครู่นี้ไม่เพียงแต่เขาจะดูถูกหลินซีเหยียนแต่ยังลงโทษนางอีกด้วย
หลินซีเหยียนรู้สึกได้ถึงสายตาของฮ่องเต้เจียงแต่ก็แกล้งทำเป็นไม่สนใจ
ฮ่องเต้เจียงที่เห็นนางนิ่งเงียบ สีหน้าของเขาก็ได้มืดดำขึ้นเรื่อยๆ เขานั้นเป็นถึงฮ่องเต้ของรัฐนี้ ต่อให้เขาทำสิ่งใดผิดมันก็จะต้องเป็นผิด มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะขอโทษนางได้
เจ้าสมาคมหมอหลวงนั้นกว่าจะมาถึงยังตำแหน่งนี้ได้ สิ่งที่จำเป็นที่สุดคือพลังในการสังเกตคำพูดและสีหน้าของผู้คน เขาจึงได้ก้มหัวให้กับหลินซีเหยียน *รับรู้ด้วยอารมณ์ เคลื่อนไหวด้วยเหตุผล*(ศัพท์ดังเดิม “เคลื่อนไหวด้วยอารมณ์ รับรู้ด้วยเหตุผล)
“แม่นางหลิน เรื่องของประเทศชาติต้องมาก่อน ข้าหวังให้ท่านได้โปรดละทิ้งความแค้น แล้วได้โปรดช่วยองค์ชายจงก่อน!” เขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนน้อมและความรู้สึกผิด ด้วยเสียงที่ดังไปทั่วทั้งท้องพระโรง
ช่างช่านและเหลยถิงที่เป็นผู้ติดตามของจงซู่เฟิงเองก็ได้รู้สึกตัวขึ้นมา แล้วทั้งคู่ก็ได้คุกเข่าลงต่อหน้าหลินซีเหยียนและสั่นด้วยความหวาดกลัว
“แม่นาง ท่านเป็นความหวังเดียวของนายท่านแล้ว ได้โปรดช่วยเหลือนายท่านด้วย”
หลินซีเหยียนยังคงไม่ขยับ นางเองก็คิดจะช่วยจงซู่เฟิงแต่ไม่ใช่ในเวลานี้ หลินซีเหยียนที่กำลังรักษาเจียงหวายเย่อยู่นั้นก็ได้กล่าวอย่างเย็นชา “ข้าหลินซีเหยียนนั้นมีความสามารถไม่ดีพอ ข้าไม่กล้าที่จะรักษาองค์ชายจงหรอก แล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึงองค์ชายเย่ที่ต้องบาดเจ็บสาหัสก็เพื่อข้าอีก ข้าจะต้องรักษาเขาก่อน”
การกล่าวปฏิเสธครั้งนี้ทำให้สีหน้าของทุกคนซีดลงทันที ฮ่องเต้เจียงก็เป็นหนึ่งในนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เขาก็คงจะยังใช้อำนาจของเขาบังคับให้นางทำได้
แต่ตอนนี้ไม่ใช่อีกแล้ว
ในเวลานี้ความสัมพันธ์ของทั้งสองรัฐแล้วสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด ฮ่องเต้เจียงจึงคิดที่จะผลักภาระไปให้เจียงหวายเย่ “องค์ชายรัตติกาล ข้าจะขอรับผิดชอบต่ออาการบาดเจ็บของท่านเอง ข้าหวังให้ท่านช่วยเกลี้ยกล่อมแม่นางหลินด้วย”
หลินซีเหยียนที่ได้ยินเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจให้กับความไร้ยางอายของคนคนนี้
เจียงหวายเย่จู่ๆก็ไออย่างรุนแรง และเสียงนี้ก็เหมือนจะไปทำร้ายหัวใจของฮ่องเต้เจียงเข้า ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกทรมาน
“เปิ่น หวาง….” เจียงหวายเย่พูดออกมาจากอย่างขาดช่วงสลับกับอาการไอ
“เปิ่นหวางจะฟังแม่นางหลินทุกอย่าง…..”
แล้วสิทธิ์ในการตัดสินใจก็ได้ตกมาอยู่ในมือของ หลินซีเหยียน แล้วดวงตาหงส์ไฟที่สวยงามของหลินซีเหยียนก็ได้กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “ข้าจะยอมช่วยองค์ชายจงก็ได้ แต่ข้าขออะไรบางอย่าง”
“เจ้าว่ามาได้เลย ข้าจะทำให้เจ้าพึงพอใจแน่นอน” ฮ่องเต้เจียงก็ได้ตอบอย่างเร่งรีบ
“ข้อแรก องค์ชายจงจำเป็นจะต้องอาศัยในจวนของมหาเสนาบดีเป็นระยะเวลาหนึ่ง เพื่อความสะดวกในการรักษาของหม่อมฉัน”
“ข้าตกลง” ฮ่องเต้เจียงไม่คิดว่าคำขอนี้จะเกินเลยอะไร เขาจึงได้ตอบตกลงไป
“ข้อสอง ตัวยาสำหรับใช้รักษาองค์ชายจงและองค์ชายรัตติกาลนั้น หม่อมฉันสามารถขอเบิกจากคลังหลวงได้ตามใจชอบ” หลินซีเหยียนกล่าวด้วยแววตาที่สดใสในดวงตาของนาง
ด้วยเงื่อนไขนี้จะทำให้นางสามารถทำเงินได้อย่างมหาศาล!
ฮ่องเต้เจียงก็ได้ลังเลอยู่พักหนึ่งแล้วในที่สุดก็ได้ยอมตกลง อย่างไรเสียในเวลานี้เขาก็จำเป็นต้องพึ่งนาง “ข้าตกลง”
“ข้อสาม ฮ่องเต้จะต้องชดเชยให้กับองค์ชายรัตติกาลอย่างเหมาะสม ถ้าไม่ใช่เพราะองค์ชายรัตติกาล หม่อมฉันก็คงจะไม่ได้อยู่ที่นี่ในเวลานี้แล้ว” หลินซีเหยียนกล่าวจบ ก็ได้รอให้ฮ่องเต้เจียงที่เงียบอยู่ตอบกลับมา
ฮ่องเต้เจียงกับเจียงหวายเย่นั้นไม่ลงรอยกันนั้นใครๆก็รู้ดี แต่ในเวลานี้เขาจำเป็นต้องชดใช้ให้กับเจียงหวายเย่ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการตบหน้าเขากันชัดๆ แต่เพื่อเป็นการรักษาภาพรวมในครั้งนี้แล้ว เขาจำเป็นต้องกัดฟันยอมตกลงเท่านั้น
“เจ้าว่าเงื่อนไขออกมาหมดแล้วหรือยัง?” ฮ่องเต้เจียงกล่าวด้วยดวงตาที่มืดมน แม้ว่าภายนอกเขานั้นจะยังยิ้มอยู่ แต่ภายในใจนั้นยิ้มไม่ออกแม้แต่นิดเดียว
หลินซีเหยียนก็ได้ผงกหัว และรอดูว่าฮ่องเต้เจียงจะว่าอย่างไรต่อ
ฮ่องเต้เจียงก็ได้กล่าวอย่างข่มขู่ “เงื่อนไขของเจ้าจบลงแล้ว ทีนี้ก็ถึงคราวของข้าบ้างล่ะ”
เป็นฮ่องเต้ที่ไร้ยางอายจริงๆ หลินซีเหยียนรู้คิดในใจอย่างพูดอะไรไม่ออกแล้วยักไหล่ “เชิญฮ่องเต้ว่ามา”
“เจ้าจะทำอย่างไรหากว่าเจ้าไม่สามารถรักษาองค์ชายจงซู่เฟิงได้?” ฮ่องเต้เจียงก็ได้หรี่สายตาลงแล้วจ้องไปที่หลินซีเหยียน ในเวลานี้เขาจำต้องฟื้นคืนภาพลักษณ์ของเขากลับคืนมา หลังจากที่ทำอำนาจในการควบคุมความเป็นและความตายหลุดมือไป
หลินซีเหยียนก็ได้ยิ้มอย่างไม่สนใจ ที่ทั้งไม่ถ่อมตัวหรือเย่อหยิ่ง “ถ้าหม่อมฉันไม่สามารถรักษาองค์ชายจงได้ ก็ตามแต่ฝ่าบาทจะลงโทษเลยเพคะ”
“ตกลงตามนี้” ในชั่วขณะนี้เอง ชีวิตของหลินซีเหยียนก็ได้ผูกติดเข้ากับจงซู่เฟิงแล้ว
หลังจากที่ตกลงเสร็จสิ้นหลินซีเหยียนก็ได้เลิกทำเป็นปากว่าตาขยับ แล้วเดินไปหาจงซู่เฟิงแล้วหยิบเข็มเงินปักเข้าไปที่หลังคอของเขา แล้วจากนั้นก็ได้หยิบเอายาเม็ดสีดำออกมาจากเอวของนาง
ยาตัวนี้คือยาสกัดเห็ดโลหิต ที่เจียงหวายเย่เคยทานหลายต่อหลายครั้ง เขาจึงไม่แปลกใจนัก
แต่นอกจากเจียงหวายเย่แล้วคนอื่นกลับไม่เป็นอย่างนั้น ซึ่งคนแรกที่ตกใจอย่างหนักเลยก็คือเจ้าสมาคมหมอหลวง เจ้าสมาคมหมอหลวงก็ได้เดินเข้าไปหาหลินซีเหยียนแล้วตามอย่างสงสัย “ไม่ทราบว่าแม่นางหลินเป็นอะไรกับท่านหมอผี?”
“เขาเป็นเพื่อนของข้า” หลินซีเหยียนโกหกอย่างเป็นธรรมชาติ
ในระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น องค์ชายรัฐจงก็ได้ค่อยๆฟื้นขึ้นมา แต่ในเวลานี้ร่างกายของเขาอ่อนแรงมากทำให้เขาไม่สามารถที่จะลุกขึ้นมาได้
“เหลยถิง ช่างช่านพวกเจ้าพาเจ้านายของพวกเจ้าไปที่จวนของมหาเสนาบดีก่อน!” หลินซีเหยียนสั่งการแล้วก็ลุกขึ้นยืน จากนั้นก็ได้เดินไปหาเจียงหวายเย่แล้วดึงพาเขาออกไปจากพระราชวัง
“เสี่ยวเหยียนเอ๋อ เปิ่นหวางออกมาช่วยเจ้าได้ทันการใช่ไหม? เจ้าพอจะยกโทษให้เปิ่นหวางได้หรือยัง?” เจียงหวายเย่กล่าวด้วยริมฝีปากที่ซีดเผือดไร้ร่องรอยของเลือด
หลินซีเหยียนก็ได้มองอย่างหนาวเย็น ราวกับมีพายุมารวมตัวกันอยู่ในดวงตาของนาง
เมื่อพบกับบรรยากาศที่ผิดปกตินี้ เจียงหวายเย่ก็ได้หยุดพูด และรู้สึกสั่นขึ้นมาในใจของเขา ทั้งๆที่เขาเคยผ่านสนามรบมานักต่อนักแล้วแต่ก็ยังไม่เคยรู้สึกหนาวสั่นเช่นนี้มาก่อน