บทที่ 140
ไม่คาดคิด
“ลูกพี่อู๋ ของงวดนี้ไม่เลวเลยนี่นา!” เมื่อเหล่าคนที่เดินตรวจตรามาเจอเข้า พวกเขาก็ได้กล่าวหยอกล้อและหัวเราะ
จี๋เฟิงที่พยายามยิ้มอย่างกับคนบ้าและไม่ตอบอะไรกลับไป เพราะถ้าเกิดเขาพูดมากเกินไป ก็อาจจะทำให้เกิดพิรุธได้
เมื่อเห็นว่าลูกพี่อู๋นั้นไม่ได้ตอบกลับมา พวกลูกกระจ๊อกที่ออกเดินตรวจตราก็ได้เริ่มไม่พอใจ “ลูกพี่อู๋คิดจะเก็บไว้กินคนเดียวไม่แบ่งเหรอ? แบบนี้มันไม่ถูกนะ”
ขณะที่กำลังพูดอยู่ ลูกกระจ๊อกก็ได้ยื่นมือออกมาหวังฉวยโอกาสหลินซีเหยียน ซึ่งเป็นการกระทำที่ยากจะรับได้!
“นางไม่ใช่ของที่เจ้าจะมาแตะต้องได้” จี๋เฟิงกล่าวด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำ และเสียงของเขาก็ได้ไปเหมือนเสียงของลูกพี่อู๋โดยไม่คาดคิด
“อย่าโกรธน่าลูกพี่ ข้าไม่แตะนางก็ได้” หลังจากที่พูดจบลูกกระจ๊อกเหล่านั้นก็ได้เดินจากไป ส่วนหลินซีเหยียนก็ได้ยินที่พวกเขาพูดก่นด่ากัน
“เป็นแค่ญาติห่างๆลูกพี่ใหญ่ แต่กลับกล้ากินคนเดียวเฉยเลย”
“นั่นสิ ก็เพราะนิสัยอย่างนี้ไม่น่าแปลกเลยที่ลูกพี่ใหญ่จะไม่ค่อยเชื่อใจเขาและให้งานไปทำ”
เหล่าลูกกระจ๊อกคุยกันราวกับว่าพวกเขาทำเช่นนี้แล้ว จะรู้สึกเหมือนอยู่เหนือผู้อื่นรึยังไงไม่ทราบ แต่ต้องขอบคุณคำพูดของพวกเขาที่ทำให้หลินซีเหยียนรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของลูกพี่อู๋ในอำเภอจ้าวแห่งนี้
หลินซีเหยียนกับจี๋เฟิงก็ได้เดินไปรอบๆอำเภอจ้าวด้วยวิธีนี้ โดยที่ผ่านไปได้อย่างราบรื่นไม่มีอะไรติดขัด ทำให้ในเวลานี้ทั้งคู่พอที่จะรู้สภาพคร่าวๆของอำเภอจ้าวบ้างแล้ว
พระชายา พวกเราจะเอายังไงต่อดีขอรับ?” จี๋เฟิงก็ได้มองดูรอบๆอย่างระแวดระวัง อย่างไรเสียในเวลานี้พวกเขานั้นอยู่ในฐานของศัตรู
เยี่นจุนเจี๋ยถูกลูกพี่ใหญ่พาตัวมาที่นี่ พวกเราจะคงต้องหาให้ได้ก่อนว่าลูกพี่ใหญ่นั้นอาศัยอยู่ที่ไหน
ซึ่งจำเป็นต้องใช้ใครสักคนทำหน้าที่นี้ แต่ทว่าใบหน้าของจี๋เฟิงนั้นหลายๆคนน่าจะจำหน้าได้แล้ว หลินซีเหยียนจึงคิดที่จะออกลุยด้วยตัวเอง
แล้วทั้งคู่ก็ได้จัดการทำให้ชายหนุ่มคนหนึ่งสลบไป แล้วจากนั้นก็เปลื้องผ้าชายคนนั้นออก มองดูรอบๆแล้วก็จัดกันแปลงโฉมตัวเอง
แล้วก็ได้ชายหนุ่มตัวเล็กๆที่หน้าตาบ้านๆแบบสุดๆปรากฏตัวออกมา
“เจ้าหาที่เอาเขาไปซ่อนก่อน แล้วจากนั้นค่อยมาตามหาข้า” หลินซีเหยียนกล่าว แล้วจากนั้นก็เดินออกไปด้วยสีหน้าที่บูดบึ้ง
นางนั้นมีเป้าหมายที่ชัดเจนอยู่ในใจอยู่แล้ว
นั่นก็คือบ่อนพนัน
สถานที่ที่ดีที่สุดในการหาข้อมูลนั้นไม่มีที่ไหนเหนือไปกว่าสองที่นี้แล้ว หนึ่งคือบ่อนพนัน กับอีกที่คือหอนางโลม
และหากดูจากท่าทีของลูกพี่อู๋ที่ต้องออกไปหาสาวกินจากข้างนอกในตอนกลางคืนแล้ว ก็แสดงว่าที่นี่ไม่มีหอนางโลม ดังนั้นก็จะเหลือแค่บ่อนพนันเท่านั้น
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว หลินซีเหยียนก็ได้หยุดชายคนหนึ่งที่กำลังเดินผ่านมาด้วยแขนข้างหนึ่ง แล้วจากนั้นก็ได้กล่าวด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้าย “เฮ้พี่ชาย พวกเราหาที่เล่นพนันกันสักตาสองตาไหม?”
แล้วชายคนนั้นก็ได้ทำหน้าเศร้าๆแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยดีนัก “เจ้าจะไปไหนก็ไป ข้าไม่มีเงินแล้วว้อย จะให้ข้าเอาผายลมไปพนันรึไง?”
“ข้าจะให้ท่านยืมสักหน่อยก็ได้ และพอท่านเล่นได้แล้วก็ค่อยคืนข้า ว่ายังไง?”
ด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำของหลินซีเหยียน ก็ได้พยายามอย่างเต็มที่ในการล่อลวงคนให้คันไม้คันมือ ซึ่งหลินซีเหยียนก็มั่นใจมากว่าคนคนนี้จะต้องฮุบเหยื่อของนางแน่ อย่างไรเสียพวกผีพนันนั้นก็มักที่จะหวังอยู่เสมอว่าตัวเองจะต้องได้เงินในตาหน้าเสมอ
แล้วก็เป็นอย่างที่คาด เมื่อคนคนนั้นได้ยินว่าคนที่อยู่ข้างหน้าเขานั้นจะให้ยืมเงิน สายตาที่หดหู่ของเขาก็ได้เต็มไปด้วยสีสันขึ้นมาทันที
“เจ้านี่ช่างรู้ใจดีจริงๆ แล้วจะมามัวรออะไรกันอยู่ รีบไปกันเถอะ!”
โดยไม่จำเป็นต้องให้หลินซีเหยียนพูดอะไรต่อ คนคนนั้นก็ได้ลากแล้วพาหลินซีเหยียนไปยังบ่อนพนันใกล้ๆทันที
อาจเป็นเพราะกาลเวลา บ่อนพนันแห่งนี้จึงดูทรุดโทรมและผุพังมากจนดูแทบจะเหมือนบ้านร้าง แต่ก่อนที่จะเข้าไปก็ได้ยินเสียงดังออกมาเบาๆจากในบ่อน
“สูง สูง สูง”
ข้างในนั้นช่างมีบรรยากาศที่เป็นใจเสียจริงๆ ด้วยเสียงตะโกนอย่างกระตือรือร้นเช่นนี้เข้ามาในหัวของนางแล้ว แม้แต่หลินซีเหยียนก็ยังอดไม่ได้ที่จะลองเล่นสักตาสองตา
แต่พอเล่นไปแล้วก็กลับไม่หยุดง่ายๆ จนสุดท้ายก็ได้เงินมามากมาย
“เฮ้ น้องชายเจ้าโกงรึเปล่าเนี่ย?” แล้วชายคนที่พา หลินซีเหยียนมา ก็ได้มองไปที่หลินซีเหยียนและถามอย่างสงสัย
หลินซีเหยียนก็ได้จ้องตอบเขาแล้วก็กระแอมขึ้นมา “พูดอะไรไร้สาระน่า ข้าก็แค่มือขึ้นเท่านั้นเอง”
ถึงแม้นางจะพูดเช่นนั้น แต่นางก็ยังจำได้ว่านางนั้นมีธุระที่ต้องทำ นางจึงได้มองไปรอบๆแล้วก็พบผู้คนมากมายที่มองมาที่เงินของนางอย่างอิจฉา นางจึงได้กะพริบตาแล้วกล่าว “พี่ชายอยากได้เงินนี้งั้นเหรอ?”
“คิดสิน้องชาย หากว่าเจ้าให้เงินข้ายืมสักหน่อยแล้วล่ะก็ ข้าจะหาเงินมาคืนให้มากๆเลย” แล้วไม่ใช่แค่เขาเพียงคนเดียว แต่แววตาของผู้คนรอบๆก็ได้สว่างขึ้นมาตามๆกัน
ภายใต้การถามไถ่ทีละคนคน หลินซีเหยียนก็ได้ข้อมูลที่นางต้องการมา
ลูกพี่ใหญ่ของคนพวกนี้ในอำเภอจ้าวนั้นอาศัยอยู่ในบ้านไม้ไผ่ที่อยู่กลางเมือง ซึ่งที่บ้านไม้ไผ่แห่งนั้นมีชั้นใต้ดินอยู่ซึ่งคนที่ถูกจับมาส่วนใหญ่จะขังเอาไว้ที่นั่น
ในเวลานี้นางได้ข้อมูลที่ต้องการมาแล้ว หลินซีเหยียนจึงได้มองหาข้ออ้างที่จะปลีกตัวออกไป
แต่ไม่คาดคิดว่าผู้คนในบ่อนนั้นเมื่อเห็นว่านางนั้นชนะไปมากขนาดนั้นแล้ว พวกเขาก็ได้พานางออกไปข้างนอกอย่างง่ายๆ และพากันรุมล้อมนางที่ตรอกเล็กๆแห่งหนึ่ง
“น้องชาย เอาเงินที่กินจากพวกข้าไปคืนมาเสียดีๆ ไม่อย่างนั้นข้าจะทำให้เจ้ากินหรือเดินเหินไปไหนไม่ได้อีกเลย” มีเสียงที่หยาบๆดังขึ้นมา
หลินซีเหยียนก็ได้เอามือของนางล้วงเข้าไปในถุงเงินและพบว่ายังพอมีเงินเหลืออยู่มากอยู่ แล้วมุมปากของนางก็ได้กระตุกขึ้นมาเล็กน้อย ซึ่งเงินของหมอผีอย่างนางนั้นมีหรือที่จะปล่อยให้เอาไปได้ง่ายๆ?
แล้วนางก็ได้หยิบเอาเงินออกมาไว้ในมือของนางแล้วจากนั้นก็โบกให้คนพวกนั้นดู “ถ้าอยากได้ก็เข้ามาเอาสิ!”
เมื่อฝ่ายตรงข้ามเห็นท่าทีของหลินซีเหยียนแล้ว พวกเขาต่างก็ตกตะลึง พวกเขานั้นไม่เคยเห็นใครที่ยอมให้ความร่วมมือง่ายๆเช่นนี้มาก่อนเลย!
หลินซีเหยียนที่ยังยืนอยู่ที่เดิมก็ได้เผยรอยยิ้มออกมาบนใบหน้าของนาง เมื่อนางเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามนั้นได้กำลังเข้ามาหานางอย่างช้าๆ แล้วในที่สุดนางก็ได้โปรยผงยาที่กำเต็มมือเตรียมไว้แล้วออกไป
ยาตัวนี้มีชื่อว่าอว้างโยว(ลืมกังวล) เป็นยาที่ทำให้ผู้คนลืมเรื่องก่อนหน้าเร็วๆนี้ไป
หลังจากที่คนพวกนั้นอ่อนแรงสลบไปอยู่ที่พื้น หลินซีเหยียนก็ได้จากไปอย่างไม่สนใจ
เมื่อนางพบกับจี๋เฟิง ทั้งสองคนก็ได้ตระเตรียมแผนการอยู่พักหนึ่งแล้วจากนั้นพวกเขาก็ได้เดินทางไปช่วยเยี่ยจุนเจี๋ย
มีบ้านไม้ไผ่สีเขียวอยู่กลางอำเภอจ้าว และไม่มีคนเฝ้ารอบๆบ้านไม้ไผ่หลังนั้นอยู่เลย
“พระชายา ไม่ใช่ว่าโดนหลอกหรอกนะ?” จี๋เฟิงก็ได้ถามอย่างลังเล
หลินซีเหยียนก็ได้กัดฟันแล้วกระซิบกระซาบ “เป็นไปไม่ได้ที่จะโดนหลอก เอาเถอะถ้าไม่เข้าถ้ำเสือก็ไม่ได้ลูกเสือ”
ในบรรดาสิ่งก่อสร้างที่ทำจากไผ่เขียวพวกนี้นั้น มีหอคอยไม้ไผ่ตั้งตระหง่านอยู่ ซึ่งดูเงียบเชียบมากซึ่งถ้ามองจากที่นี่แล้ว ก็จะเห็นได้ว่าหัวหน้าของคนพวกนี้นั้น เป็นคนที่มีความละเอียดอ่อนมาก
จี๋เฟิงก็ได้เพ่งสายตามองไปยังสถานที่ที่น่าจะเป็นไปได้อย่างระแวดระวัง จนในที่สุดเขาก็พบที่แห่งหนึ่งที่ปกคลุมด้วยใบไผ่อยู่ เขาก็ได้เหยียบไปที่นั่นแล้วก็พบว่าข้างใต้นั้นว่างเปล่า
“องค์หญิง นี่ดูเหมือนจะเป็นทางเข้าชั้นใต้ดินขอรับ” จี๋เฟิงกล่าว
แล้วแววตาของหลินซีเหยียนก็ได้สว่างขึ้นมาแล้วเข้าไปหา แต่พวกเขาก็จะประมาทไม่ได้ พวกเขาจำเป็นต้องปล่อยไว้คนหนึ่งที่ทางเข้าเพื่อป้องกันการถูกจับได้
“พระชายา ท่านรออยู่ที่นี่ข้าจะลงไปข้างล่างเอง”
มันมีความเสี่ยงที่ไม่อาจทราบได้อยู่ในชั้นใต้ดินนั้น ดังนั้นจี๋เฟิงที่เก่งด้านวรยุทธ์กว่าจึงเหมาะสมที่สุด
หลินซีเหยียนจึงรับหน้าที่คุ้มกันทางเข้า แล้วคอยเฝ้ามองรอบๆอย่างเงียบๆ แต่หลังจากที่ผ่านไปได้ไม่นานนักก็มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น และจากนั้นก็มีเสียงที่ดังมาจากในบ้านไม้ไผ่
นางนั้นไม่กล้าที่จะตะโกนเสียงดัง นางจึงได้ทำการปิดทางเข้านั้นด้วยใบไผ่อีกครั้งแล้วจากนั้นก็หาที่หลบซ่อน
“พวกเจ้าพบกองทัพเกราะดำที่หายไปพบแล้วหรือยัง?”
มีเสียงที่นุ่มนวลที่ฟังแล้วไม่เหมือนคนที่สังหารโหดคนในอำเภอจ้าวดังขึ้นมา